วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

ต้นแบบคู่รักนิรันดร์ของฉัน ตอนที่ 2




ฉันชอบหน้าหนาว ตอนเช้าๆ อากาศดี แทบไม่อยากลืมตาตื่น แม่ปล่อยให้ขดตัวใต้ผ้าห่มต่อ ครั้นยายมาถึงแล้วยังไม่ได้เห็นหน้า ก็ปรี่เข้าไปหาถึงห้องนอนงัดตัวฉันออกมาจนได้... อุ้มไปนั่งผิงไฟหน้าบ้าน ที่นั่นเองตากำลังหมกหัวมันเทศในกองขี่เถ้าใต้เตาถ่าน... กลื่นมันเผาหอมโชยเตะจมูก... ยายกกฉันไว้ในตักขณะลงมือโขลกหมาก... ทำเอาฉันหัวสั่นหัวคลอนและหัวเราะครื้นเครงอย่างคนบ้าจี้... ในใจก็นับเวลารอคอยว่าเมื่อไหร่ตาจะป้อนมันเผาซะที รอนานจังแล้ว... อยากหลับต่ออีกหน่อย... คร่อกกกส์!... ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ ตาก็เกาฝ่าเท้าเล็กๆ ของฉัน แกร่กๆๆๆ... อร๊ายยยส์!... จั๊กกะจี้เป็นบ้าเลยหายง่วงเป็นปลิดทิ้งทีเดียวเชียว และแล้วตาก็ยื่นมันเผาคำเล็กที่เป่าจนพออุ่นเข้าปากบางๆ ของฉัน คำแล้วคำเล่า...งั่มๆ อร่อยที่สุดในโลก... ขอบคุณมากๆ จ้ะตาจ๋า... พรุ่งนี้ เอา อีก นะ นะ...

พ่อของฉัน เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากในเมืองไทยตั้งแต่รุ่นหนุ่ม (คล้ายบทละครเรื่องลอดลายมังกรเลยแหละ อิอิ) ส่วนแม่ฉันเป็นลูกครึ่งไทยจีน... หลังแต่งงานกัน พ่อพาแม่มาปลูกบ้านดินชั้นเดียวที่ย่านนี้ ยึดอาชีพค้าขายเป็นหลัก ยุคนั้นผู้คนใช้เงินเฟื้องเงินสลึงกัน... พ่อโชคดีมากที่ตั้งหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง พ่อทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีด้านการค้าขายที่ไม่เอาเปรียบใคร พ่อทำนาแบบวัดผลและแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ชาวนาบางรายทนต่อความแห้งแล้งอดอยากไม่ไหว ขอร้องให้พ่อช่วยซื้อที่นาเพื่อนำเงินไปลงทุนทำอาชีพอื่นที่อื่น... ถ้าราคาพอสู้ไหว พ่อก็ซื้อเก็บไว้ให้ลูกๆ พ่อของฉันมองการณ์ไกลได้ดีมากเลย... เพื่อนบ้านที่อยู่ว่างๆ ขออาสาช่วยทำนาโดยไม่คิดค่าแรง ขอแค่ปันข้าวเปลือกไปเลี้ยงครอบครัว ซึ่งพ่อก็ตกลง จึงทำให้มีผู้คนนับหน้าถือตาอย่างมากมาย เวลาแม่กะลูกๆ ไปไหนมาไหน มีแต่คนรู้จักและทักทาย ฉันภูมิใจในตัวของพ่อเป็นอย่างมาก พ่อจ๋า... คิดถึงจังเลย... ถ้าพ่อดูอยู่... ฉันไม่เป็นไร จริงๆ จ้ะ

หลังฤดูกาล เก็บเกี่ยวข้าว ตากะยายมักมาขลุกอยู่ที่บ้านฉันเป็นครึ่งค่อนวัน บ้านฉันมีงานวุ่นวายในการขนย้ายข้าวเปลือกจำนวนมาก จากฉางไปขึ้นรถบรรทุกหลายคัน ซึ่งต้องใช้แรงงานหุ่นล่ำๆ ปึ้กๆ ช่วยกันกรอกใส่กระสอบ (ไม่ได้สบายอย่างทุกวันนี้เลย) ส่งผลให้มีฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วบ้าน... ฉันไอแค้กๆ... คันไปทั้งตัว ขยี้ตาจนแดงเห็นได้ชัด แม่ว่าฉันแพ้ฝุ่นมากจนน่าสงสาร เลยอนุญาตให้ไปนอนที่บ้านยายกะตาได้ เย้ๆ... ขอบคุณจ้ะแม่ สมใจซะที ไปกันเล้ยยยย...

ตกดึก พ่อเป็นห่วง กลัวว่าฉันจะแหกปากร้องลั่นบ้านกลางค่ำกลางคืนเพราะแปลกที่ หากแต่ฉันหลับปุ๋ยอย่างบรมสุขทุกคืน ไม่มีท่าทีอยากกลับบ้านแม้แต่น้อย... เป็นที่รู้กันว่า ฉันและตากะยาย เรารักและผูกพันอย่างแน่นเหนียว จนใครๆ เก็บเอาไปเล่าขานกันทั่วทั้งตำบล... แม่ก็ออกปากบ่อยๆ ว่าฉันไม่เหมือนลูกของแม่สักเท่าไหร่... เง้อ! ฉันยิ้มจนตาหยี เข้าใจไปเองว่า ฉันเป็นลูกยายกะตาด้วย มีพ่อแม่หลายๆ คน อบอุ่นดี... ชอบๆ... พี่ๆ ของฉันมักล้อว่าฉันเป็นลูกหลงพ่อหลงแม่... เป็นเจ้าหญิงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ... ฉันไม่รู้ความหมายของมัน รู้แต่ว่าเสียใจ น้ำตาหยดแม่ะๆ... ตากะยายโอบกอด โยกตัวไปมาอยู่เป็นนาน จนหายสะอื้น... ลูกๆ หลานๆ ของตายาย พลอยเอ็นดูฉันไปด้วย แต่ยายคอยกันไม่อยากให้ไปเล่นกะใครๆ นัก กลัวจะถูกรังแก... จึงประคบประหงมฉันราวกะไข่ทองคำ... ฮ่าๆๆๆ... เวลาจะกิน เวลาจะนอน เขาทั้งคู่ไม่เคยปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพัง ฉันนั่งบนตักยายให้ตาป้อน นอนหนุนพุงตาให้ยายเอาคางย่นๆ ไซ้พุงกะทิ ฉันหัวเราะงอหาย... เราสามคนตัวติดกันแทบตลอดเวลา... อิจฉาล่ะเซ่... แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้รักอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร... ตาจ๋า... ยายจ๋า... ฉันมีความสุขจริงๆ ขอบคุณมากนะ



ฉันเปล่าเป็นลูกหลงแม่ซะหน่อย ตากะยายไม่เคยทำให้เสียใจ มีแต่จะคอยปลอบ...

บ้านของตายายเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง หลังเล็กๆ ฝาไม้ไผ่ขัดแตะ ปูพื้นด้วยกระดานไม้ซีก มีช่องโหว่แหว่งของตาไม้เป็นหย่อมๆ... ตาขัดถูพื้นด้วยเปลือกมะพร้าวครึ่งลูก มันแปล๊บ ฉันชอบมาก ทำท่าลื่นถลาสไลด์เล่น ยายบอกให้เลิกทำหัวใจจะวาย... (โถๆๆๆ ให้ฉันซุกซนได้บ้างเฮอะ...) ฉันไม่ใช่คนดื้อ ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ก็เลยลงนอนกลิ้งเกลือกไปมา... สบายแฮ... พอใกล้ค่ำ เราสามคนเดินแถวตามกันไปที่บ่อน้ำท้ายทุ่งนา ฉันเกาะอยู่บนหลังยายคล้ายลูกลิง... ตาหาบปี๊บใส่แห หมวง เชี่ยนหมากและเสื้อผ้า... เราจะไปอาบน้ำกัน...



ห้ามแอบดูนะ... เป็นกุ้งยิงไม่รู้ด้วย!

ยามนั้น ท่ามกลางท้องทุ่งและลำแสงตะวันรอน ... โอ๊ย โรแมนติกเป็นบ้า... ฉันเป็นส่วนเกินหรือเปล่า ไม่หรอก... พออาบน้ำเสร็จสรรพ ตายังคงนุ่งผ้าขะม้าแล้วไปเหวี่ยงแหต่อ หวังได้ปลาเป็นอาหารมื้อค่ำ ยายจูงมือเล็กๆ ของฉันให้ก้าวตามไปรอตาที่กระท่อม ผลัดผ้ากันเสร็จแล้ว ยายนั่งลงบนพื้นหญ้า มือข้าหนึ่งตบเบาๆ ที่หน้าขาตัวเอง เป็นนัยว่าให้ฉันนั่งลงบนนั้น... ฉันวางก้นแหมะลงไปพอดิบพอดี... ยายเริ่มตำหมาก แหลกพอดีคำ ฉันรีบเตรียมช้อนจ้วงตักคำหมากจากครก ส่งตรงเข้าปากยายอย่างเหมาะเหม็ง อ้าม... อร่อย... เราพูดพร้อมกัน... เรายิ้มให้กัน... และเอาหน้าผากชนกันเบาๆ อย่างมีความสุข...สักพัก ตาส่งเสียงโหวกเหวกพร้อมกวักมือเรียก ไป... เรากลับบ้านกัน แต่คราวนี้ฉันต้องเดินเอง กระโดดหยอยๆ บ้าง ค่ำแล้ว มองไม่ค่อยเห็นทาง คันนาก็สูงๆ ต่ำๆ มีหลุมมีบ่อ แต่ฉันไม่หกล้มเพราะยายกุมมือฉันไว้มั่น ขณะที่หาบน้ำกลับมาบ้านด้วย ตาก็ถือหมวงใส่ปลา แบกแหบนบ่าและคอนเชื่ยนหมาก... มื้อค่ำวันนั้นอร่อยอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่ารสชาดยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นมิวาย... กินอิ่มไม่ทันไร หนังตาก็เริ่มจะหนัก... แว่วเสียงพ่อกะแม่เรียกดังมาแต่ไกล ฉันไม่ไหวละ... จากนั้น ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ยังไงต่อ...



อ้อมกอด...อบอุ่นเสมอ... แม้มิได้ผูกพันทางสายเลือดแต่อย่างใด

และตอนนี้ ฉันก็ไม่ไหวจริงๆ... ตาบวม แสบตาแล้วด้วย...

วันนี้ จบก่อนดีกว่า... ไปนอนละ... บ๊าย บาย... อวยพรให้ฉันฝันดีด้วย นะ นะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ เป็นชีวิตที่มีความสุขอยู่แล้วและโชคดีนะที่ได้อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งนี้หล่ะที่ได้หล่อหลอมจิตใจ ให้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
    ได้ซึมซับความโอบอ้อมอารี มีใจเมตตาจากผู้เลี้ยงดู เป็นสิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ในสังคมปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ได้เหือดแห้งหายไม่เหลือแล้ว ฉันก็คนหนึ่งที่เกิดมากับธรรมชาติ แต่ได้ย้ายที่อยู่ตั้งแต่เด็ก เวลานี้ฉันคิดถึงธรรมชาติแบบเก่าเหมือนกัน อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมมันคงสงบเงียบ ไม่วุ่นวาย ทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้นเพราะที่นั่นไม่เหลือใครแล้วที่คุ้นเคย
    .kon chon. 13.35 น.

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อดีตที่งดงามฝังรากลึกในความทรงจำมิวาย...
      คิดถึงคราใด ลมหายใจก็ระคนสุขทุกข์... อกสะท้อน... ฮือๆ

      ลบ

เมื่ออ่านจบแล้ว เมนต์หน่อยดีมั้ย? อะไรก็ได้ที่อยากให้ฉันได้รับรู้... จากคุณ!