วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

อะไรของฉัน... แล้วไง?

มีคำพูดประโยคหนึ่งที่คุ้นๆ หู แต่หากฟังแล้วคิดวิเคราะห์ความหมายดีๆ เป็นได้ค้อนขวั่บแน่ นั่นก็คือประโยคที่ว่า..."คุณทำอะไรของคุณ?" หรือไม่ก็ "เธอทำอะไรของเธอ?"... คล้ายๆ จะชวนทะเลาะยังไงไมรู้เนอะ

หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันถูกถามข่าวคราวความเป็นไป จากผู้คนที่เคยรู้จักมักจี่ ทั้งคนที่เคยชื่นชอบและ/หรือ(อาจ)ชิงชัง ว่าไปนั่น... อ้าว ก็มันจริงนี่นา... ยังไงก็ขอขอบคุณนักแล ที่ยังสนอกสนใจฉันอยู่แม้จะจงใจหลุดพ้นจากวงจรไปได้นานแล้ว... เรื่องของฉันมันเกี่ยวอะไรกะพวกเขานัก ไอ้ฉันก็ไม่ได้อยากจะรู้เล้ยยยย...

โธ่! ที่ถามๆ เนี่ย เป็นเพราะอยากรู้จริงหรือว่า "วันๆ ฉันทำอะไร?"


อืมห์... เนาะ... คนอย่างฉันจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ยังไง...ฯลฯ ถ้าได้รับรู้แล้วจะเป็นสุข ๆ มากกว่าเดิมหรือเปล่าน้อ? หรือว่ามันจะเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของใครคนไหนหรือไม่ เพียงใด? ฉันไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ บอกตรงๆ... แล่วกันดิ... อิอิ

ไม่ว่าจะถามด้วยความอิจฉาที่เข้าใจไปเองว่าฉันแสนสบายไม่ต้องดิ้นรนทำงานตัวเป็นเกลียวหัวฟู น่องทู่หูตาเหลือกลาน ซี่โครงบาน (เหมือนเมื่อก่อนหรือเหมือนหลายๆ คนในตอนนี้ อุ๊ปส์!)... ไม่ว่าจะถามด้วยความห่วงใยเกรงว่าฉันจะเฉาเศร้าหดหู่อ้างว้างจนฟุ้งซ่านเพราะขาดเพื่อนซี้... ไม่มีซะหละ... ถ้าใครคิดแบบแรกก็ออกตามมาเลยดิ และถ้าใครคิดแบบหลังก็จงทนอยู่ต่อไปเหอะ... เล่นไม่ยาก... หุหุ


คำตอบของคำถามก็เหมือนเดิมแหละ คือฉันยังมีความเป็นอยู่ปกติดี ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ทุกข์เดือดร้อน พอใจมั้ย? ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่สิ ไม่ท้าพิสูจน์หรอกนะ ขี้เกียจเลี้ยงดูปูเสื่อเพราะฉันเหลือบำนาญแค่พอดีกิน เข้าใจบ้างซี... ครั้นจะยอมให้หิ้วฉันออกไปเลี้ยงก็ดูจะไม่เข้าท่า ฉันไม่ใช่เพื่อนกินนะ ไม่เอาอะ เด๋วอ้วน... ขี้เกียจต้องไปกัดฟันรีดน้ำหนัก ถ้าไม่ลงง่ายๆ ปวดเข่าแย่รุย...

เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แระ... อุตส่าห์หลุดเข้ามาเสพอักษรของฉันได้กะเค้าสักครั้ง เด๋วจะว่าไร้สาระเกิ๊น... อีกหน่อยจะมีใครแวะเข้ามาล่ะ?... อย่ากระนั้นเลย... เก็บเกี่ยวความประทับใจจากเรื่องเล่าดีๆ ไปซักหน่อยก็แล้วกัน ฉันอ่านเจอจากเว็บอื่น มันโดนใจซะจนอดไม่ได้ที่จะจิ๊กมาเล่าต่อในสไตล์ของฉัน... เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า


พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อทำสวนผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบ เขาเป็นเด็กดีมีมารยาท เรียนเก่งจนเป็นที่รักของครู เพื่อนๆ และผู้คนทั่วไป

เย็นวันหนึ่ง พ่อเห็นลูกกลับมาบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธแค้นใครมา จึงคุยกันอย่างเปิดอก

"ลูกรัก วันนี้ดูหน้าตาไม่แฮบปี้นะ เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า" พ่อเริ่มอย่างไม่อ้อมค้อม ฝ่ายลูกชายนั้นเดิมทีไม่อยากกวนใจพ่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเข้าใจดีว่าพ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว แต่เมื่อพ่อเปิดประเด็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องเล่าความจริงทั้งหมด...


"เพื่อนใหม่คนหนึ่งครับพ่อ เป็นลูกคนรวยแต่นิสัยแย่ เมื่อผมสอบได้คะแนนดีและครูชม เขาเลยเกลียดขี้หน้าผม มักพูดถากถางและกลั่นแกล้งอยู่เรื่อย" ระบายให้พ่อฟังอย่างอัดอั้น

"แล้วลูกทำอย่างไร" พ่อถาม

"ผมพยายามไม่สนใจแต่เขาเล่นไม่เลิก สักวันหนึ่งผมคงทนไม่ไหว อาจจะเสยปลายคางสักหมัดเรียกเลือดชั่วกบปากมอมๆ จะได้หายซ่า" กล่าวจบค่อยได้คิดว่าเผลอโหดมีสิทธิ์โดนพ่อโกรธชัวร์... ก็ที่ผ่านมาพ่อพร่ำสอนเสมอว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ให้พาลหาเรื่องใครๆ ... แต่คราวนี้พ่อกลับนิ่ง...

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมอยากให้เขารู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง" ลูกพ่นไฟอีกชุดใหญ่... พ่อมองหน้าลูกแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันเหความสนใจ

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้พ่อมีของขวัญพิเศษจะให้ลูก" ฟังไอเดียแปลกใหม่ของพ่อด้วยสีหน้างงๆ แต่ก็ลิงโลดใจเป็นอันมาก เริ่มนับถอยหลังให้วันเกิดมาถึงเร็วๆ ทีเถิ้ดดด...


เอาเข้าจริงๆ ในวันเกิด พ่อก็มอบของขวัญให้ลูกชายตามสัญญา... เป็นกล่องกระดาษ 2 กล่อง กล่องหนึ่งสีขาวและอีกกล่องหนึ่งสีดำ

"พ่อครับ ให้ของขวัญผมแค่ชิ้นเดียวก็พอ ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองให้สองชื้น" จนแต่เจียมนะเนี่ย

"ลูกรัก พ่อตั้งใจจัดเต็มให้ลูกน่ะ รับไปเถิด" พ่อยืนกราน... ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อพร้อมกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะลงมือแกะของขวัญด้วยใจระทึก กล่องสีขาวถูกแกะเป็นลำดับแรก แต่กลับไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย... เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงถาม พ่อกลับพยักพเยิดให้เปิดกล่องที่เหลือแทนคำตอบ เขาจึงคว้ากล่องสีดำมาแกะด้วยมือสั่นๆ แต่แล้ว ก็พบเพียงความว่างเปล่าอีกเช่นกัน จะมีแปลกก็ตรงที่มีรูขนาดใหญ่ตรงก้นกล่องเท่านั้น... ว้าาา!...

"พ่อครับ ในกล่องทั้งสองไม่มีอะไรเลยนี่ครับ" ลูกชายเอ่ยกับพ่ออย่างผิดหวัง 'พ่อต้องลืมใส่ของลงไปในกล่องสีขาวแน่ๆ หรือไม่อีกที ของนั้นอาจร่วงไปจากรูรั่วก้นกล่องดำแล้วก็เป็นได้'... เด็กน้อยคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ... ในขณะที่พ่อยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกแล้วพูดขึ้นว่า

"พ่อหาของขวัญให้ลูกได้แค่กล่องสองใบนี้ แต่ของขวัญล้ำค่าที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ฉะนั้น นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้จิตใจเป็นสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ อะไรก็ตามที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ โกรธแค้น ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ ทำเช่นนี้เป็นประจำไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจความคิดอ่านและแผนการของพ่อ แต่เด็กน้อยก็ทำตามที่พ่อบอกทุกอย่าง... เขาเขียนบันทึกหย่อนลงในกล่องทั้งสองทุกวัน โดยมีสายตาของพ่อจับจ้องพฤติกรรมอยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก... เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนโครมและรีบร้อนจะออกจากบ้านไปอีกครั้ง หากว่าพ่อไม่รวบตัวเอาไว้เสียก่อน "เกิดอะไรขึ้น ลูกรัก" พ่อกอดเขาไว้แนบอกแล้วถามอย่างอ่อนโยน

"ผมจะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้ เอาให้มันเข็ดจนวันตายที่บังอาจมาดูถูกพ่อว่ายากจนต่ำต้อย แถมยังขโมยหนังสือของผมไปทิ้งถังขยะด้วย" เขากราดเกรี้ยวใส่หูพ่อ... ยามนั้น พ่อมิได้ขุ่นเคืองใจเฉกเช่นลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า

"วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุขและทุกข์ใส่กล่องสองใบนั้นหรือยัง"
"ผมจะไปจัดการไอ้หมอนั่นก่อน ให้รู้กันไปเลยว่าเราจะไม่ยอมให้มันดูถูกเราได้อีก" ลูกประกาศกร้าว
"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเข้ม "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ ฮื่ยส์!... ความที่ไม่เคยดื้อแพ่งมาก่อน จึงพยายามข่มใจระงับอารมณ์โกรธลงชั่วขณะแล้วทำตามที่พ่อต้องการ... หลังจากหย่อนกระดาษสุข-ทุกข์ลงในกล่องขาว-ดำเรียบร้อยแล้ว พ่อจึงบอกให้ลูกยกกล่องสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ไม่คิดเลยว่าจะหนักซะขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง พ่อยิ้มกว้างแล้วบอกให้ลูกไปยกกล่องดำมาวางใกล้กัน

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่าครับ เพราะผมใส่เรื่องไม่ดีของไอ้งี่เง่าคนนั้นเอาไว้เยอะเลย"

แต่ในทันทีที่ยกกล่องสีดำขึ้น เศษกระดาษมากมายก็ร่วงพรูออกมาจากรูรั่วที่ก้นกล่องจนเกลี้ยง ส่งผลให้กล่องดำเบาหวิวในพริบตา... ลูกชายตกใจหันไปมองหน้าพ่อแล้วพูดขึ้นว่า

"ผมลืมไปว่ากล่องดำมีรูรั่วรูใหญ่ เดี๋ยวผมจะปิดรูก่อนแล้วเก็บกระดาษพวกนี้ใส่เข้าไปใหม่นะครับ" พ่อหัวเราะร่าพลางส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่า

"ไม่ต้องหรอกลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ลูกจงหยิบไม้กวาดมากวาดมันทิ้งเสีย นั่นทำให้กล่องแห่งความทุกข์ของลูกว่างเปล่าเท่ากับได้ขจัดความขุ่นข้องหมองใจไปสิ้น ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวดีๆ ให้ลูกได้เบิกบานใจตลอดไป" เด็กชายอึ้งกับบทเรียนนอกหลักสูตรที่พ่อถ่ายทอดให้... บัดนี้เขาเก็ตแล้วในความหมายของกล่องสองใบ! ของขวัญล้ำค่าจากพ่อ... ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนใหม่จางหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้... หัวใจดวงน้อยผ่อนคลายเบาสบาย ไม่บีบรัดอัดแน่นเหมือนเมื่อครู่...

อาห์... เพราะกล่องแห่งความทุกข์มันว่างเปล่าแล้วนั่นเอง!


หวังว่าจะได้สาระไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขกันนะจ๊ะ นะ... ทิ้งๆ ไปเหอะไอ้เจ้าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ... อิ่มเอมแต่กับความสุขความพอใจในวิถีที่เรียบง่ายและพอเพียงเถิด... สาธุ
 

(ขอขอบคุณต้นเรื่องจาก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)



วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

(หัวอก)คนไข้หัว(อก)หมอ



กริ๊งงงง... กริ๊งงงง... กริ๊งงงง... . . .
"งายยย ว่ามาเร็วๆ เลยยย" รับสายด้วยเสียงยานคางบ่งบอกว่าง่วงงุนเต็มแก่
"ER มีเคส arrest ค่ะหมอ"
"ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้" จบคำวางหูโทรศัพท์คืนแป้นโครม มือคว้าเสื้อกาวน์สวมคลุมแบบลวกๆ ก่อนโกยแน่บไปอย่างไม่คิดเบรคก่อนถึงที่หมาย... หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทั้งที่ยังมิได้ซดกาแฟดำอย่างเคย... ดูเอาเถิด นี่อีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว ยังไม่ได้หลับได้นอนเต็มตื่นเกินสิบนาทีเลยสักครั้ง พอหัวถึงหมอนเป็นปลุกตัลหลอดซีน่า ชีวิตมันต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยหรือไง จะมีอะไรหนักหนาสาหัสไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ยะ? อยากจะบ้าาาา... โว้ยยยส์...


ที่ ER (ห้องฉุกเฉิน) หลายคนยืนมุงอยู่หน้าประตูพร้อมใจกันแหวกทางให้หมอผ่านเข้าไป... สภาพที่เห็นตอนนั้นคือคนไข้ชายสูงวัย ตัวอ้วนกลม นอนอืดล้นอยู่บนเปลนอน คลำชีพจรไม่ได้ ไม่หายใจ ตัวเย็น ซีด ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองการกระตุ้นใดๆ... เดาได้ว่าท่านยมคงยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแน่ๆ... เฮ้อ!

 

"เตรียมใส่ใส่ TUBE, monitor EKG, เปิดเส้นโหลด IV ขอเป็น NSS ให้สัก rate 300, อีกคนก็ปั๊มไปเรื่อยๆ นะครับ ส่วนพี่คนนู้นช่วยโทรตามทีมกู้ชีพมาเพิ่มสองคนด่วนที่สุด ให้สลับกันปั้มไม่หยุด พวกเราเอาไม่อยู่หรอก ตัวยังกะยักษ์"
"ค่ะ คุณหมอ" เสียงหวานใสรับคำก่อนจะวิ่งจัดการตามสั่งอย่างเคยคุ้น... อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วตลอดเวลาถูกเข็นมาเสิร์ฟในทันที... หมอจัดการใส่ท่อช่วยหายใจ ดูอะไรๆ ก็ขลุกขลักไปหมด ด้วยว่ามีขนาดมหึมาเกินบรรยาย ไหนจะมีแรงขย่มจากการปั้มหน้าอกอย่างต่อเนื่อง พลอยสะเทือนบึ้บๆ จนอยากจะเหวี่ยงกระจุยกระจาย แต่ก็ต้องอดทนทำจนสำเร็จ... จากนั้น จึงเหลือบตามองจอมอนิเตอร์ ที่สัญญาณคลื่นต่างๆ ไม่กระตุกจากแนวราบสักแอะ...
 "น้ำตาลในเลือด มากกว่า 400 นะคะหมอ" เสียงหวานใสบอกข้อมูลสำคัญให้อย่างรู้ใจ มิต้องให้เอ่ยถาม ยิ่งยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ เมื่อไม่มีคำสั่ง ก็ต้องจัดให้อย่างรู้หน้าที่...
"Adrenaline ทุก 3 แล้วรันไปเรื่อยๆ นะ" สั่งการจบ สาวท้าวไปหากลุ่มญาติที่ออกันอยู่หน้าห้องด้วยท่าทีวิตกทุกข์ร้อน...


"ญาติคนไข้ชื่อคุณลุง x มีไหมครับ" ร้องถามไปพลาง ซับเหงื่อที่หน้าไปพลาง...
"ฉันค่ะ / ผมครับ" เสียงขานรับพร้อมๆ กันหลายคนจนแยกไม่ออกว่าใครพูดก่อนพูดหลัง
"เขาจะรอดมั้ยคุณหมอ?" คนใดคนหนึ่งยิงคำถามที่หมอฟังแล้วแทบร่วงจากท่ายืนในทันที...
"หมอจะช่วยเต็มที่ครับ แต่ตอนนี้ขอถามเรื่องโรคประจำตัวของคนไข้ก่อน"
"เขาเป็นหลายโรค ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ กินยาของหมอที่โรง'บาลในกรุงเทพ ลูกคนโตพาไปหาหมอเป็นประจำ" อืมห์... อีกแล้วซีนะ ที่การเข้าถึงบริการขั้นสูงส่งผลเสียต่อชีวิต...
"โรคหัวใจ อาการแกเป็นยังไงบ้างครับ"
"คุณเป็นหมอหรือเปล่าเนี่ย เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้... พาไปโรง'บาลอื่นเหอะ" ญาติคนหนึ่งเหวี่ยงใส่หมอเต็มเหนี่ยว อึ้งกินกันเป็นแถว... หมอเองต้องรีบนับเลขพ่วงทศนิยม 1.000, 2.000, 3.000, ...

"เส้นตีบค่ะ หมอฉีดสีแล้วก็ใส่ตาข่ายสองเส้น เขาว่างั้นนะ" เสียงอ้อมแอ้มจากป้าคนหนึ่ง ช่วยยับยั้งเหตุลุกลามที่อาจเกิดขึ้นได้ ณ นาทีนั้น...
"ก่อนพามานี่ แกเป็นยังไงบ้าง" หมอซักเพิ่มเติมติดจะห้วนๆ
"ปกติแกจะต้องลุกไปฉี่ตอนราวๆ ตีสองของทุกคืน มาวันนี้ไม่เห็นลุก แต่ได้ยินเสียงครางเบาๆ พอไปเปิดไฟดูก็เห็นนอนงียบๆ เรียกก็ไม่ลุก ปลุกก็ไม่ตื่น เลยร้องเรียกญาติๆ ให้ช่วยกันหามมาส่งเนี่ยแหละ กลัวแกตายในบ้าน" อ้าวเฮ้ย ซะงั้น...
"แกบ่นเหนื่อย หรือเจ็บหน้าอกบ้างไหม?"
"ไม่รู้นะ ไม่ได้เฝ้าดูแลใกล้ชิด ต่างคนก็ต่างมีงานต้องทำไงหมอ" อีกดอกแล้วหรือนี่ เงิบเลย... ฮื่ยส์!
"เอาหละ ตอนนี้ลุงแกอาการหนักมาก หมอใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาเต็มที่ และทีมงานเร่งปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่อง แต่ลุงแกก็ยังไม่มีทีท่าตอบสนองแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะมาถึงหมอช้าเกินไป ผมต้องขอให้ช่วยทำใจเผื่อไว้บ้... "
"เขาจะตายตอนนี้ไม้ได้นะหมอ ยังไงก็ต้องช่วยให้รอดเท่านั้น" เอากะเขาซี แรงไม่เบาเลยคืนนี้
"หมอไม่รับปากนะว่าการช่วยจะสำเร็จหรือเปล่าแต่ก็จะทำเต็มที ขอตัวนะครับ" เมื่อหันหลังเดินจากมา เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นและถ้อยคำคร่ำครวญดังระงมขึ้น ยากที่จะเข้าใจว่าพูดอะไรยังไงกันบ้าง...


"ขอ atropine 2 amp IV" หมอสั่งยาเพิ่ม เมื่อเห็นว่าไร้วี่แววสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจในจอ
"ได้ค่ะ" พยาบาลรับคำก่อนจะรีบไปดำเนินการตามหน้าที่ และในที่สุดก็จัดการตาม advance ACLS จนครบ 30 นาที... ทีมงานล้วนมีสีหน้าท่าทางเครียดจัด... แล้วหมอก็เดินเนือยๆ ไปคุยกับญาติอีกครา...

"ญาติคุณลุง x ขอเชิญทางนี้ครับ" น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ท่าทีเหนื่อยสุดชีวิต สายตาส่งสบไปยังบรรดาญาติคนโน้นทีคนนี้ที่ ซึ่งดูเหมือนกลุ่มจะมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นเท่าตัว
"ว่าไงหมอ พ้นขีดอันตรายหรือยัง?" ญาติรัวรุกในทันทีอย่างมีความหวัง
"เสียใจด้วยครับ..." หมอพูดสั้นๆ ชัดเจน ตรงประเด็น ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยให้เสียเวลา... ผลคือ
บางคนปล่อยโฮ บ้างคนล้มบ้างซวนเซ ก็ช่วยๆ พยุงกันไป... นี่แหละ สัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอไม่ช้าก็เร็ว!
"หมอช่วยยืดเวลาให้อีกหน่อยเหอะ นะครับนะ รอลูกชายคนโตของอีกแกสักหน่อย" หนุ่มใหญ่คนหนึ่งลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนหมอ พลอยทำให้คนอื่นๆ นั่งลงยกมือไหว้เรียงแถวหน้าสลอน... ท่าทีที่เคยแข็งกร้าวกลับไม่มีปรากฎให้เห็น
"ไม่มีประโยชน์หรอกครับ สมองไม่ทำงานแล้ว ทีมกู้ชีพได้ช่วยกันอย่างสุดความสามารถใช้เวลานานเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดเลย คงต้องยอมรับความจริงเสียที" หมอพยายามอธิบาย
"ได้โปรดเถอะคุณหมอ รอก่อน ขอร้องหละช่วยต่อเวลาอีกนิด... นี่ก็ออกจากบ้านได้ 2-3 ชั่วโมงแล้ว เขาสั่งให้รอก่อน ยังไงก็จะมาให้ทันดูใจพ่อ" อ้อนจริง ทั้งคำพูดและแววตาชวนให้สงสารไม่น้อย...
"เอางั้นก็ได้ครับ ว่าแต่ตอนนี้ ลูกแกเดินทางถึงไหนแล้วล่ะ?"
"ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ไม่เกินบ่ายสองโมงถึงแน่" อร๊ากกกกส์! ซวยเลยตรู... เบลอถึงขนาดยอมตกปากรับคำไปแล้วด้วย... ไม่น่าหาเหาโปะหัวเล้ยยย... กรรม!
"งั้น ขอญาติผู้ชายที่ตัวโตๆ มาช่วยหมอสัก 4-5 คน ได้ไหมครับ?" จำเป็นต้องหาทางออกแบบง่ายๆ
"ได้ครับๆ ไปพวกเรา" ว่าแล้วก็พยักเพยิดให้พรรคพวกเดินแถวตามหมอมาราวกับลูกเป็ด
"เดี๋ยวหมอจะให้ทีมงานช่วยสอนปฏิบัติการกู้ชีพ (CPR) ขั้นพื้นฐานให้นะครับ ทำไม่ยากหรอก พอทำเป็นกันแล้ว ทีนี้พวกคุณอยากจะยื้อเวลาไว้นานแค่ไหนก็เชิญผลัดกันช่วยได้ตามสบาย หมอจะอยู่ใกล้ๆ ให้ตามตัวได้ง่ายตลอดเวลา แต่คงต้องนอนงีบเอาแรงในห้องพักเวร เพราะพรุ่งนี้เช้าผมจะต้องลุกมาตรวจคนไข้ตามปกติ หวังว่าคงเห็นใจนะครับ"


"จัดการเลยครับพี่..." หมอส่งซิกให้ทีมงาน "ญาติๆ วอนขอเวลารอลูกจากกรุงเทพฯ อีก 8 ชม.ถึงชัวร์ หมอเลยเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการกู้ชีพด้วย เต็มที่นะครับ ผมต้องขอตัวก่อน ง่วงสุดๆ ยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ" ว่าแล้วหมอก็เดินตรงเข้าห้องพักแพทย์เวรไป... พยาบาลชุดกู้ชีพได้ฟังดังนั้น ก็ต้องเล่นตามน้ำอย่างไม่มีรีรอชักช้า เชิญชวนญาติตัวล่ำๆ ไปใกล้เตียงคนไข้ แล้วถ่ายทอดวิชาการในทันทีด้วยท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง... เมื่อสอนสาธิตเสร็จก็ให้ลงมือปฏิบัติกับของจริงซะเลย โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือปฏิเสธกันละ
 

"เวลาปั๊มแขนต้องตึงค่ะคุณ... กดหน้าอกให้แรงๆ กว่านี้ กดให้ลึกลงไปสองนิ้ว นับจังหวะตาม 1,2,3,4... ไปเรื่อยๆ ไม่มีเหนื่อยไม่มีท้อ... เอ้า ลงมือ!!! นับครบ 300 แล้วเปลี่ยนคนอื่นมาปั้มแทนอย่าให้ขาดช่วง... ส่วนคนบีบแอมบูก็ต้องมีสมาธิด้วยสิคะ" น่าน... โดนเข้าให้มั่งแล้วมั้ยล่ะ... หุหุ

เมื่อเห็นว่าปฏิบัติการได้ผลเป็นที่พอใจ พยาบาลคนหนึ่งจึงหลบไปนั่งใกล้ๆ ลงมือเขียนบันทึกรายงานในแฟ้มประวัติคนไข้ ส่วนคนอื่นๆ ก็เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ไปทำความสะอาดตามหน้าที่...


เวลาผ่านไปช้าๆ ราวครึ่งชั่วโมง หนุ่มๆ ทั้งหลายเหงื่อแตกซิก กล้ามเนื้อแขนขาเกร็งเหมือนตะคริวจับ แผ่นหลังตึงเปรี๊ยะจะหักเสียให้ได้ อดรนทนต่อไม่ไหว ลอบมองสบตากันก่อนจะส่งเสียงร้อง...
"หมอคร้าบ ผมไม่ไหวแล้ว หมดแรง ปวดแขน ปวดหลัง ปวดเอวจะตายอยู่แล้วคร้าบบบ!"
"นี่ๆ อย่าส่งเสียงดังนักสิคุณ ประเดี๋ยวหมอก็ตื่นหรอก สงสารเขาบ้างเถิด ตะกี้เขาลงมือทำอย่างพวกคุณนี่แหละ ไม่มีบ่นอะไรสักแอะ คืนนี้เขาก็เพิ่งได้เอนตัวลงนอนไม่ถึงชั่วโมง... เขาอดหลับอดนอนอย่างนี้ทุกคืนเลย นี่ถ้าเป็นคนอื่นอาจย้ายหนีไปนานแล้วรู้มั้ย... เอาน่า ช่วยๆ กันทำต่อไป จนกว่าญาติคุณจะมาถึงดีกว่า" แปร่วส์! ว่าหมอโหด พยาบาลเหี้ยมกว่าว่ะ... มะมีใครกล้าหือ...

 

ผ่านไปอีกราว 15 นาที... สองหนุ่มนั่งแหมะลงกับพื้นห้องอย่างยอมแพ้ ร้องครวญขอแอมโมเนียปริ้มว่าจะขาดใจ... ส่วนญาติที่เหลือก็ยืนดูเฉย หาได้มีกะใจจะขึ้นปั้มแทนอย่างต่อเนื่องตามที่สอนไม่... ทุกคนเอาแต่ส่ายหน้าให้กันอย่างยอมจำนนและน้อมรับโดยดุษฎีว่าความพยายามกู้ชีพนั้นได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว สมควรยุติการยื้อชีวิตคุณลุงแล้ว... สาธุ

"พอแล้วครับ ไม่ไหวแล้ว ใจจะขาดตายซะให้ได้จริงๆ พวกผมซาบซึ้งแก่ใจดีแล้วครับ ไม่ขอให้รอใครอีกแล้ว... และ ผมจะคุย... ให้คนอื่นๆ เข้าใจเอง... ว่าอะไร... เป็นอะไร... ฝากขอโทษคุณหมอที่อยู่เวรคนนั้นด้วยครับ" ญาติหนุ่มพูดปนหอบยืดยาวให้พยาบาลกู้ชีพฟัง... เป็นอันจบ! แบบไร้ซึ่งปัญหาคาใจ


เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้แล้ว จะมีใครเห็นอกเห็นใจหมอบ้างมั้ยหนอ?

ส่วนใครมีลูกมีหลานวัยเรียน ถ้ายังอยากให้เด็กเรียนหมออยู่อีกก็ตามสบาย... นะจ๊ะ นะ

แต่ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่ง... พวกเขา 'ยิ้มไม่เป็น' หรอก

 
ฉันล่ะเบื่อ!

เบื๊อ - เบื่อ

ชริ!


วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

คนพิเศษ


ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรในใจ จู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็ชวนคุยเรื่องเพื่อนสนิทของเขา ฉันเลือกที่จะฟังมากกว่าพูด เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ได้รับรู้อะไรเพิ่มอีกหลายๆ อย่าง... ยอมรับว่าแนวคิดต่างไปจากตัวตนของเรามากมายทีเดียว แต่ก็เข้าใจธรรมชาติความเหมือนและแตกต่างของบุคคล ย่อมไม่มีใครถูกทุกอย่างหรือผิดทุกอย่าง และทุกคนมีสิทธิ์คิดในแบบฉบับของตัวเอง ใช้ความชอบใช้เหตุผลของตัวเองเพื่อตัดสินใจด้วยตัวเอง... รวมทั้งต้องยอมรับผลของการกระทำในอนาคตอย่างปฎิเสธไม่ได้...


และก่อนนอนคืนหนึ่ง เขามาเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา เพียงเพื่อจะถามเวลาตกฟากของตัวเอง ซึ่งฉันตอบไม่ได้ ก็มันนานแล้วนี่นา ตอนเค้าอุแว้ๆ ฉันถูกเจี๋ยนอยู่บนเตียงหาได้รู้สึกตัวสักนิดไม่... จำต้องไปค้นใบสูติบัตรในกระเป๋าเอกสาร โชคดีที่หาเจอง่ายๆ... ไม่ต้องถามก็พอเดาออกว่าจะเอาไปทำอะไร...ตามใจซี อยากทำอะไรก็ทำไป ขอเพียงอย่างมงายหลงเชื่อแบบไม่มีสมองก็พอ...

ไอ้ฉันมันแปลกคนเอ๊ยเป็นคนที่ต่างจากชาวบ้าน ตรงที่ไม่ชอบหมอดูเอามากๆ ต่อให้เป็นเกจิอาจารย์ของสำนักโหรที่มีชื่อเสียงลือลั่นฟันธง หรือเป็นคนทรงเจ้าเข้าฝีสั่นงั่กๆ ราวกับคนไข้โรคพาคินสัน หรือเป็นพระคุณเจ้าตามวัดดังๆ ที่ชอบแขวนลูกประคำทำยันต์อ่านอาคมพรมน้ำมนต์... โฮ้ย ฉันคนนี้ ขออยู่ให้ห่างรัศมีจะดีที่สุด... ใครจะว่าฉันบาปหนาหน้าบุญไม่มี-ผีไม่คุ้ม ก็ตามแต่สะดวกเทอญ...

 

ความจริงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธก็คือ ฉันคนนี้ได้ดูหมอเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว โธ่... ไม่เห็นความจำเป็นต้องไปดูหมออื่นหรือให้หมอคนอื่นคนไหนๆ มาดูฉันหรอก แค่คนเดียวนี่ก็เต็มที่สุดๆ แล้ว ดูจนแทบจะเบื่อหน้ากันแระ... ว่ามั้ย? (นอกเรื่องจนได้ อิอิ)

ถ้าถามฉันว่า มีอคติกับการดูดวง-ดูหมอหรือเปล่าเนียะ? ตอบได้เลยทันที... มีชัวร์! ตั้งแต่สมัยเด็กๆ นู่นแน่ะ... จำได้ว่าตอนนั้นเรียน ม.ปลาย ทางโรงเรียนพามาชมงานเกษตรแฟร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน... คุณครูคนสวยท่านหนึ่งคว้าแขนฉันพาเดินไปไกล... เพื่อไปยังเต้นท์ของสมาคมโหราศาสตร์ ให้ฉันยืนคอยนานเป็นชั่วโมง กว่าจะซักไซ้ไร่เรียงจนพอใจในคำตอบ ทำไมถึงเชื่อว่าหมอดูที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันเลย จะสามารถล่วงรู้อดีต-อนาคตของตัวเองก็ไม่รู้... ต่อให้ทำนายอย่างมีหลักการและเหตุผลมากถึงมากที่สุดก็ตาม คำตอบทั้งหลายที่ได้มา มันก็มีแค่ผิดกะถูกเท่านั้น... โธ่!

ตกลงว่าวันนั้นคุณครูเต็มใจควักใบแดงๆ จ่ายไปเป็นฟ่อนเลยทีเดียว สีหน้ายิ้มแย้มแก้มปริ ผิดกับฉันที่ปั้นยิ้มไม่ไหวเพราะทั้งหิวทั้งเมื่อยขาแถมยังกังวลใจที่หายตัวมานานจนเลยเวลานัดหมาย... บรรยากาศรอบๆ ตัวเริ่มมืดครื้ม อยากออกวิ่งตรงไปยังที่จอดรถบัสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแต่ครูกลับออกปากให้หมอดูทำนายชะตาใหฉันฟรีๆ สักสามข้อ... โดยที่ฉันมิได้เอ่ยสักคำว่าอยากรู้เกี่ยวกับอะไร...
 

หมอดูทำนายดวงชะตาฉันอย่างรวดเร็ว... อายุ 19 ปี จะมีเคราะห์ เดินทางชีวิตผิดพลาดแทบหมดอนาคตใครก็ห้ามไม่หยุดฉุดไม่อยู่, อายุ 20 ปี เคราะห์กรรมหนักกว่าเก่า เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นพิการ และยังบอกว่าฉันเป็นคนอาภัพคู่ จะอยู่เกาะคานทองไปจนวัยดึกถึงจะมีพ่อหม้ายมาติดพัน... โห ช่างกรีดความรู้สึกของเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาอย่างเลือดเย็น... ทำให้ฉันเก็บมาเป็นขยะอารมณ์อยู่ได้ตั้งนาน หวาดหวั่นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ... กริ่งเกรงและเกร็งทั้งที่รู้ว่านั่นมันก็แค่หมอดูหมอเดา แค่คำทำนายที่อาจจริงหรือเท็จก็ได้ แต่ก็ยังกลัวแบบไม่มีเหตุผลสมควรอยู่ดี... โดยเฉพาะข้อแรกนั่น เล่นงานฉันจนประสาทพอที่จะทำตัวเฉยชาไร้ความเป็นกันเองกับเพื่อนชายแทบทุกคนเลยก็ว่าได้ ก้มหน้าก้มตาเรียนลูกเดียว... จนเมื่ออายุย่าง 21 ปี ก็ได้ข้อสรุปชัดเจนแจ่มแจ้งซะทีว่า "หมอดู คือเจ้าของลมปากที่มิควรค่าต่อการเชื่อถือเลยสักนิด" โล่ง!... และฉันไม่เคยจ่ายเงินแม้แต่สลึงเดียวเพื่อให้คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้มาเดาสุ่มในเรื่องราวของฉันแบบมั่วซั่วส่งเดช... ชริ!


เมื่อครั้งออกฝึกงานตอนก่อนจบ รุ่นพี่หลายคนจากหลายสาขาอาชีพเพียรหยิบยื่นไมตรีให้ สำหรับฉันแล้วคิดแค่ว่า ทุกคนคือรุ่นพี่ที่ฉันนับถือเท่ากันหมด ไม่มีใครพิเศษไปกว่าใคร... เพื่อนๆ แซวว่ารถไฟชนกันบ่อย ไม่หรอก... ก็เห็นๆ อยู่ว่าทุกคนทักทายพูดคุยกันอย่างมีน้ำใจไมตรี ฉันไม่ได้เอ่ยปากเชิญชวนใครให้มาหาซักหน่อยนี่นา... พวกเขาก็แค่เห็นว่าฉันเป็นน้องที่จริงใจใสซื่อคนหนึ่ง พูดคุยด้วยแล้วสบายใจดีก็เท่านั้น... ไม่มีอะไรในกอไผ่ซักหน่อย เง้อ...

ในเรื่องการวางตัว ฉันเคยหารือกะแม่และพี่สาวอีกสามคน ได้ข้อสรุปว่า ใครดีมาก็ดีตอบ ชอบไม่ชอบให้เก็บไว้ในใจ ปฏิเสธที่จะอยู่สองต่อสองในทุกที่ทุกเวลา และอย่าให้ปัญหามาจากเรา ฉันจึงตั้งปนิธานไว้แน่วแน่ว่า ทุกคนคือเพื่อนรุ่นพี่เท่ากันหมด ส่วน "คนพิเศษ" ของฉันต้องมีคนเดียวเท่านั้นตลอดไป...


เอาเข้าจริงๆ เมื่อถึงคราวที่คิดจะสร้างครอบครัว ฉันได้ยินชัดว่าดวงของฉันไม่ถูกโฉลกกับดวงของว่าที่เจ้าบ่าว ประมาณว่าฉันดวงแข็งและค่อนไปทางร้าย (ยังดีที่ไม่เลว หุหุ) แต่งไปอาจอยู่ไม่ทน... ยอมรับว่าเสียความรู้สึกไม่ใช่น้อยๆ เลย ยังไงดีล่ะ? ไปแต่งกะคนอื่นที่ดวงเนื้อคู่แต่ไม่รู้จักไม่รักไม่ชอบซะเลยดีมั้ย? ที่สุดแล้วพี่ชายกลับไม่แคร์ใดๆ แถมเดินหน้าเต็มสตรีม...


จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยถามสักคำว่าฉันมันร้ายกาจขนาดไหน ยังไงบ้าง... ฮ่าๆ

 

อ้าวๆ จ้องอยู่ได้ตั้งนาน... จะดูให้ชัดๆ ว่านั่นไม่ใช่ฉันงั้นสิ... ฮิ้วส์!

แพ้ใจ สไตล์ฉัน

พอดีว่าการค้นหาข้อมูลจากอากู๋ ช่างบังเอิญไปเจอโน้ตขลุ่ยเข้าให้ มีคนใจดีเขาเขียนไว้ก่อนแล้ว... ได้การเลย รีบหยิบกีตาร์คลาสสิกตัวเก่งมาลองเล่นดู มันก็คือเมโลดี้ของเนื้อเพลงดีๆ นี่เอง มีโน้ตบางตัวที่ต้องปรับเสียงให้ต่ำกว่าโน้ตขลุ่ยโดยยึดระดับเสียงของโน้ตสากลเป็นหลัก... แก้ไขเสร็จปุ๊บ ลองเล่นดูจนคล่อง... เออแฮะ ก็พอได้ฟัง เล่นง่ายดีด้วย  ส่วนใครจะฟังได้หรือไม่ได้นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกะฉาน...


ใครบอกอยากเกิดมาไม่ทันเรียนดนตรีสากลทำไมเล่า มันก็ต้องเล่นแบบเถื่อนๆ เงียะ!
ไม่ผิดกฎหมายใดๆ เป็นใช้ได้... เอิ๊กส์ๆ...

อ่ะ ถือว่าฝึกพลังนิ้วหรือไล่สเกลก็แล้วกันนะจ๊ะ นะ

หากว่าใครที่เล่นเก่งอยู่ก่อนแล้ว ก็อย่าร้องยี้เลยหนา
ได้โปรดช่วยชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำให้ฉันด้วย

จักขอบพระคุณหลายๆ จร้า



ด   ร  ม ม ม  ม   ร   ด  ร  ซ  ซ  ซ
เก็บใจไว้ในลิ้นชัก คงไม่เจอแล้วรักแท้

 ซล ธ    ด    ด     ด   ธ   ล  ธ   ม  ม  ม
เบื่อกับความปรวนแปร มันไม่แคร์และไม่หวัง

ธร    ม    ร  ด  ด   ล ซ   ร  ด
มันเหมือนคนชินชา ไม่มองไม่ฟัง

ม     ม ร ด ด  ร   ม   ร
และแล้วก็มีเธอเดินเข้ามา

ด   ร  ม  ม ม  ม   ร ด  ร     ซ   ซ   ซ
เข้ามาค้นในลิ้นชัก  ที่ปิดตายเพราะรักร้าว

ซล ธ ด ด ด  ด    ธ  ล   ธ  ม ม ม
ให้อภัยใจเมาเมา มาแบ่งเบาที่ฉันล้า

 ร  ม ร ด ด   ซล ซ ม ร ด   มฟ ม  ร ด  ด  ร   ด
มาสนใจใยดี   คนที่ไม่มีค่า   ให้รู้ว่าตัวเองยังสำคัญ

 ม  ฟ  ซ   ล    ล  ท ล  ซ  ฟ    ซ
* เก่งมาจากไหนก็แพ้หัวใจอย่างเธอ

  ด  ร  ม   ฟ  ฟ  ซ  ฟ ม  ร  ม  ซ
เมื่อไรที่เผลอยังนึกว่าเธออยู่
ในฝัน

 ซ  ซ ซ ล    ล   ท ล ซ    ฟ   ซ  ฟ  ม
ยังมีอีกหรือรักแท้ที่เคยเสาะหามานาน

 ม  ล  ม  ม  ม ม  ร  ม  ร
วันนี้เป็นไงเป็นกัน  จะรักเธอ

ด   ร  ม ม ม  ม     ร   ด   ร  ซ  ซ   ซ
เมื่อเธอรู้ว่าฉันรัก    เธออย่าทำให้ฉันหลง

 ซล  ธ  ด   ด   ด    ธ ล   ธ    ม   ม   ม
บอกมาเลยตามตรง  นี้เรื่องจริง หรือฉันเพ้อ

ร   ม  ร  ด ด  ด   ซล ซ ม ร  ด
ตอนนี้ยังพอทำใจ   ถ้าสิ่งที่ได้เจอ

ม  ฟ  ม  ร  ด   ด  ร   ด
คือฝันคือละเมอและไม่จริง ( * )

ม  ฟ ม  ร  ด   ด   ร    ด
วันนี้ฉันรักเธอคือเรื่องจริง

 

เล่นบ่อยๆ เข้าไว้ เป็นร้อยรอบ พันรอบ หมื่นๆ รอบ

หวังว่า มันจะเปลี่ยนเป็นชนะใจได้สักวันแน่ๆ  


แพ้ใจ : คอร์ด

ค่ำๆ... ลมเย็นๆ... นั่งเล่นใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน นึกครึ้มอยากเดี่ยวกีตาร์... แม้จะรู้ดีว่าตัวเองร้องเพลงไม่เก่งร้องให้ตายก็ไม่เพราะ... แต่ก็เนาะ ดนตรีไม่มีพรมแดน ฮ่าๆ...

 

ฉันรู้ว่าหลายคนอยากเล่นกีตาร์ แต่กลัวๆ ไม่กล้า... ซะที ชิมิ ชิมิ
ก็เลยพาคุณครูใจดีมาสอนให้ถึงที่เลย ใครสนใจเชิญหยิบกีตาร์มานั่งเกาด้วยกันจ้า

<<< ต่ะว่า ถ้ายังไม่หายคัน ก็อย่าเคืองกันน้าาาาา >>>



ขอขอบคุณยูทูปและ : ครูบุ๋ม วาสนาการดนตรี อ.แม่สอด จ.ตาก

 

Intro :  F /  G  /  Em  /  A7  /  Dm  /  G  /  C

          C                     Em
เก็บใจไว้ในลิ้นชัก คงไม่เจอแล้วรักแท้

           Am                        Em
เบื่อกับความปรวนแปร มันไม่แคร์และไม่หวัง

               F                Em   Am
มันเหมือนคนชินชา ไม่มอง ไม่ฟัง

      Dm                     G
และแล้วก็มีเธอเดินเข้ามา

          C                       Em
เข้ามาค้นในลิ้นชัก  ที่ปิดตายเพราะรักร้าว

      Am                        Em
ให้อภัยใจเมาเมา มาแบ่งเบาที่ฉันล้า

         F             Em     Am     Dm      G            C
มาสนใจใยดี   คนที่ ไม่มีค่า   ให้รู้ว่าตัวเอง  ยังสำคัญ

                    F        G                Em / Am
* เก่งมาจากไหน  ก็แพ้หัวใจอย่างเธอ

             Dm     G              C
เมื่อไรที่เผลอยังนึกว่าเธออยู่ในฝัน

            F       G               Em     A7
ยังมีอีกหรือรักแท้ที่เคยเสาะหามานาน

    Dm                          G
วันนี้เป็นไงเป็นกัน  จะรักเธอ

          C                          Em
เมื่อเธอรู้ว่าฉันรัก    เธออย่าทำให้ฉันหลง

           Am                     Em
บอกมาเลยตามตรง  นี้เรื่องจริง หรือฉันเพ้อ

          F                   Em       Am
ตอนนี้ยังพอทำใจ   ถ้าสิ่งที่ได้เจอ

    Dm         G             C
คือฝันคือละเมอและไม่จริง ( * )

Instr  :  C  Em  Am  Em  F/Em  Am/Dm  G C  F  Em  Am

   Dm        G              C
 วันนี้ฉันรักเธอคือเรื่องจริง