วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

เพียงแค่เราคิดต่างกัน

สมัยที่ยังเป็นเด็ก... (ก็ตอนนี้แก่แล้วจริงๆ)
ในโรงเรียน ยังมีการสอนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม... โบราณเกินไปรึเปล่าเนี่ย?
จำได้ว่า หัวข้อ "การเป็นคนดี" หมายถึง คนที่คิดดี พูดดี และกระทำแต่ความดี
เรียกง่ายๆ ว่า ดี 3 ประการ ทั้งในเรื่องความคิด คำพูด และการกระทำ...



จบจากชั่วโมงนั้น... ฉันเปลี่ยนตัวเองทันที 
ต่อไปนี้จะไม่พูดสรรพนามเป็นภาษาพ่อขุนอีก... 
ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ไว้ในใจ... เท่านั้นยังไม่พอ... 
ฉันเปิดสมุดทุกเล่มที่มีและใช้อยู่ เขียนบันทึกตัวโตๆ ที่ปกหน้าด้านหลัง ว่า  
"ต่อไปนี้จะไม่พูดสรรพนามเป็นภาษาพ่อขุนอีก" 
Can u hear me?


ผ่านมาแล้วเกินกว่าครึ่งชีวิต ที่ฉันไม่พูดคำหยาบ ไม่ด่าทอใคร ไม่ทะเลาะ ไม่ขัดแย้งใครทั้งนั้น… ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่า ช่างเขา เรื่องของเขา... มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก็แค่เพียงมีความคิดแตกต่างกัน จึงแสดงออกต่างกัน ทั้งการพูดและการกระทำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ใครจะไปบังคับฝืนใจใครต่อใครให้คิดตรงกับเราได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา มีซะที่ไหน? ทุกคนมีสิทธิ์คิดเอง ตัดสินใจเอง ใช้เหตุผล ดุลพินิจ ของตัวเอง... ไม่ผิดกฎหมายนี่นา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมตกแก่ผู้เป็นเจ้าของความคิด คำพูด และการกระทำ นั้นๆ... 


ในทางกลับกัน ถ้าหากว่า ใครสักคนคอยบงการให้เราต้องคิดเหมือนเขาทุกเรื่อง ทุกเวลา เราจะเป็นเช่นไร ทนได้ไหม ทนได้นานเท่าไร... 
นี่ต่างหากล่ะ ที่เป็นปัญหา... 
ฉะนั้น ที่ฉันคิดและทำ ก็น่าจะเป็นการถูกต้องแล้ว... เห็นด้วยมั้ย?


จะว่าไปแล้ว คนเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วย ใช่ว่าอยู่คนเดียวในโลกได้ตลอดกาลซะที่ไหน หากเรามีความคิดดีๆ ในหัว แน่นอนว่า เราก็จะพูดจาออกมาแต่เรื่องดีๆ อย่างที่คิดไว้ และพลอยลงมือทำเกี่ยวกับสิ่งที่คิดๆ ได้เหล่านั้น ให้สำเร็จลุล่วง... ประมาณว่า คนสวยคิดบวก... นั่นแหละ ใช่เลย... ถึงฉันจะไม่ใช่คนสวยก็เหอะ ฮ่าๆๆ... ผู้คนโดยรอบ เขาสามารถสัมผัสได้ตลอด ว่าเราเป็นคนมีจิตใจอย่างไร น่าคบค้าสมาคมด้วยหรือไม่... (ยกเว้นคนโกหกหน้าตาย หรือพวกสิบแปดมงกุฎ ที่ดูออกได้ยากจริงๆ)


มีบ้างเหมือนกันที่คนเรามักสติแตก ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกไม่ทัน เมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ยกตัวอย่างเช่น... ขณะขับรถอยู่ดีๆ มีคันอื่นแซงแล้วหักปาดหน้าระยะกระชั้นชิด... เป็นต้น ซึ่งอย่างนี้ ก็คงแล้วแต่บุญทำกรรมแต่งกี่มากน้อยของผู้คนที่เกี่ยวข้อง ว่าจะบาดเจ็บหรือล้มตายกันสักเท่าใด นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหนือความคาดหมาย... ขอให้รอดปลอดภัยกันทุกคนด้วยเถิด... สาธุ


วันนี้ ฉันครุ่นคิดบางอย่างที่คาใจมานานพอควร
ทำไมจึงมีคนชอบถามฉันอยู่เรื่อยๆ ว่าโกรธเป็นไหม? ด่าใครเป็นไหม? เคยทะเลาะกับใครบ้างหรือเปล่า? เวลาไม่พอใจแล้วแสดงออกอย่างไร?… ขอบคุณแระกัน ที่ให้ความสนใจในตัวฉัน อิ อิ... ฉันตอบอย่างจริงใจเสมอ ว่าฉันเหมือนคนทั่วไป... เพียงแค่ไม่ชอบพูดคำหยาบ ก็เท่านั้น แปลกดี... นี่บุคลิกของฉันเป็นอย่างไรหนอในสายตาของพวกเขา... เจ้าของคำถามทั้งหลายเหล่านี้ 
ฉัน... ออกจะเป็นคนจริงใจ ใสซื่อ... ดูไม่ออกเลยรึ?



เวลาใครพูดคำหยาบคายเข้าหูฉันล่ะ... ไม่มีปัญหาดอก
ฉันจำได้ดี เวลาที่ฉันร้องไห้เสียใจ... ตากะยายกระซิบที่ข้างหูฉันเสมอว่า... 
"อย่าเอาหูโต่ง" 
ตอนนั้น บอกตรงๆ ว่า ไม่รู้ความหมายอะไรเลยสักนิด 
แต่รู้สึกดีๆ กับอ้อมกอดที่พาโยกตัวไปมา... 
มันอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก... 
ทำให้ฉันสงบใจ สงบปากสงบคำได้กับทุกเรื่องที่บาดความรู้สึก 
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหลับตาดูสิ... 
คุณจะเห็นสองตายายนั่งอยู่ในใจฉันตลอดเวลา... เห็นหรือเปล่า?
วิธีการของตายาย สอนให้ฉันเรียนรู้ว่า การเพ่งความสำคัญไปที่วิธีมองปัญหา มองให้เป็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ใช่ปัญหา ความรุนแรงของปัญหาจะค่อยๆ ลดลง จนในที่สุด ทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้...
แม้ว่าต้นเหตุแห่งปัญหายังไม่ได้ถูกกำจัดไปก็ตามที

หลายคนอาจมองว่า สิ่งที่ฉันคิดและทำเหล่านี้ เรียกได้ว่า เป็นวิธีการรับมือ... การอดทน อดกลั้น... หรือการเอาชนะใจตัวเอง... ก็แล้วแต่เถิด ไม่มีถูกผิดดอก ต่างคนต่างจิตต่างใจ ต่างสไตล์ ต่างจินตนาการ ประสบการณ์... ฯลฯ ป่วยการต้องมานั่งพิเคราะห์ว่าใครถูกใครผิด สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ ยังดีซะกว่า

คิดไม่เหมือนกัน ใช่ต้องเป็นศัตรูกันซะเมื่อไหร่
คิดต่างกัน อยู่กันได้อย่างมีความสุข ก็มีเยอะแยะไป
คิดคล้ายกันตอนแรก หลังๆ มาแตกคอ ฆ่าฟันกันตายก็มีให้เห็น
ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง คล้อยตามคนอื่นได้ทุกเรื่อง ก็ไม่ใช่หาไม่ได้...
ดังนั้น... คิดอะไรก็คิดไปเถิด คนดี




ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...

คิดถึงฉันบ้าง!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เมื่ออ่านจบแล้ว เมนต์หน่อยดีมั้ย? อะไรก็ได้ที่อยากให้ฉันได้รับรู้... จากคุณ!