วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หัวปลีต้มข่าไก่... เมนูไทยๆ เล่นไม่ยาก


"ข้าวต้มมัดร้อนๆ มาแล้วจ้าาาาา... " เสียงร้องขานดังขึ้นในยามบ่ายของทุกวัน น้ำเสียงทอดยาวแม้ไม่หวานใสไพเราะแต่ก็เรียกลูกค้าได้ราวกับร่ายมนต์ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือลมจะแรงสักแค่ไหน... คุณยายท่านนี้ก็ไม่หนีหน้า สองขาที่โก่งค้อมค่อยๆ เดินเข็นรถลากคันเก่ามาตรงเวลาให้ได้ซื้อหาอาหารว่างดับหิวกันเสมอ...

"วันนี้ เหลือแค่ถุงสุดท้ายแล้วค่ะคุณหมอ" ยายรายงานในทันทีเมื่อมาถึงยังหน้าบ้านฉัน หลังจากใครต่อใครมะรุมมะตุ้มอุดหนุนจนยายรับ-นับ-ทอนสตังค์แทบไม่ถูกเอาเลยทีเดียว

"จ้ะ ไม่ว่ากัน ได้ถุงเดียวก็ยังดีกว่าอด" ฉันรับถุงขนมพร้อมยื่นแบงค์ 20 ให้ยาย... พลันสายตาก็เหลือบเห็นหัวปลีในรถเข็นหลายหัว เป็นไปไม่ได้ที่ยายจะเก็บไว้ทำกับข้าวกินเองอย่างมากมายขนาดนั้น

"หัวปลีนี่ ขายยังไงเหรอจ๊ะยาย" ฉันถามราคาเพื่อช่วยอุดหนุน หวังให้ยายได้กลับไปพักผ่อนเร็วขึ้น ไม่ต้องเดินขาลากไปอีกไกลๆ

"กินไม่เป็นก็อย่าซื้อเลยค่า... เดี๋ยวยายเอาไปเก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกเอง" ยายบอกอย่างเกรงใจ มิเห็นแก่รายได้จากการขายแต่เพียงอย่างเดียว ผิดวิสัยแม่ค้ายุคใหม่ในท้องตลาด

"อ้าว อย่าดูถูกกันสิยาย" ฉันท้วงเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบหัวปลีงามๆ ใส่ถุง 2 หัว

"ไหนบอกทีแม่คุณ จะทำรัยกิน" ยายยั่วเย้าทีเล่นทีจริง ยืดหลังขึ้นราวกับต้องการขับไล่ความเมื่อยขบที่ต้องเดินค้อมหลังลงเรื่อยๆ ในทุกย่างก้าว...

"ใส่ต้มข่าไก่น่าจะอร่อยจ้ะ" ฉันตอบในทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก หัวปลีสดๆ เช่นนี้... เสร็จฉันหล่ะ

"เอาไปต่ะ ยายให้" ยายพยักเพยิด ยกของดีให้ฉันฟรีๆ... ได้ไง ยายก้อ...

"แน้... ยายอย่าใจดีกับหนูนักเลย เดี่ยวได้ทุนหายกำไรหดหรอกรู้ป่ะ" ฉันสับพยอกกลับบ้าง เรียกรอยยิ้มกว้างจากแก้มตอบ ดูแล้วน่ารักดี... อยากรู้จริงๆ ว่าคนที่บ้านยายเคยใส่ใจที่จะเหลียวแลรอยยิ้มเปี่ยมสุขของยายกันบ้างไหมน้อ?

"งั้นเอา 10 บาทพอ ยายเพิ่งหักมาจากในสวนเมื่อตะกี้" ง่ายๆ สั้นๆ จากยายที่ไม่เห็นเงินสำคัญกว่ามิตรภาพ และฉันยื่นแบงค์ 20 ให้ไปแล้วปฏิเสธที่จะรับเงินทอน...

ยายคนนั้นกลับไปนานแล้ว แต่ภาพของยายยังไม่ยอมเลือนไปจากความคิดง่ายๆ... ถ้าหากแม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ยืนยาวอย่างยายคงจะดีไม่น้อย จะได้มีโอกาสดูแลปรนนิบัติยามแก่ชรา จะทำอาหารเมนูที่แม่นึกอยากกินบ้าง ไม่รู้จะอร่อยถูกปากหรือเปล่า?... ก้อคิดไปนู่นเรื่อยเปื่อย!... เอาหล่ะ... คุณย่าก็ยังอยู่นี่นะ ทำให้คุณย่าอิ่มอร่อยก็เป็นกุศลแรงได้เหมือนกันแหละ เนอะๆ

เมื่อเช้า กระวีกระวาดไปตลาดด้วย ม.ไซค์ เช่นเคย... เจอฝรั่งวัยหนุ่มคนหนึ่ง ตัวสูง ผมสีทอง หน้าตาดี๊ดี... มาเดินจ่ายตลาดตามลำพัง เลือกซื้อของสดหลากหลายรายการโดยไม่ต้องดูโพย ท่าทางคงจะทำอาหารเก่งไม่เบา แฟนใครก็ม่ายรู้วววส์ น่ารักเป็นบ้ารุย... เห็นอย่างนี้แล้ว คนไทยเช่นฉันจะหวั่นไปใยกะแค่ทำอยู่ทำกินในถิ่นฐานบ้านเรา จะมีที่ไหนให้จับจ่ายใช้ชีวิตสบายๆ เช่นไทยแลนด์... ม่ายมี้

 

ดูสิ มัวเม้าธ์เพลินเกินงาม เด๋วไกลเมนูไปเรื่อยๆ จะวกกลับไม่ได้... "หัวปลีต้มข่าไก่" เคยกินมาก็หลายคราวรสชาดถูกปาก แต่ก็ไม่มีใครเหมือนใคร... ที่แน่ๆ คือมีกะทิหอมๆ หวานนิดๆ เปรี้ยวน้อยๆ และต้องไม่เผ็ด... เพื่อความไม่ประมาท เปิดตาราดารดาษจากเน็ท ท่องเว็บนู่นนี่นั่น จนได้บทสรุปเป็นของตัวเอง เพราะเคล็ดไม่ลับของแต่ละเจ้าของสูตรมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินลงมือ อิอิ

เริ่มกันที่ลอกกาบนอกสีแดงคล้ำของหัวปลีออกเรื่อยๆ จนเหลือส่วนที่ขาวๆ อวบๆ เอ๊ย อ่อนๆ... (คิดรัยอยู่ว้า เรา... แฮ่!)


เตรียมกาละมังใบย่อม ใส่น้ำมาราวครึ่ง ผสมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำ 3 ชต. เพื่อแช่หัวปลีป้องกันมิให้เปลี่ยนสีออกดำๆ ไม่น่ากิน... ถ้าไม่ใช้น้ำส้มก็ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะขามเปียก แล้วแต่เลย...


หัวปลีมีเยอะ กะว่าจะใช้เฉพาะกาบอ่อนๆ จะได้ไม่เหนียว และไม่เอาเกสร เพราะมันชอบลอยเคว้งในน้ำแกง ไม่น่าดูสักเท่าไหร่... ค่อยๆ แกะ หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ แช่ลงในน้ำที่เตรียมไว้ทันที แล้วจะสีขาวจั๊วะน่ากินอย่างที่เห็น อิอิ... แต่ถ้าดำเสียแล้วจะมาเพิ่มน้ำส้มทีหลัง เสียใจด้วยนะจ๊ะ นะ

 ถ้าบ้านใครมีกอข่าปลูกกินเองถือว่าน่าอิจฉาเป็นที่สุด มันจะสด สะอาด หอมน่ากินมากเลย


ฉันเองก็ซื้อมาจากตลาดจ้ะ พอแก้ขัดไปได้... อย่าคิดอะไรมาก
 
เครื่องปรุงอื่นๆ ก็มีดังนี้ :- น้ำกะทิครึ่งโล, เนื้อสะโพกไก่ (เลาะหนังและกระดูกออก), เลือดไก่, น้ำมะขามเปียก, น้ำตาลทราย, น้ำปลา, เกลือ, พริกสด, ข่าอ่อน, ตะใคร้, ใบมะกรูด, หัวหอมแดง, ต้นหอมและผักชีฝรั่ง... (ปริมาณเท่าไหร่กะเอาเองตามสบายเลย หรือถ้าต้องการความมั่นใจก็เปิดดูจากครัวแม่พิม ครัวไกลบ้าน ครัวนายเหลือง ฯลฯ)... แล้วจัดการล้างหั่นอย่างถูกหลักอนามัย คงไม่ต้องลงลึกรายละเอียด เด๋วจะเบื่อซะก่อน...

ตั้งน้ำให้เดือด ล้างหัวปลีในน้ำสะอาดให้หมดกลิ่นน้ำส้มก่อนนำลงต้มในน้ำเดือด... แรกๆ สีจะเปลี่ยนไปทางโซนแดงนิดๆ ก็อย่าตกใจไปล่ะ สักประเดี๋ยวก็จางลง ต้มพอสุก ตักขึ้น แช่ในน้ำเย็น...

เลือดไก่หั่นชิ้นโตๆ นำลงต้มในน้ำเดือดต่อจากต้มผักเพื่อให้หายคาว... เดือดสักพักก็ตักขึ้น... เทน้ำร้อนทิ้งไป ล้างหม้อให้สะอาดก่อนนำไปต้มน้ำกะทิ ตั้งไฟกลาง คนไว้เรื่อยๆ จนใกล้เดือด (ถ้าไม่หมั่นคนล่ะก้อ กะทิจะจับกันเป็นตะกอนไม่น่ากิน) ใส่ข่าอ่อน, ตะใคร้, ใบมะกรูด, หัวหอมแดง และพริกสดลงไป คนเบาๆ ... พอเดือดอีกทีค่อยเร่งไฟแรง ใส่เนื้อไก่ลงไป... คราวนี้อย่าเพิ่งรีบคน ให้เนื้อไก่หดรัดสักเล็กน้อยก่อน ตามด้วยเลือดไก่และหัวปลี... คนเบาๆ...


พอเดือดเริ่มปรุงรสด้วยเกลือ, น้ำตาลทราย, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียก... ชิมให้ได้รสที่ชอบๆ ปรุงเพิ่มได้ตามอำเภอใจ(คงไม่ต้องเน้นตำบลนะ) ครั้นพอได้ที่แล้ว ค่อยโรยต้นหอมและผักชีฝรั่ง ปิดไฟ ยกลงจากเตา ตักเสิร์ฟร้อนๆ ได้เลยจ้า...



สำหรับคอต้มยำรสแซ่บ สามารถเตรียมชามใบโต ใส่น้ำมะนาว พริกขี้หนูสวนบุบ น้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำพริกเผา... คนให้เข้ากัน... ตักต้มข่าไก่ร้อนๆ ใส่ลงไปคนให้เข้ากัน กลายเป็นอีกเมนูที่น่าหม่ำไม่น้อยเลย... อันนี้ ก็ว่าตามชาวบ้านเค้าอีกทีจ้า


เรื่องของเรื่อง... ต่อให้มีครัวหรูหรา อุปกรณ์ทันสมัย มีเครื่องครัวครบครันทั้งของสดของแห้ง หรือแม้กระทั่งมีเครื่องปรุงทุกอย่างพรั่งพร้อม... หากแต่ฝีมือของแม่ครัวแต่ละคนมันใช่ว่าจะจรรโลงความอร่อยได้เหมือนๆ กันก็หาไม่... ฝีใครก็ฝีมันฉันใด มือใครก็มือมันฉันนั้นแล...

 
ถ้าอยากกินอย่างที่ฉันทำกิน ก็ลองทำดู มันยากที่ไหนกันเล่า... สองมือก็เท่ากัน กัดฟันสู้ๆ ดีกว่ากินแกงถุงเป็นไหนๆ... หลายคนชอบกินไปบ่นไปทั้งที่ไม่เคยลงมือทำด้วยตัวเอง มันน่าหยอดสลอดให้กินน้อยซะเมื่อไหร่ คนพรรค์นี้...


ถ้าโชคดีมีคนทำให้กินอยู่แล้ว... จะอร่อยถูกปากหรืออยากคาย ก็พยายามรักษาน้ำใจคนทำหน่อยเหอะ ก่อนจะเอ่ยปากตินู่นตินี่ก็ลองถามตัวเองดูว่าทำเองได้สักครึ่งของครึ่งที่เห็นนั่นหรือเปล่า? และถ้าไม่คิดจะผลัดเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นคนลงมือซะเองบ้าง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วางแผนก่อนจะตื่นไปตลาดสดตอนเช้าๆ อย่างพ่อฝรั่งตาน้ำข้าวคนนั้น... ทำได้อย่างเขาป่ะล่ะ?... เงียบ!... นี่แหละ หนุ่มไทย ฮ่าๆ เอิ๊กส์ๆ!


กินเสร็จแล้ว ก็ล้างให้สะอาดด้วย... ไม่ต้องให้ชี้นิ้วสั่ง... รู้ป่ะ?