วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รักนั้นฉันใด


"Love, it's like the wind. I can't see it but I can feel it"
ความรัก เป็นเหมือนกับลม ฉันไม่สามารถเห็นมัน แต่ฉันรู้สึกถึงมันได้


เปล่านะ ฉันไม่ใช่คนฉลาดปราชญ์เปรื่องในเรื่องความรักหรอก นี่คัดมาจากบทสนทนาในหนังเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วประทับใจมาก... "A walk to Remember"


ว่ากันตามความจริง ผู้ประพันธ์ทั้งหลาย ต่างก็น่าจะมีจินตนาการมาจากฉากตอนของความเป็นจริงนั่นแหละ ไม่ว่าจะประสบเข้ากับตัวเองหรือผู้คนรอบๆ ตัว... บ่อยครั้งที่เรื่องราวถ่ายทอดออกมาได้โดนใจผู้ชมยิ่งนัก แนวรักก็หวานซึ้ง... แนวโศกก็เรียกน้ำตาได้ท่วมจอเลยทีเดียว...

A walk to remember ถูกสร้างเป็นหนังเมื่อปี 2003 นำแสดงโดยนักร้องสาวชื่อดัง Mandy Moore ซึ่งสวยบาดตาจริงๆ... นอกจากนี้ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ก็ได้แปลเป็นหนังสือนิยายชื่อ "ก้าวรักในรอยจำ" ที่ทำรายได้ดีไม่แพ้เล่มอื่นๆ ของเธอ... สำหรับฉันแล้ว ไม่ชอบซื้อหนังสือมาสะสมเพราะนอกจากจะราคาสูงแล้ว ยังไม่มีที่จะเก็บอีกด้วย ลำพังตำราการแพทย์ก็เต็มตู้ไปหมดแระ... จึงทำได้เพียงอ่านผ่านๆ ตาที่ร้านหนังสือเท่านั้น...


ความรู้สึกประทับใจจากการดูหนัง (เสียงใน film) มันไม่เต็มร้อยนัก เพราะไม่เก่งภาษาพอจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ผิดกับการอ่านจากหนังสือสักเล่ม ที่อินไปกับบทได้อย่างไม่น่าเชื่อ ช่างถ่ายทอดความรู้สึกเป็นตัวอักษรได้อย่างหาใดเปรียบมิได้จริงๆ แม้ว่าจะได้อ่านเพียงบางส่วนก็ตามที...

เรื่องย่อของ A walk to remember กล่าวถึงอดีตของหนุ่มสาวเคร่งศาสนาคู่หนึ่ง ตั้งแต่สมัยหนุ่มน้อยสาวน้อยที่บังเอิญได้จับคู่เต้นรำด้วยกันอย่างมิได้ตั้งใจ... หลังจากนั้น ฝ่ายชายก็ไม่เคยคิดจะชอบหรือรักสักนิด... แต่เธอคนนั้นกลับฝังอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างแนบแน่น แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว... เธอ ไม่เหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป ดูเชยๆ มีเพื่อนน้อยคน (แต่กลับชอบทช่วยเหลือเด็กกำพร้า เธอเป็นที่รักของผู้ใหญ่ในชุมชน) และเขาอายที่จะเดินไปไหนมาไหนกับเธอ... ทั้งคู่ มีโอกาสแสดงละครประจำปีด้วยกัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว... ในวันแสดงละคร หญิงสาวที่เฉิ่มๆ กลับกลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนนับพันในโรงละครให้หยุดมองด้วยความตื่นตะลึงพรึงเพริด...ว้าว... จากนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนจนมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป...

ในตอนท้ายๆ... หลังจากสนิทสนมขั้นคบหาดูใจมาระยะหนึ่ง เจอหน้ากันทุกวัน เขาสังเกตได้ว่าเธอซูบลง แต่ก็ไม่เอะใจ... จนวันหนึ่ง เขาสารภาพรักกับเธอ... นาทีนั้น เหมือนว่าร่างของเขาหล่นลงไปยังหุบเหวที่ลึกที่สุด... เมื่อได้รับรู้ว่าคนที่ตัวเองมอบหัวใจให้ทั้งหมด กำลังจะจากโลกนี้ไป...

พอแระ... อยากรู้ต่อให้จบก็ไปหาอ่านหรือหาหนังมาดูเองจิ...



 

อืมห์... เป็นใครๆ ก็ไม่อยากเจอเรื่องเศร้าหรอก
ฉันก็ด้วยคนหนึ่ง
แต่มันเลือกได้ที่ไหนกันล่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ตถตา... มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง... สาธุ



วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไม่ร้องไห้ ใช่ว่าไม่เจ็บ



"คาริล ยิบราน"

เจ้าของนามท่านนี้ ฉันไม่รู้จักดอก แต่ว่าคำคมของท่าน สะดุดใจยิ่งนัก... ท่านเขียนเอาไว้ว่า...

"เงิน ก็เหมือนความรัก มันจะฆ่าคนที่ยึดติดกับมันไปอย่างช้าๆ และสร้างความเจ็บปวดอย่างมากมาย แต่จะสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับคนที่เพียงพอและเดินเคียงข้างไปกับมัน"

เดาเอาว่าประสบการณ์ชีวิตของท่าน คงผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนพอที่จะเข้าใจอำนาจเด็ดขาดของเงินและความรักได้เป็นอย่างดี ถึงได้สรุปคำคมไว้อย่างโดนใจเช่นนี้...
ใช่เลย ทุกชีวิต ไม่มีใครหลีกเลี่ยงการใช้เงินไปได้ รวมทั้งเรื่องราวของความรักด้วย... ได้เจอะเจอกันแทบทุกผู้ทุกคนเลยทีเดียวในหลากหลายรูปแบบ... ยิ่งใครรักมาก ยิ่งยึดถือมาก ก็จะยิ่งทุกข์มาก... จริง ซะด้วยซี... ผิดไปจากปรัชญาชีวิตของท่านคาริล ซะเมื่อไหร่...

อันว่าความยึดถือ หาได้มีตัวตนปรากฏอย่างชัดเจนไม่ มันอยู่ในใจเสมอ... ใจเราเองคิดๆๆ... คิดอยู่ตลอดเวลาว่าของๆ ข้าใครอย่าแหยม... ประมาณนั้นเลยทีเดียว

เจ้า "ความรัก" นี่ก็กระไร โหยหากันดีนัก บ่อยครั้งที่มันออกฤทธิ์ร้ายกาจซะจนแทบไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคน... เง้อ


ยิ่งกว่าเสียใจ  :  พันซ์

ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำบาดอารมณ์ แม้จะเตือนสติตัวเองอยู่ว่า "ได้ยินหนอ-ได้ยินหนอ"  และเข้าใจดีว่าคำพูดจากปากของผู้พูดเป็นรูป-นามที่จบสิ้นไปแล้วเพียงชั่วนาทีสั้นๆ เท่านั้น หากแต่มันส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจ-ความรู้สึกของคนฟังอย่างที่สุด อย่าให้ต้องเอ่ยปากเล่าแจ้งแถลงไขเลยหนา... มันยากเกินบรรยายแล้วจริงๆ... 


อืมห์! บาดอารมณ์นักงั้นรึ
ล้างตามันซะบ้าง จะเป็นไรไป
ใจจะได้สะอาด... วิ้งๆ!

ดีเหมือนกันแฮะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ใครคนหนึ่งคิดถึงมาก



นี่ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เมื่อเสร็จจากงานบ้านก็ยังหลับไม่ลงแม้จะว่างจัด... เมื่อเช้าก็รีบตื่นซะตั้งแต่ก่อนหกโมง ด้วยความที่อยากจะฝึกนิ้วให้คล่องๆ กับแท็ปที่พยายามแกะเพลงซึ้งๆ เอาไว้... ที่สุดแล้วก็ยังทำได้ไม่ดีอย่างที่มุ่งมั่น... เฮ้อ... ใจหนึ่งก็คิดๆ ชักจะอยากยอมแพ้แระ... แต่อีกใจก็รักซะมากมาย... ฉะนั้นจึงเล่นไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า ถึงจะไม่ไพเราะเพราะพริ้งดุจมืออาชีพ ก็ไม่มีใครมาทำโทษนี่นา เนอะๆ... ปล่อยให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปซะเลย... ใครจะว่าอะไรบ้างมั้ยเนียะ?...


กับเพลงนี้ ที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่... 'I Miss You'... ฮ่าๆๆ...
มีคนเคยพูดว่า คนที่ชอบเล่นกีตาร์ มักเป็นคนขี้เหงา... อ้าว หรา?... ไม่รู้สิ... 
ก็อาจเป็นได้ เพราะฉันอยู่เงียบๆ คนเดียวและคิดถึงคนอื่นบ่อยๆ... หลายคนเลยแหละ!

 ゚*✿。.:*✿ `•.¸♥♫ < (( เหงา คิดถึง รอ )) > ♫ ♥¸.•´ ✿*:.。✿* ゚


ทำไมนะ เจ้าตำรับการเรียนกีตาร์คลาสสิก จะต้องบังคับให้นั่งหลังตรงชูเข่าซ้ายให้สูงกว่า... มันเมื่อยจังเลยจ้ะ... ฉันนั่งเล่นมาตั้งนานก็ยังไม่ชินกับท่านี้ซะที... เล่นไปเล่นมา อ้าว... ได้เวลาเข้าครัวอีกแระ เสร็จจากงานครัวก็ต้องล้างๆๆ... แล้วเล็บมันก็อ่อน... เป็นอยู่เช่นนี้ทุกบ่อยๆ... เฮ้อ... ยังดีที่มีคนคอยปลอบ... เค้าบอกฉันว่า... "ไม่เป็นไร ทำได้เท่าที่ทำ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว..." อืมห์... ขอบคุงอย่างมากมายจร้าาา...

อยากรู้ล่ะสิ... ว่าคนๆ นั้นคือใคร? คนไหน? ไปไงมาไง?... 
อ๋อ... ได้ๆๆ... ฉันไม่มีความลับกับใครเค้าอยู่แล้ว...
ดูดีๆ นะ... แอ่น แอน แอ๊น น น น ........


นี่ล่ะจ้ะ @pramuanporn kwamdee  เธอคนนี้ ช่างมีจิตใจดีงามไม่แพ้รูปร่างหน้าตา... เรารู้จักกันได้ไม่นานคุยกันทุกวันอย่างห่วงใย ยิ่งนับวันก็ยิ่งเห็นความคล้ายคลึงของเราทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ... จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเธอเป็นฝาแฝดของฉันหรือเปล่า?... ไม่ใครก็ใครคงถูกขโมยไปจากอกแม่แหง๋มๆ... ว่าไปนู่น... ก้อไม่รู้จะไปถามใคร เพราะแม่ของเราทั้งสองต่างก็ไปสวรรค์เสียแล้ว... ทิ้งให้เราใช้ชีวิตอยู่กันคนละที่  ได้แต่มองดูหน้ากันและกันผ่านจอที่ g+ ด้วยสายตาปริบๆ... แง้ๆ... 
รักนะ ตัวเอง... จรุ๊ฟส์ๆ

ว่าแล้ว น้ำตาก็พาลจะไหล... ซะงั้น... เฮ้อๆ
มามะ ไปฟังเพลงสนุกๆ กันดีกว่าจ้ะ
หัดร้องตามไปด้วยนะจ๊ะ นะ


" จะโกะ "

ฟ้าครึ้อๆ โฝมาก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (ไม่ใช่ ฟ้าครึ้มๆ ฝนมันก็ตก เดี๋ยวก็ตก ๆ... อ๋อ ข้าใจแระ )
ฟ้าครึ้อๆ โฝมา ก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (จุ๊ แม๋ สอนยากจริง เอ้า โตะก็โตะ)
ฟ้าครึ้อๆ โฝมา ก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (เดี๋ยก็โต่ะ ๆ)
ฟ้าครึ้อๆ โฝมา ก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (เดี๋ยก็โต่ะ ๆ)
ฟ้าครึ้อๆ โฝมาก็โต่ะ เดือห้าเดือโหะ โฝโต่ะ โซะๆ
หนุสาชาเขาเราก็ไปจ๊ะโกะ มาร้องโอ๊ะๆ อยู่ข้าโก๊ะโก ๆๆๆ
ฟ้าครึ้อๆ โฝมาก็โต่ะ ท้าเขี่ยะ ท้าโกะโดะ ขโย๊ะ ๆ เอาลำไม้ไผ่มาตีหัวโป๊ะๆ
ตีให้มาสะโหละแล้เอาโกะมาโม่ะ ๆๆๆ

*โฝโต่ะ ๆ โซะๆ โกะกระโดะ ขโย๊ะ ๆ โค กระโดะ ขโย๊ะ ๆ*
โหมะโกะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ใส่โผชูโร๊ะ อายิโน๊ะโมโต๊ะ เบื่อกีแกป่า แกหมู แกโนะ จือมาจะโกะ ขโย๊ะ ๆ
**จะโกะมาก็เมื่ออ่อล้าปั่วแข้ปั่วขาหน้ามื้อเปโล โกะเทวะดาหรือโกะผีตาโบขายาตาโต 
บาตัวก็เหมือคาโคะ ๆๆๆ ... บรื๋อส์!
ฟ้าครึ้อๆ โฝมาก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (เดี๋ยก็โต่ะ ๆ)
ฟ้าครึ้อๆ โฝมา ก็โต่ะ เดี๋ยก็โต่ะ ๆ (เดี๋ยก็โต่ะ ๆ)
ฟ้าครึ้อๆ โฝโตะ โลมา โคโดโคป่าก็หาจะแต่โกะ
ผู้โคเมือฟ้า กีพิซ่าตาโต๊ะ เรากีโหมะโกะ โอ๊ะๆ อาหร่อดี ๆ ๆ ๆ
กีมา ท้า ขี้โกะ โอ่ะโอะ ๆ ** 

(ฮ้า... วานี้ เซจีๆ เล้อ... จะได้แต่คาโคะอ่ะ. เฮ้อ แต่คาโคะมาก็อ่าหร่อยดีนะ.. เฮ้อ แล้คาโคะ เค้ากีกาโตหนาอ่ะ?... ก็กีขี้มาไง... จาบ้าหรา ใครเค้ากีขี้คาโคะ ฮ่าๆๆ ล้อเล่ ๆ ๆ แฮ... ๕๕๕๕๕+ )

(*…*)

(**…***)

อาหร่อ จีๆ เลอ น้า... ซรู้....

 


จ้ะ และทุกครั้งที่ฝนตก อย่าเหงาอยู่คนเดียวอีกต่อไปเลย
ร้องเพลงนี้ซะ... แล้วฉัน จะคอยฟัง... อยู่ข้างๆ กัน... เสมอ

   



วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อยากอยู่ด้วย... จนตาย? @_@



หลายครั้ง เมื่อได้รู้ข่าวคราวความสูญเสียในรูปแบบต่างๆ ของคู่รักหรือครอบครัวของใครๆที่ไหนก็ตาม... ฉันอดหวาดหวั่นไม่ได้ว่า ซักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็ช้ากว่า คงถึงทีของฉันบ้าง... และถามตัวเองเสมอว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ จะรับมือไหวหรือเปล่า? จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร? ด้องใช้เวลานานสักแค่ไหนถึงจะลืมหรือจะหายทุกข์?... อ่ะ บ้าไปกันใหญ่เลยมั้ยล่ะเนี่ยะ... เป็นปกติของผู้หญิงที่ชอบวาดนรกในอากาศเป็นตุเป็นตะเสมอๆ...


ในทางกลับกัน เมื่อคิดใหม่ในแง่บวก ฉันพยายามค้นหาคำตอบให้ตัวเอง ว่าคุณสมบัติแบบไหนหนอที่คนรักอยากอยู่ด้วยไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต... ใช่ว่าไม่เคยมีนี่นา... ฉันเคยดูจากรายการทีวีที่ถ่ายทอดเรื่องราวรักแท้ของคู่รักรุ่นคุณตาคุณยายบ้าง วัยทำงานอย่างเราๆ บ้าง... มีหลายคู่ทีเดียวที่ต้องสูญเสียฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปก่อนเวลาอันควร ชวนให้เศร้าใจตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้... ซึ่งเมื่อได้พินิจเรื่องราวของคนอื่นในหลายมิติ... ฉันคิดปะติดปะต่อเอาเองว่า คนน่ารักที่ใครๆ อยากอยู่ใกล้ๆ หรืออยากอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย น่าจะมีลักษณะประมาณว่า... เป็นคนมองโลกในแง่ดี ท่าทีเป็นมิตร จริงใจ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีสัมมาคารวะ พูดจาไพเราะ สุภาพ ให้เกียรติคนอื่นๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง... เป็นตัวของตัวเอง ใจเย็น หนักแน่น... รู้จักนิ่งฟังเพื่อเข้าใจอย่างถูกต้อง (บางคนไม่ยอมฟังใคร... โอหังสุดๆ)... เป็นที่พึ่งยามยากได้โดยมิต้องร้องขอ ให้คำปรึกษาแนะนำแบบไม่คุกคามการตัดสินใจของคนอื่น... เห็นด้วยกับฉันบ้างไหมหนอ?


บรรดาคุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย... เมื่อคิดจะมองหาสาวๆ มาเป็นคนรู้ใจสักคน แน่นอนว่าในเบื้องต้น จะพุ่งเป้าความสนใจไปที่รูปร่างหน้าตา ขอให้สวยเซ็กซี่ไว้ก่อนเหอะ... ยิ่งแต่งเปลือกนอกได้สวยมากเท่าไหร่ ยิ่งเตะตาเข้าอย่างจัง... เก็บไปฝันๆ เพ้อๆ ตะครั่นตะครอ... ครั้นได้ทำความรู้จักกันนานวันเข้า จึ่งค่อยๆ มองออกว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นเช่นไร... หยิ่งยะโส โง่ ซื่อ แสบ หยาบคาย เปิ่น ตลก ยากจน ฯลฯ... สมควรแก่การทนมองข้ามได้อีกต่อไปหรือไม่?... ลองนึกภาพตามดูสิ ทำไมคนขี้เหร่มักสมัครงานไม่สำเร็จ... ส่วนคนหน้าตาดีได้รับความสนใจ จึ่งมีโอกาสมากกว่าเสมอ... ทั้งๆ ที่ใช้เวลาพินิจพิจารณาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น โถๆๆ...


บางคน ไม่สิ บางคู่ ... รูปร่างลักษณะ รวมไปถึงเทือกเถาเหล่ากอ... เป็นที่หมายปองของคนจำนวนมาก ประชาสัมพันธ์ข่าวมงคลครึกโครมเลยทีเดียว... แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่นาน ต่างคนต่างหมดความอดทน... ฝืนใจใกล้ชิดเผชิญหน้ากันต่อไม่ไหว แม้ว่าจะมีหรือไม่มีทายาทด้วยกันก็ตาม... เช่นนี้แล้ว ความสวย ความหล่อ มันจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกคู่ชีวิตลำดับต้นๆ อยู่อีกหรือ...???


ผู้ชายหลายคน คิดว่าต้องเลือกแฟนหน้าตาสวยไว้ก่อน เวลาแสดงความรักกัน อะไรๆ ก็คงจะดีไปหมด... อ้าว เกิดเจอคนสวยซาดิสต์หรือนางไม้แม่เอยขึ้นมา จะทำอย่างไร?... และยังมีสวยเผ็ดดุ ปะทะคารมกับแม่สามีเป็นประจำอีกล่ะ รับไหวมั้ย?... โธ่... ให้โอกาสคน 'คิเรเนะ' หน่อยเฮอะ...


ผู้หญิงเอง สวนมาก(ที่สุด) ก็หนีไม่พ้นปลื้มหนุ่มหน้าตาดีเช่นกัน... และก็มีไม่น้อยเลยที่หลงคารมคนกะล่อนเข้าให้ ซึ่งหมั่นมากับความเจ้าชู้ปากหวานพร้อมของกำนัล... แบบนี้ ทำใจลำบาก... ยังไงซะ ก็ขอให้เจอคนจริงใจเถิด มิฉะนั้น จะเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย แล้วพาลมีอคติกับเพศตรงข้ามไปซะเปล่าๆ


หวังว่าทุกความเห็นของฉัน... จะช่วยชี้ทางสว่าง-ทางมืด ให้กับคุณๆ ที่ยังไม่ตัดสินใจ... สำหรับฉัน คงเลือกได้แค่เพียงครั้งเดียว... พอแระ...


วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โสด@_@สนุกสนาน



ผ่านไปแล้ว... 'วันแห่งความรัก' ที่ใครหลายคนชื่นมื่นและอีกหลายคน... #แปร่วส์ อย่างเคย
อันที่จริง ความเป็นโสด มันก็มีข้อดีมากมายอยู่นะ มีอิสระเสรี ไร้ภาระหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ตั้งหลายเรื่อง... แต่ก็นั่นแหละ พอตกเย็นวันศุกร์ คนโสดๆ มักโอดครวญว่าเหงา-เศร้าซึม อย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเพื่อนไปกับแฟน...


อ่ะน่า... หากวันของคุณยังมาไม่ถึง ก็อย่าเสียใจไปเลย... ช่วงนี้ รีบตักตวงความสุขสบายไร้กังวลในฐานะคนตัวเปล่าให้เต็มที่เถิด... ไม่มีแฟนหน่ะดีแค่ไหนแล้ว เชื่อฉ้าน... ชีวิตช่วงโสดมีสีสันกว่ากันเยอะ... บางคนถึงกับเปรียบแฟนเหมือนวิปครีมบนกาแฟ... ถึงจะไม่มีวิปครีม แต่กาแฟก็มีรสชาติเข้มข้นได้ด้วยตัวของมันเอง... บางคนโปะวิปครีมมาซะจนล้น จิบไปได้ไม่เท่าไหร่ เลี่ยนตายชัก... รู้งี้ สั่งส้มตำคอหมูย่างเผ็ดแหกโค้งซะยังจะแซ่บเวอร์กว่าเป็นไหนๆ... อ่ะฮ้าาา...


สำหรับ สาว (และหนุ่ม) ที่ยังติดแง่กอยู่ตามสถานี ไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายที่ผ่านเลยไปเมื่อวันหวานชื่น 14 กุมภา'... มันหดหู่ใจกันนักหรือไง... ไม่เป็นไรน่า... การที่ยังไม่มีใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง ไม่ได้ทำให้ถึงตายซะหน่อย... จากนี้ไป มาทำตัวเองให้สุขสดชื่นเหอะ... ม่ะ


เริ่มจากทบทวนความฝันของตัวเอง... มันไกลเกินเอื้อมไปหรือเปล่า มีอะไรปรับเปลี่ยนได้ก็ปรับดีกว่า... หรือหาแรงบันดาลใจ-พลังใจเพิ่ม ทุ่มเท-ผลักดันให้บรรลุสู่จุดหมายให้ได้... เราทำเองได้จ้ะ ไม่ต้องง้อใคร...

ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นรากฐานแห่งมิตรภาพอันยั่งยืน... 'เพื่อน' หาใช่แค่สีสันที่มาแต่งเติมชีวิตเราให้สดใส ตื่นเต้น มีชีวิตชีวาเท่านั้นดอก... หากมีเพื่อนแท้แม้จะน้อยคน ในยามที่รู้สึกเหงา เศร้าลึกๆ เพื่อนแท้จักอยู่เคียงข้างเราเสมอ... เชื่อสิ


ในยามโสด นับว่าเป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกอย่าง ทุกเวลา เท่าที่ต้องการ โดยไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของคนข้างๆ... อยากเปลี่ยนลุคส์เป็นสไตล์ไหน อย่างไร เมื่อไหร่... ถ้าไม่เดือดร้อนค่าใช้จ่าย ก็ทำไปเลย... บางที ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนตัวเองอาจเตะตาใครสักคนเข้าจริงๆ ก็เป็นได้... จริงป๊ะ?


การควบคุมตนเองเป็นเรื่องไม่ยาก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะงบประมาณส่วนตัว... เมื่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ก็พึงระมัดระวังอย่าให้เกินขีดจำกัด... จะเดือดร้อนได้... ยามนั้น หันหน้าไปหาใครก็คงเป้นเรื่องยากส์... จำไว้นะ

'งาน' ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต... มัวหมกมุ่นแต่กับงานๆๆ ทั้งวันทั้งคืน มันเครียดนะ... จะทำให้เสียสติเอาได้... โหมงานหนักใช่ว่าจะทำให้หายว้าเหว่ หายเหงานี่นา... ทำตัวให้สดชื่น กระฉับกระเฉงดีกว่า ให้เวลากับเพื่อนๆ ญาติๆ บ้าง เลี้ยงสัตว์ ไม่ก็เข้าสปาเพื่อผ่อนคลาย นอนอ่านหนังสือ-ฟังเพลงโปรดบนที่นอนนุ่มๆ หรือทำอาหารอร่อยๆ กินเอง... ค้นหาตัวเองให้เจอเถิด


การออกกำลังกาย นับเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหมั่นทำ เพื่อความสมบูรณ์แข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ... สุขภาพดีเท่านั้นที่จะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละอณูของกาลเวลาปราศจากความทุกข์ทรมาน... เมื่ออยู่คนเดียวในห้อง เชิญยักย้ายส่ายสะโพกให้เต็มที่ไปเลย หนุกจะตาย... ลองทำดูจิ


ฝึกลับสมอง ประเทืองปัญญา... ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างถูกวิธี ช่วยนำพาชีวิตให้รอดพ้นจากบ่วงกิเลส... ลดละการเสพข่าวสารจากสื่อทันสมัยบ้าง เพราะนั่นเป็นที่มาของความวุ่นวายหนอ... สาธุ!


ชื่นชมตัวเอง พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่... รักตัวเองให้มาก... คิดดี พูดดี และทำดี... ยิ้มออกมาจากจิตใจที่แท้จริง... เพียงแค่นี้ ก็มีสิทธิ์ได้รับความประทับใจเมื่อแรกพบจากผู้คนทั่วไป... ส่วนความรู้สึกเล็กๆ ที่หวั่นไหวจนกลายเป็นรักแท้ นั่นคือกำไรที่น่าจดจำ... ต่างหาก...



วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทะเล้-ทะเล



ท้องทะเลสีครามสนามคลื่น
ทั้งกลางวันกลางคืนสดชื่นหลาย
แลละลิ่วทิวเขาลำเนาไพร
สวยติดตาตรึงใจทุกวี่วัน

ยามทะเลราบเรียบเงียบสนิท
สายลมนิ่งยิ่งพิศคิดว่าฝัน
หากได้อิงพิงไหล่อยู่ใกล้กัน
สุขใดปานรักเรา...ไม่เก่าเลย


เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม : ทีโบน

เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ... 

ถนนสายนั้นที่ทอดยาว คือเรื่องราวของความเป็นจริง 
มีเงาไม้เอาไว้ให้พักพิง มีให้เธอเอาไว้ยามอ่อนล้า 

เธอเห็นท้องฟ้านั้นไหม เห็นเงาของเมฆหรือเปล่า 
ทะเลสีครามที่ทอดยาว เห็นความรักฉันบ้างไหม



รักแท้แต่มาไม่ถึง



เฮ้อ!... บอลๆๆ... นี่เค้าจะแข่งขันกันไปอีกนานมั้ยน้อ... ไม่ใช่รัย... ฉันดูไม่เป็นอ่ะ ไม่ค่อยรู้หรอกว่าล้ำหน้ายังไง จุดโทษอยู่ตรงไหน เตะมุมทำไม ทุ่มข้างไปให้ใคร แล้วไงต่อ... ใบเหลือง ใบแดง ไซ้โค้ง เตะโด่ง... ฉันรู้แค่ว่า เข้าไปแล้ว เย้ๆ... แต่ก็อุตส่าห์นั่งดูนอนดูเป็นเพื่อนได้ทุกแมชเท่าที่พี่ชายต้องการ... บางทีเค้าลุกไปห้องน้ำหรือไปห้องผ่าตัด ก็จะกลับมาถามฉันว่าถึงไหนแระ... ซึ่งคำตอบจากฉันก็มีเพียงรอยยิ้ม เท่านั้น... อิอิ

ผู้ชายนี่ ชอบดูกีฬากันจริงๆ ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหน นอกจากดูบอลแล้วยังดูเทนนิส วอลเล่ย์ กอล์ฟ... มันน่าไล่ให้ไปลงแข่งเองจริงๆ... สำหรับฉันแล้ว ดูหนังยังได้สาระดีๆ มาปรับใช้ในชีวิต... บางทีก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง อินไปกับเรื่องราวด้วยอย่างช่วยไม่ได้... โดยเฉพาะหนังเกาหลี หลังๆ มาเลยเลิกดูซะ เพราะถูกดุอ่ะจิ สนใจหนังมากกว่า... อิจฉ์... แล้วนี่ มีใครเป็นเหมือนฉันบ้างไหม??

แต่นี่แน่ะ มีหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาน่าประทับใจมาก และไม่ได้เข้าฉายตามโรงหนังในบ้านเรา ฉันจึงเก็บมาเผย... เผื่อว่าจะมีใครสนใจ... บ้าง... เหมือนฉันไง...


"Parlez-moi de vous" : เล่าเรื่องคุณให้ฉันฟังสิ

นี่เป็นหนังของฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมและนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก Festival de la réunion 2011 ซะด้วย... ว้าว... น่าสนใจป่ะล่ะ?

Mélina นางเอกของเรื่อง เป็นสาวใหญ่ โสด สวย รวย อยู่คฤหาสน์หลังงามกับหมาน้อยตัวหนึ่ง เธอเป็นนักจัดรายการวิทยุ ที่คอยรับฟังและให้คำปรึกษาแนะนำ คลี่คลายปัญหาน้อยใหญ่ให้ผู้ฟังทางบ้านมาตลอด เธอคอยช่วยเหลือคนอื่นได้เป็นอย่างดี แต่กลับยุ่งยากที่จะรับมือกับปัญหาชีวิตของตัวเอง... 


แม่ทิ้ง Mélina  ไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด มีเพียงโปสการ์ดเขียนด้วยลายมือว่าจะกลับมารับ... เธอก็รออย่างเชื่อใจเสมอว่าแม่จะมารับ จนกลายเป็นพี่คนโตสุดของบ้าน แม่ก็ยังไม่โผล่มาสักที... เมื่อเติบใหญ่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เธอจึงจ้างนักสืบติดตามหาแม่ จากข้อมูลเท่าที่มีในโปสการ์ด.. แอบมีความหวังริบหรี่ว่าแม่ยังรักและอยากพบหน้าเธอ... สักวันหนึ่ง... 


บุคลิกภาพภายนอกและภายในของเธอช่างแตกต่างกันลิบลับ... เธอไม่กล้าที่จะเริ่มต้นหรือสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือกับหนุ่มคนไหนๆ ฉันท์คนรัก... ในยามค่ำคืน เธอก็มักจะเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า นั่งอ่านโปสการ์ดของแม่ทั้งคืน... นั่นเป็นที่เดียวที่เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่สุด... เธอรู้ รู้ดีว่าต้องจัดการยังไงกับชีวิต แต่... เธอกลับทำมันไม่ได้... อนิจจา!

ในระหว่างการดำเนินเรื่อง มีบท Drama comedy แฝงมุขตลกไว้พอสมควร ทำให้ไม่ถึงกับเศร้าซะทีเดียว แต่ก็ซึมซับความอาดูรไปในก้นบึ้งของจิตใจอย่างไม่รู้ตัว... คนที่อารมณ์หวั่นไหวง่ายอย่างฉันย่อมเสียน้ำตาเป็นธรรมดา... และเมื่อหนังจบไปแล้ว ก็ยังคงเก็บมาครุ่นคิดจิตตกต่อได้อีกนาน... เง้อๆ ยังไงนะ

หากมองในแง่จิตวิทยาเด็ก เธอคงเจ็บปวดเกินจะรับไหวและยากที่จะข้ามผ่านมันไปได้ แม้ว่าจะมีความรู้ดีขนาดเป็นที่ปรึกษาก็ตามที... นอกจากนี้ ความเหว่ว้า โดดเดี่ยวและแปลกแยกของผู้หญิง ยังเป็นเรื่องที่คนอื่นๆ ไม่สามารถหยั่งถึงจริงๆ... หนังเรื่องนี้ช่างสะท้อนความว่างเปล่า มืดดำ ของหลุมที่ลึกจนไร้ก้นในจิตใจของคนที่ไม่เป็นที่ต้องการได้ดีมากๆ...


อ่านจบแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลย... นี่ไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย... โธ่

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คนรักกัน



หลายคนในที่นี้ คงเคยผ่านหูผ่านตาเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานรักแท้มาบ้างแล้ว... มีมากมายหลายเรื่องทีเดียวเชียว อาทิเช่น ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตำนานวัดวัดพนัญเชิง ผาแดงนางไอ่ สะพานรักสารสิน ฯลฯ... แต่วันนี้ ฉันอ่านเจอเรื่องเล่าตำนานขนมคนรักกัน... อดไม่ได้ที่จะนำมาฝาก... ย่อๆ ตามแบบฉบับของฉันนะจ๊ะ นะ... ลองอ่านดู...


'กะทิ' เด็กหนุ่มแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีใจให้กับ 'แป้ง' สาวหน้าหวานบุตรีของว่าที่กำนัน... ทั้งคู่ได้ให้สัญญาต่อหน้าพระจันทร์ในคืนลอยกระทงว่าจะรักและมั่นคงต่อกันตราบฟ้าดินสลาย

ครอบครัวของกะทิมีฐานะยากจนนัก สู้อุตส่าห์ทำงานเก็บเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อมาสู่ขอแป้งตามประเพณี แต่ก็ถูกปฏิเสธ ถูกกีดกันสุดฤทธิ์ แถมส่งคนมาลอบทำร้าย... กะทิกัดฟันอดทน เขาตั้งใจว่าจะสู้ไม่ถอย จนกว่าว่าที่พ่อตาจะใจอ่อน... แต่แล้วจู่ๆ ผู้ใหญ่ก็ยกลูกสาวให้แต่งงานกับปลัดอำเภอแบบสายฟ้าแล่บ... พอกะทิรู้ข่าวก็ทนไม่ไหว รีบบึ่งไปบ้านสาวในบัดดล หมายจะขัดขวางพิธีมงคล... งานนี้ พ่อของสาวเจ้าได้สั่งการให้ขุดหลุมพรางขนาดใหญ่เพื่อ 'เก็บ'... สาวแป้งแอบได้ยินแผนร้ายนี้เข้า จึงลอบหนีออกจากบ้านเพื่อไปห้ามคนรัก... 


คืนนั้น เดือนแรม... แป้งวิ่งฝ่าความมืดออกไป ขณะที่กะทิก็วิ่งดุ่มๆ เข้ามา... ให้บังเอิญเห็นกันแว่บๆ และจำได้ จึ่งปรี่เข้าหากันด้วยความดีใจ... แต่ทว่าร่างของแป้งผลุ่บหายลงไปในหลุมพรางต่อหน้าต่อตา... กะทิตกใจมาก กระโจนตามลงไปเพื่อช่วยคนรัก... สมุนของผู้ใหญ่บ้านที่ซุ่มอยู่มิรู้ความ ก็รีบเข้ามาโกยดินกลบในทันที...

รุ่งเช้า ผู้ใหญ่สั่งการให้ขุดดินออกดูผลงาน พบร่างกะทิตระกองกอดทับร่างของแป้งแทบมิด... ทั้งสองสิ้นใจตายคู่กันอย่างน่าอนาถ ใบหน้าเปื้อนฝุ่นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มละไม... ผู้เป็นพ่อถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงไปกอง น้ำตาไหลพราก คิดได้เมื่อสายว่า... ไม่น่าทำลายความรักของลูกเลย... 


นับแต่นั้นเป็นต้นมา กะทิกับแป้ง กลายเป็นคู่รักแท้สถิตย์ในใจผู้คนทั้งใกล้ไกล... และเพื่อรำลึกถึงทั้งสอง ทุกวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านก็จะทำขนมจากแป้งและกะทิ ปรุงรสให้หอมหวาน หยอดลงในหลุมเล็กๆ ตั้งไฟพอสุกได้ที่ก็แคะไปจัดวางให้คว่ำหน้าเข้าหากัน สื่อความหมายว่าอยู่คู่กันตลอดไป... เรียกชื่อว่า "ขนมคนรักกัน" ครั้นต่อมา เรียกย่อๆ เพียงคำว่า "ขนม ค. ร. ก." หรือขนมครก นั่นเอง... อืมห์... อาหย่อย...

ดัดแปลงจาก... นว.สส. (ขอบคุณมากนะจ๊ะ นะ) 


อีกไม่กี่วันก็จะวาเลนไทน์แล้ว... รีบๆ รักกันเต๊อะ ฉันขี้เกียจลุ้นแระ... เง้อ!