วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ส้ม... อเมซิ่ง



ส้มสายน้ำผึ้ง เป็นผลไม้ที่มีขนาดย่อมๆ ผิวเรียบเนียน เปลือกบางสีเหลืองปลั่ง
รสชาดดีหวานซ่อนเปรี้ยว เวลาปอกมีกลิ่นหอมชื่นใจจากน้ำมันที่เปลือก
เนื้อในมีสีเข้มน่ากิน... ปอกง่าย ไม่ค่อยมีกาก ราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นที่นิยม...



นี่แน่ะ สมมติว่าฉันเป็นแว็กซ์... ที่เคลือบติดผิวส้มแต่ละลูก...
จะเกิดอะไรขึ้นกับส้ม? จะได้เห็นอะไรยังไงบ้าง?... ลองตามไปดูกันดีกว่า... เนอะๆ



ส้มผลแรก... มีหญิงอ้วนคนหนึ่งซื้อมา แล้วหยิบให้ชายขอทานขาด้วนที่หน้าตลาดไป...
ขอทานคนนั้นปอกส้มกินเพียงครึ่งลูก... แล้วขว้างส่วนที่เหลือทิ้งไปอย่างไม่แยแส...
พร้อมกับเสียงตำหนิ... "เค็มชิปห... ให้มาได้งัย กะอีแค่ส้มลูกเดียว... เชอะ"



ส้มผลที่สอง... หญิงอ้วนคนเดิมส่งให้ลูกสาววัยเยาว์...
เด็กน้อยรีบปอกทานในทันที ด้วยท่าทางน่าเอร็ดอร่อย...
พอเคี้ยวกลืนกลีบสุดท้ายเรียบร้อยดีแล้ว... เธอก็พูดว่า
"ส้มนี้อร่อยมากๆ ค่ะ คราวหน้า...ซื้อมาฝากอีก นะคะ ขอบคุณค่ะ"
เธอไม่พูดเปล่า ยกสองมือไหว้และโปรยยิ้มให้แม่... อย่างอ่อนหวาน...



ส้มผลที่สาม... หญิงอ้วนมอบให้กับแม่บังเกิดเกล้าของเธอ...
คุณแม่ก็ได้นำส้มไปคั้นเป็นน้ำส้มสด... แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้
พอตกตอนบ่ายๆ รู้สึกกระหายน้ำ... เธอหยิบน้ำส้มมาดื่ม...
แล้วก็เปรยอย่างยินดีว่า "น้ำส้มนี้ ดื่มแล้วชื่นใจดีจริงๆ"




ส้มผลที่สี่... เจ้าของร้านขายของชำซื้อไป...
เค้านำไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิดหน่อย เติมน้ำตาลทรายพอประมาณ...
ชิมรสตามชอบใจ... พอได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่...
เมื่อมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นเข้า ก็ส่งซื้อ...
"น้ำส้มคั้นแก้วนึง... เท่าไหร๋จ๊ะ?"
"12 บาท ครับ"... เจ้าของร้านเก็บตังค์และแก้วเปล่า...



ส้มผลที่ห้า... อยู่ที่พ่อค้าขายน้ำผลไม้...
เค้านำส้มเหล่านี้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เติมเกลือ และน้ำเชื่อมลงไป เยอะหน่อย...
ปรุงรสให้ได้ที่... จากนั้น นำไปกรอกใส่ขวดพลาสติก แช่เย็นจัด...
พอถึงเวลา ก็เอาขึ้นมาจัดเรียงในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น... ออกเดินเข็นขายไปเรื่อยๆ...
คนผ่านมาเห็นเข้า ก็เรียกให้หยุดรถและสั่งซื้อ... ชี้ไปที่ขวดน้ำส้มคั้น...
พร้อมถามราคาก่อนจ่าย..."เท่าไหร่จ๊ะ?"... "25 บาทครับ"



ส้มผลที่หก... อยู่ที่ร้านอาหาร บนห้างสรรพสินค้าชั้นนำ...
เจ้าของร้านนำส้มไปคั้นเป็นน้ำส้มสด...
เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วรินใส่แก้วแช่ไว้ในตู้เย็น
จนเย็นเจี๊ยบ... เป็นเกร็ดน้ำแข็งที่ละเอียดเนียนนุ่ม ซึ่งเรียกว่า "วุ้น"
ครั้นพอมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา... ฝ่ายหญิงก็สั่ง...
"ขอน้ำส้มแก้วหนึ่งค่ะ" ขณะที่ฝ่ายชายเลือกรับกาแฟร้อน....
เจ้าของร้าน นำน้ำส้มที่คั้นไว้นั้น มาเทใส่แก้วใบใหม่... เป็นแก้วทรงสูง บางใส...
มีดอกกล้วยไม้สด น่ารักๆ เสียบที่ปากแก้วด้านหนึ่ง ใกล้ๆ หลอดพลาสติก...
สาวหน้าตาน่าเอ็นดูคนนึงมาเสิร์ฟ... ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาว กระโปรงดำ คล้ายนักศึกษา...
เมื่อทั้งคู่ทานเสร็จ... เรียกเช็คบิล... น้ำส้มแก้วนี้สนนราคา 89 บาท...



ส้มผลที่เจ็ด... ไปอยู่ที่ภัตตาคารชื่อดัง แถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...
ที่นั้น มีบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง... เค้าคั้นน้ำส้ม ปรุงแต่งรสชาด แล้วเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดี...
รอเวลา... กระทั่งมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในภัตตาคาร...
แจ้งความประสงค์จะล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย...
สักพัก ฝ่ายหญิงก็ส่งเสียงหวาน... "น้องๆ ขอน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งค่ะ"...
ไม่นาน... บริกรหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ก็นำน้ำส้มคั้นมาเสิร์ฟ...
ว้าว... นำส้มคั้นในแก้วทรงสูงก้านยาว... มีน้ำแข็งหลอดก้อนเล็กๆ ...
โดดเด่นด้วยชิ้นส้มฝานบางๆ และลูกเชอรี่แดงแช้ด เสียบที่ขอบปากแก้วนั้น...
ดูหรูหรา งดงามเตะตาซะยิ่งนัก...
ครั้นเมื่อเรือล่องกลับใกล้จะเข้าเทียบท่า... บริกรมาโค้งส่งถาด... ขอเช็คบิล
ข้อมูลที่ปรากฎ... 120 บาท... คือ ราคาของน้ำส้มแก้วนั้น...



ส้มผลที่แปด... ไปอยู่ที่คลับเฮาซ์สุดหรูแห่งหนึ่ง...
ถูกปรุงเป็นน้ำส้มคั้นโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง และเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดีเช่นกัน
ในค่ำคืนนั้น มีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง
และแล้ว สาวสวยนางหนึ่งในนั้นก็สั่งขึ้น... "น้ำส้มคั้นหนึ่ง"
บริกรหนุ่มหน้าตาคมสัน มาในชุดทักซิโด้ บนฝ่ามือของเค้า คือถาดสีเงิน
แก้วน้ำส้มคั้นตั้งเด่นอยู่กลางถาด... น้ำส้มดูเข้มข้นไปด้วยเนื้อส้ม
บรรจุในแก้วทรงสูง ที่สั่งทำเป็นพิเศษ... ตรงขอบปากแก้ว
มีมะนาวฝานบางๆ เสียบอยู่ที่ปากแก้วนั้น... มีหลอดพลาสติกงอได้
บนถาดใบนั้น... มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย... 300 บาท
... ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป

ส่วนผลที่เก้า... อยู่ที่โรงแรมสุดหรู ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...
ถูกปรุงโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง ให้กลายเป็นน้ำส้มคั้น... เช่นกัน...
ค่ำคืนนี้ ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับหนุ่มสาวชาวต่างประเทศคู่หนึ่ง
ทั้งคู่มาเมืองไทยเพื่อฉลองสมรส และเลือกดินเนอร์ที่โรงแรมนี้
เพราะมีวิวทิวทัศน์รอบด้านที่สวยงาม... มีทั้งเกาะรัตนโกสินทร์ สายน้ำเจ้าพระยา...
และสะพานแขวนที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟตระการตา...
หลังจากพักผ่อนอิริยาบทสักพักหนึ่งแล้ว ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า
"Orangeade"... ขณะที่ฝ่ายชายบอกว่า... "American Expresso... please"
ไม่นาน... บริกรในชุดไทย มาเสิร์ฟกาแฟร้อน และน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง
โอมายกอด... นั่นเป็นแก้วคริสตัลอย่างดี 
ฐานแก้วและขอบปากแก้วเคลือบด้วยทอง 18 เค
เมื่อกระทบแสงไฟ จึงเห็นเป็นประกายแวววับ... สวยงามจนน่าตะลึงมอง
มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่ตรงกลางแก้วด้วย...
หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส... ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว 
ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า "ช้างเผือก" เสียบอยู่... 
ซึ่งพอถูกแสง Black Light ส่องจะเกิดเป็นสีขาวเรืองๆ ขึ้น... สวยงามไร้ที่ติ...
บริกรโค้งคำนับอย่างสุภาพ ทั้งก่อนเสริฟและหลังเสริฟ อีกหน...
ที่สุดแล้ว เมื่อพร้อมจะกลับออกไป... 
ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรว่า... "Cash please"
บริกรโค้งคำนับก่อน ที่จะเดินไปที่แคชเชียร์...
Ticket ที่ออกมา ... Orangeade 500 Baht ...

 
 
อาห์... ส้ม... ทำไมถึงได้แตกต่างกันซะมากมายนัก...
ทั้งที่อาจเป็นส้มจากต้นเดียวกัน... ช่อพวงเดียวกัน...
ดูเถิด จังหวะเวลา สถานที่ สถานการณ์... ที่แตกต่าง... 
มูลค่าของส้มหาได้ทัดเทียมกันไม่...

คงพอจะเปรียบได้กับโชควาสนาของคนเรา ด้วยกระมัง...
หลายคนรู้สึกอับโชค เหนื่อย ท้อ เบื่อ เซ็ง ทั้งเรื่องงาน ผู้คนรอบข้าง ครอบครัว...
ขณะที่ก็ยังมีอีกหลายๆ คน ที่รู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน... 
มีความสุขกับทุกสิ่งรอบกาย แม้มิได้เป็นเจ้าของสิ่งใดๆ...
 
... อืมห์ ...


อย่าให้กิเลสมันพอกพูนทับถมมากนักเลย... เพื่อนเอ๋ย
คนเรา... อยู่ได้แค่ประมาณสองหมื่นกว่าวันเท่านั้นดอกหนา
จะมีเวลาอีกสั้นหรือยาว... ก็ไม่มีใครรู้แจ้งเลยสักคน
อย่าคิดแต่จะเอา จะได้ จะมี จะเป็น... ในสิ่งที่เกินกำลังไปเลย... นะ เชื่อฉัน!!!

ขอบคุณ แหล่งที่มา... : http://atcloud.com/stories/84148
 

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เปลี่ยนใจเฮอะ

ฉันก็เป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น... อยากทำเป็นซะเองเลยก็ว่าได้...
เมื่อถึงวันสำคัญๆ ของสมาชิกในครอบครัว... หากให้ฉันเป็นคนเลือก
ทุกคนเป็นต้องได้ไปกินอาหารญี่ปุ่น... ไม่มีอิดออด... ฮ่าๆๆ
ใส่วาซาบิในโชหยุ เยอะๆ... เผ็ดจี๊ดขึ้นตะหมูก... ซี้ดดดดส์ !!!



อาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วอย่างหนึ่ง... คือ ข้าวปั้นหน้าต่างๆ
ที่จริง... ฉันไม่ได้ชอบกินไปซะทุกหน้าหรอก... แต่ก็กินหน้าปลาแซลม่อนได้
ขณะที่คนอื่นๆ เค้าจะไม่กินกัน ถ้าไม่ย่างให้สุกซะก่อน... เป็นงั้นไป...


มีหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนหนึ่ง... ชื่อคุณ อิทธิมนต์ บุญญรัตน์พันธุ์ เป็นครูสอนภาษาของสถาบันแห่งหนึ่ง เค้าเป็นคนกินเก่ง... กินตามใจปากซะจนมีน้ำหนักตัวถึง 140 กิโลกรัมแน่ะ...
แต่เดิม... เค้าก็ยังไม่คิดที่จะหยุดกิน... ทั้งๆ ที่ รู้สึกเจ็บปวดทุกทีเมื่อเพื่อนๆ เรียกว่า "อ้วน"
เค้าบอกว่า... เวลาได้ยินใครๆ เรียกเช่นนั้น รู้สึกเสียใจมาก ได้แต่ปลอบใจตัวเองไปวันๆ ว่า โลกนี้มีคนผอมเยอะแล้ว... วันหนึ่ง เค้าไปกินอาหารญี่ปุ่น กินซะเยอะจนรู้สึกหายใจไม่ออก... ณ นาทีนั้น เค้าฉุกคิดว่าความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว... โชคดีที่วันนั้นไม่เป็นอะไรมาก นับจากนั้นมา... เค้าตัดสินใจเปลี่ยนการใช้ชีวิต... อย่างจริงจัง!!! ...


เค้าผู้นี้แหละ ที่ปฏิวัติตัวเอง จนสามารถลดน้ำหนักจาก 140 กก. เหลือ 66 กก. ภายใน 8 เดือน... ดูสิ... เขารีดน้ำหนักได้ถึง 74 กก. โอ. แม่เจ้า เกินครึ่งทีเดียวเชียว... ทำได้ไงเนี่ย...
ฉันล่ะนับถือเค้าจริงๆ... แถมเค้ายังบอกอีกนะ ว่าจะลดให้เหลือแค่ 63 กก. เท่านั้น... ว้าว...

คราวนี้ เรามาดูกันหน่อย... ว่าเขาลดน้ำหนักได้อย่างไร... เขาบอกอะไรไว้บ้าง...

1. แรงบันดาลใจ หาให้เจอ มันสำคัญมาก ช่วยผลักดันให้อดทนไปจนถึงเป้าหมายได้

2. เปลี่ยนนิสัย โดยเฉพาะการกิน เลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์ และใช้ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยพลัง...

3. ออกกำลังกาย แรกๆ ควรว่ายน้ำ 1 ชั่วโมง/วัน เพื่อเลี่ยงแรงกระแทกที่เข่า พอน้ำหนักลดไปได้บ้างแล้ว จึงหันไปใช้วิธีการวิ่งบนลู่ วันละ 2 ชั่วโมง

4. ลดอาหารพวกแป้ง เลือกทานผักให้เยอะขึ้น... กินอาหารแค่พออิ่ม อย่าตามใจปาก

5. แยกแยะความรู้สึกให้ออก ระหว่างความหิว กับ ความอยาก... ถ้าหิว ท้องจะร้อง กินแล้วก็ให้หยุดตรงที่... "แค่พออิ่ม" ซึ่งผู้คนสวนใหญ่มักกินอาหารตามความอยาก... อยากไม่มีที่สิ้นสุด อิ่มแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด!!!

6. ภูมิใจในตัวเอง อย่าสนใจคำสบประมาทใดๆ เอาชนะใจตัวเองให้ได้... สู้ๆ


ดีใจกับคุณ อิทธิมนต์ และทุกๆ คน ที่ใส่ใจเปลี่ยนก่อนป่วย จ้าาาา...

ขอบคุณแหล่งข้อมูล :

และสำหรับใครหลายคน ที่ยังอิดออด ไม่ยอมลงมือเปลี่ยนแปลงตัวเองซะวันนี้ ตอนนี้...
โปรดจงรับรู้ไว้... ว่า... ฉันเป็นห่วง... เสมอ
ในเบื้องต้น... กลัวว่าหุ่นคุณจะไม่สวย... ไม่หล่อ...
ยิ่งปล่อยไว้นานวันนับปี นับปลายปี จะยิ่งแก้ไขยาก... เดินก็ลำบาก ยักแย่ยักยัน
หรืออาจไม่เหลือโอกาสให้ลุกขึ้นมาแก้ไขอะไรๆ อย่างเช่นคุณ อิทธิมนต์ เค้าหน่ะ


ยังไงซะ ก็หมั่นสำรวจตัวเองบ่อยๆ เฮอะ


อย่าให้หนามาก จนกลายเป็น... แหนมป้าย่น


หุ่นนางแบบ... แบบแหนมป้าย่นไง เป็นปล้อง ๆ ปลิ้นไม่เกรงใจใคร


อูยส์! ถ้าอวบเกินพิกัด... ระวัง คุณหมอจะออกใบนัดให้ไปฝากครรภ์นะ จะบอกให้


เดินสีกัน แสนแสบ... เท้าและข้อเท้าประท้วงทุกย่างก้าวเพราะแบกรับน้ำหนักเกินไป๋


ย้วยจนย้อย ไม่มีน้อยหน้า... วิ่งสู้ฟัดม่ายหวายเจงๆ...


กำลังกาย กำลังใจ ถดถอย... หงอยเหงา... เศร้าแระ


เจ็บหน้าอกเหมือนถูกอัด... ขัดยอก... ป๊อค... ช็อค!!!


ปวดร้าวแทบตาย... ยามที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง


มีชีวิตบั้นปลายต้องอยู้ใกล้ๆ หมอ ไปมาหาสู่เป็นประจำทั้งที่ไม่ใช่ญาติเขาสักหน่อย


ต้องเจ็บตัวจากการเจาะเลือดตรวจแล้วตรวจอีกุกบ่อย วัดผลการรักษาไปตลอดชีวิต


อาจต้องพึงยาฉีดในทุกๆ วัน... เพื่อความอยู่รอดของชีวิต


ยากินเป็นกอบเป็นกำ เบื่อสุดๆ อร่อยตรงไหน? แพงก็แพงไม่กินก็ไม่ได้ เศร้า!


หายใจเข้า-ออก ก็เหนื่อย ทำอะไรไม่ไหว
สุขภาพอ่อนแอ เป็นภาระให้ลูกหลาน ต้องห่วงกังวล


เชื่อฉันสักครั้ง... นะ... เปลี่ยนใจเฮอะ...
รักสุขภาพ ดูแลตัวเองให้ถูกวิธี เปลี่ยนแปลงซะ
เริ่มเลย... ตอนนี้... วันนี้... จะได้ไหม?


"แรงบันดาลใจ"


เพื่อ... "ผลลัพธ์ระยะยาว"


วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เขียนบนผืนทราย


วันหนึ่ง... คนสองคนที่เป็นคู่รักกัน กำลังเดินทอดน่องเอื่อยๆ อยู่ริมหาดทราย...
เดินไปได้สักพัก เกิดปะทะคารมกันขึ้น... ฝ่ายหญิงบันดาลโทสะ ทุบอกคนรัก... ปึ้ก!
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรสักคำ... เค้าแค่เขียนข้อความลงบนพื้นทรายว่า "วันนี้คนรักทุบหน้าอก"
แล้วก็ออกเดินเงียบๆ ต่อไป...  เป็นนาน... จนกระทั่งพบโขดหิน มีแอ่งน้ำใสแจ๋ว... พวกเค้าหยุดพักเหนื่อย... แล้วพากันลงเล่นน้ำ... ที่นั่นเอง ฝ่ายชายเกิดพลาดพลั้ง... เค้าจมน้ำ... โชคดีที่คนรักช่วยไว้ได้ทัน... เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา เค้าได้สลักข้อความไว้ที่โขดหินว่า "วันนี้คนรักของฉันช่วยชีวิตฉันไว้" มันทำให้หญิงสาวแปลกใจกับการกระทำดังกล่าว จึงถามไปว่า "ทำไมตอนที่ถูกฉันทำร้าย คุณเขียนลงบนพื้นทราย แต่ตอนนี้คุณเขียนลงบนก้อนหิน" เค้ายิ้ม ก่อนจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "เมื่อคุณทำร้ายผม การเขียนลงบนทรายนั้นก็เพื่อรอให้คลื่นแห่งอโหสิกรรมซัดมาและลบมันทิ้งไป... แต่เมื่อคุณช่วยชีวิตผม ความซาบซึ้งที่เกิดขึ้น ควรต้องจารึกไว้ในศิลาแห่งความทรงจำ มิยอมให้กระแสของคลื่นลมใดๆ มาพัดโพกให้พล่าเลือนไปได้ ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหนก็ตาม..."

รักกัน รักกัน... นะจ๊ะ นะ
หวังว่า... ทุกๆ ท่าน ที่ได้อ่านจนจบลง...
จักได้เรียนรู้และเลือกเขียนหลายๆ อย่าง... บนพื้นทราย

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มันยากตรงไหน?... ความรัก

ที่จริงแล้ว... ฉันไม่ใช่ผู้ชำนาญการในเรื่องของหัวใจหรือความรัก กะใครเค้าหรอก...
เพียงแค่เคยผ่านชีวิตที่หวานชื่นและขื่นขมมาบ้างแล้ว... ก็เท่านั้น...
ซึ่งเป็นปกติวิสัยของปุถุชนคนเดินดินธรรมดาๆ ...
แต่... ในเมื่ออยากจะเป็นนักเขียน...
ก็ชอบที่จะเขียนเรื่องราวที่ผู้คนอยากอ่าน...
หนุกหนานดี... ฮ่าๆๆๆ...

อืมห์... ใครไม่เชื่อบ้างว่า "ที่ใดมีรัก... ที่นั่นมีทุกข์"
ฉันคนหนึ่งหล่ะ ที่ไม่เชื่อ... ไปซะหมด!!!
เอ๋?... ยังงัย... เรียกว่า... เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ดีกว่า...
เพราะรัยน่ะหรือ?



ดูดิ... เวลาที่ความรักเพรียกหา... ผู้คนต่างก็แช่มชื่น ยิ้มเบิกบานกันทั้งนั้น...
รึไม่จริง?... นี่ก็แสดงว่า... "ที่ใดมีรัก... ที่นั่นย่อมมีสุข"... ชัวร์ !!!
รักไม่เข้าใครออกใคร... รักเกิดขึ้นที่ไหน?... เวลาใดก็ได้... จริ๊ง...
รักเกิดกับผู้คนสูงต่ำ ดำขาว สวยหล่อ ขี้เหร่ รวยจน ชายหญิง ฉิงยาย เง้อ... เห็นมะ?... พวกเค้า รักกัน รักกัน ได้ทั้งนั้นเลย... อิอิ

ความรักก็เป็นแรงบันดาลใจ ให้คู่รักหลายๆ คู่ สร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามและเป็นประโยชน์ต่อโลกมนุษย์ได้ เริ่มจาก สร้างคน... ตัวเล็กๆ... ฮ่าๆๆๆ... พวกเค้ายอมเหน็ดเหนื่อย เสียสละเวลาส่วนตัว ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ยอมอดตาหลับขับตานอนทุกคืนวัน และแม้ว่าต้องลำบากสักเพียงใดก็ทนได้ทุกอย่าง... เพื่อ "ลูก" ซึ่งก็จะได้รับความสุขอันยิ่งใหญ่... เป็นการทดแทน... แต่... บางครั้ง รักก็เป็นเสมือนดาบสองคม ที่สามารถให้ทั้งความสุขที่สุดและทุกข์ที่สุดได้พร้อมๆ กัน... บางคนเปรียบความรัก เสมือนเปลวเทียนที่ให้ทั้งแสงสว่างและทำให้แสบร้อนแสนสาหัสได้เช่นกัน...

ในทางกลับกัน... ความรัก... ก็มีพลังทำลายล้างได้อย่างน่าพรั่นพรึง...
ไม่น่าเชื่อ... ว่าคนที่เคยรักกันอย่างดูดดื่ม... จะหมดรักแบบติดลบสุดๆ...
เค้า... ถึงกับทนเห็นปีกฝ่ายมีลมหายใจอยู่ต่อไปไม่ไหว...
โอย ย ย ย... น่ากลัวชะมัด... ไม่พูดถึงจะดีกว่า... เด๋ว นอนมะหลับ...

อืมห์... ช่างเหอะ... ไม่ว่าความรัก จะขึ้นต้น และ ลงท้ายอย่างไร... ในแต่ละแบบฉบับของคู่รักแต่ละคู่...
ฉันว่า... ข้อสำคัญ คือ คนที่มีรัก มีคนรัก จักต้องรู้วิธีคิด เพื่อใช้ความรักให้เป็น
และบริหารความรักอย่างชาญฉลาด... อย่ายอมให้ความรู้สึกหวงแหน เป็นเจ้าเข้าเจ้าของในคนที่เรารัก มามีอิทธิพลหรือครอบงำของความรักที่บริสุทธิ์... จนจิตใจมืดบอด อันจะนำมาซึ่งทุกข์มหันต์ ที่หาทางแก้ไขได้ยากยิ่ง... ดังเช่นคนโบราณว่าไว้... 'มีคู่ผิด คิดจนตัวตาย'... ประมาณนั้น
จะว่าไปแล้ว... มันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะรักให้เป็น...

แม้ว่า... มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก... เง้อ... งง มะ?
เอาเป็นว่า... ถ้าหากปรารถนาจะประคับประคองรักและคนรัก ให้อยู่กะเราไปนานๆ น่าจะ...
ทำในสิ่งที่... คนรักเค้าไม่คับข้องใจเมื่อยู่ใกล้ๆ เรา... เอ๋... อะไรบ้าง...?

๑. ไม่คาดหวังซะสูงลิบ... ใช่คนเราฝันได้ หวังได้... แต่... ขอแค่พยายามทำให้ดีที่สุด ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ก็ยอมรับมันร่วมกัน ค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน คงจะอบอุ่นทุกย่างก้าวเลย... เนอะๆ 
๒. มีเงื่อนไขเท่าที่จำเป็น... รักกันแล้ว... ใช่ว่าจะให้ได้ทุกอย่างเสมอไป... เชื้อเหอะ ใครๆก็ต้องรักตัวเองด้วย รักนวลสงวนตัว รักชื่อเสียง และมีความเป็นส่วนตัว... คนรักเองก็ใช่ว่าจะไม่หวังผลตอบแทนไปซะทั้งหมด มีที่ไหนกัน... ดังนั้น บางคนอาจข้องใจประจำว่า ‘ทำไมเขาไม่รักฉันให้มากกว่านี้? ทำไมไม่ซื่อสัตย์กับฉัน?... ทำไมๆๆๆ... นั่นก็เพราะมัวเพ่งอยู่กับ ‘รักที่ต้องการ' มากกว่า ‘รักที่มีแต่ให้' กลับไปทบทวนดูซะ เงื่อนไขแห่งรักของคุณ มันคืออะไรกันแน่... 
๓. ใจเย็นๆ อดทนและประคับประคอง... หากรักเปรียบดั่งนาวาที่เผชิญมรสุมอยู่กลางทะเล จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสู้ฟันฝ่าไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง อดทน เคียงข้างกันในยามยาก... จนกว่าคลื่นลมที่โถมถาอย่างบ้าคลั่งจะยุติลง หรือไม่ก็อัปปางวอดวายไปด้วยกัน... 
๔. ให้อภัย... ชีวิต ไม่ว่าจะเดินหน้า ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลัง ล้วนทำผิดพลาดกันได้ทุกคนแหละ... ก็ถ้าหากคนรักทำผิดพลาด... จะเป็นไรไปเล๊า... จะมัวตำหนิติเตียนให้เสียใจเสียความรู้สึกไปถึงไหน?... ถ้าหากเราเป็นฝ่ายทำผิดซะเองบ้าง... เราก็ต้องการคำปลอบโยน มือลูบหลัง โอบบ่า หรือโน้มหัวไปพิงไหล่ ปล่อยให้ร้องให้กับอกสักพัก... ประมาณนั้น... ซึ่งคงจะเป็นการให้อภัยที่แสนโรแมนติกทีเดียว ว่ามั้ย?
และ ๕. การปรับตัว... คือ หัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าตอนเป็นแฟน หรือตอนเป็นฝั่งเป็นฝา... ถ้าคิดว่านั่นเธอนี่ฉัน อยู่ร่ำไป... ที่นี่อาจไม่มีเรา... และที่สำคัญ พึงเปิดใจให้กว้าง... เกื้อกูลไปถึงญาติสนิทมิตรสหายด้วย... อย่าหมายว่าจะครองรักกันกระหนุงกระหนิงตามลำพัง... นะจ๊ะ นะ



อืมห์... รักนิรันดร์... คนอื่นเข้าทำกันสำเร็จได้
อย่ากลัวไปหน่อยเลยน่า

 เมื่อใดก็ตาม ที่รักไม่เข้าใจในรัก
โปรดคิดถึงฉัน เอ๊ย บทความของฉัน
เอาใจช่วยทุกคน... เสมอ... จ้ะ





วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อะโหชีวิต...

"กล้วยแขก" รู้สึกซึมเศร้า เหงาและน้อยใจ ในชีวิตอาภัพของตัวเองซะเหลือเกิน... ตั้งแต่จำความได้ ก็โดนล้อมาตลอด... ว่าเป็นลูกต่างด้าวบ้าง ลูกกำพร้าพ่อแม่บ้าง
“ไม่รู้จริงๆว่า พ่อแม่เป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ทิ้งไว้ลำพังได้อย่างไร?... ฮือๆ...
ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ก็มีแต่ผู้คนเรียกขานว่า "กล้วยแขก" ซะแล้ว

ลุงข้างบ้านบอกว่าพ่อแม่กล้วยแขกเป็นแขกชาวอินโดนีเซีย... น้าอีกคน บอกว่าเป็นแขกมาเลย์ อยู่แปะๆ กับไทยตอนล่างนู้น... แต่ป้าอ้วนๆ บอกว่าน่าจะเป็นแขกอินเดียซะมากกว่า... อ้าว... เอาเถอะ ถึงข้อมูลของแต่ละคนจะไม่ตรงกัน... ก็พอจะสรุปได้ว่า “กล้วยแขก เป็นแขกชัวร์! เพราะชื่อ“กล้วยแขก” ก็บอกอยู่โทนโท่... นิ

กล้วยแขก แอบคิดเสมอว่าตัวเองเป็นไทย ใจไม่เคยอยากเป็นแขกเล้ย... ชีวิต“กล้วยแขก” ช่างแสนอาภัพยิ่งนัก วันๆ วนเวียนอยู่ซ้ำๆ ซากๆ เป็นวัฏจักรน่าเบื่อหน่าย เกิดมาไร้ญาติขาดมิตรก็หนักหนาแล้ว ซ้ำร้ายยังต้องมาถูกเชือดเฉือนประจำ ชีวิตที่เคยเป็นหนึ่งเดียวต้องโดนคมมีดกรีดฝานตามแนวยาว... อร๊ากส์!!! แต่ละวันจะต้องคลุกแป้งมอมแมม ก่อนกระโจนลงในน้ำมันที่ร้อนระอุ... ชุดเก่งก็มีอยู่กะเค้าแค่ชุดเดียวเท่านั้น... เป็นชุดไวท์ออนไวท์ ที่ดูยังไง้-ยังไงก็ขาวว่อก... แถมผสมขุยมะพร้าวขูด กะเม็ดงาขาว งาดำ เข้าไปอีก... แล เขรอะ ช่ะ

เมื่อก่อนกล้วยแขกมักจะถูกซัดน้ำปูนใสด้วย ก็คล้ายๆ กับที่คุณสาวๆ เค้าพรมน้ำหอมกันนั่นแหละ... เพื่อความดึงดูดใจมั้ง... แต่กล้วยแขกทำเพื่อความ“กรอบต่ะหาก... เวลากัดแต่ละคำ กรอบกร้วมๆ น่ากินอ่ะ... แต่เพื่อนๆ “กลับทักกันหนาหู ว่าน้ำปูนใสหน่ะ มันเชย... ต้องใช้ผงฝูจึงจะดูทันสมัยกว่า... นั่นหล่ะ ที่ทำให้มีราคาค่าตัวสูงขึ้นหน่อย... ฮ่าๆๆๆ...

“กล้วยแขก” มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยด้วยหล่ะ ลำบากเสียยิ่งนัก... เพื่อนๆ ล้วนมีที่อยู่ที่ดูดีมีฐานะกันทั้งนั้น  ทั้ง“กล้วยบวชชี” “กล้วยเชื่อม” เขาหรูหราระดับเครื่องแก้ว กระเบื้องเคลือบ ชามสังคโลก โน่นแน่ะ... แม้แต่เพื่อนซี้อย่าง“กล้วยปิ้ง” เขายังได้อยู่แบบโมเดิร์นสไตล์ ระดับคลาสสิค เอ๊ย พลาสติค... ในขณะที่“กล้วยแขก” ต้องอยู่กับกระดาษเปื้อนหมึก!!! รวมหัวกับพลพรรค“ข้าวเม่าทอด”อ้วนดำ เท่านั้นแหละ... แง้ๆ

อันที่จริง... กล้วยแขก” เคยฝันอยากจะโกอินเตอร์กะเค้าบ้าง!!!... ดูอย่างกล้วยทอด ญาติกันแท้ๆ แค่มีเพื่อนเป็นไอซ์ซิ่ง เป็นไอศครีม เขาก็ได้ขึ้นเหลา ขึ้นเรสตัวรองต์ ว้าว... หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน อย่างเจ้ามันฝรั่ง พอเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็น French fried เท่านั้น มันก็โกอินเตอร์ไปซะแระ ดูดิ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น วัยร่วง ชอบมันหมดแหละ... ชิ... 

        

กล้วยแขก อยากเปลี่ยนชื่อแล้วอ่ะ... เบื่อๆๆๆๆ... เซ็งๆๆๆๆ... เว้ยเฮ้ยยยย...

ทีมันทอด เผือกทอด จำปาดะ ขนุน ทุเรียน มัยพวกเค้าไม่มีคำว่าแขกต่อท้ายบ้างล่ะ... 


อย่างงี้ มันยุติธรรมซะที่ไหน?... โว้ยยยยย !!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เจ้าหัวใจของฉัน


วันนี้ ฉันพร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ "เจ้าหัวใจของฉัน" เพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคน ได้รู้จักอย่างจริงจังกันซะที หลังจากที่ได้ใกล้ชิดผูกพันกันมานานกว่าห้าปี เค้าผู้นี้มีรูปร่างสันทัด หุ่นสมาร์ท บาดใจสาว ขาว สะอาดสอ้านไร้ที่ติ นัยน์ตาดำขลับดูเข้มคม ผมสลวย หูยาวนุ่มน่ากัด จมูกเป็นสันปลายมันนิดๆ เค้าชอบทำฟุดฟิดคล้ายจะเป็นหวัดแม้ในเวลาที่ไม่มีเรื่องให้เคืองขุ่น มือเท้านุ่มน่าสัมผัส เล็บมือเล็บเท้าสีชมพูบ่งบอกถึงความมีสุขภาพดีมาแต่ไหนแต่ไร บุคคลิกนิ่งขรึม เค้าไม่ค่อยจะเอื้อนเอ่ยอะไรมากนัก ใสๆ ซื่อๆ ออกไปทางเหนียมหน่อยๆ ดูกี่ที กี่ที ก็คงความสุขุมคำภีรภาพ ใครๆ ได้เห็นเป็นอดใจไม่ไหว.... กรี๊ด กันสลบ... ฉันรักเค้ามาก มากซะจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ฉันรู้ว่าเค้าก็รักฉันมากเช่นกัน... แต่ตอนนี้ มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราทั้งคู่ต้องแยกกันสักพัก ระยะทางระหว่างเราสองช่างไกลแสนไกลเกินกว่าจะกู่ร้องก้องตะโกนให้ได้ยินว่าคิดถึงสักเพียงใด.. ที่รัก เธอคิดถึงฉันอย่างที่ฉันคิดถึงเธอหรือเปล่า?... และเรายังรักกันดีอยู่ใช่มั้ย? ... หือม์...


นี่หล่ะ คือเจ้าหัวใจของฉัน เป็นไง? มีใครกรี๊ดดดส์กันบ้างไหมเอ่ย?... อะไรนะ?... อ๋อ อยากรู้ความเป็นมาเหรอ คืองี้เจ้าเนี่ยเค้าชื่อว่า "Pangrum" ออกเสียงว่า "Pan-grum" 

ฮ้า ว่าไงนะ?... อ๋อ ขอภาษาไทย... แหม... ใจเย็นๆ กำลังจะบอกอยู่พอดี.... ฉันเรียกเค้าว่า "พันกรัม" จ้ะ แปลว่าอะไร... ไม่รู้ดิ ก็พันกรัมเป็นหนึ่งกิโลกรัมงัย... ตรงตัว... เป็นที่เข้าใจ ไม่เห็นจะต้องแปลไทยเป็นไทยยังไงอีก ส่วนที่มาของชื่อมันยาวมาก... สรุปว่าชื่อเค้า ก็คือ ชื่อเจ้าตัวเล็ก... เขียนเหมือนกันเป๊ะ... แต่อ่านออกเสียงต่างกัน... เท่านั้นเอง...


"พันกรัม" เป็นกระต่ายเพศเมีย ซึ่งเจ้าตัวเล็กหามาให้ (อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักเจ้าตัวเล็กของฉัน... โป้งจริงๆ ด้วย) หลังจากที่ฉันสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อต้นปี 2550... ฉันดูแลเค้าตั้งแต่ยังเล็กเท่าฝ่ามือ ตอนนี้โตเต็มที่หนักราวสองกิโลกว่าๆ เห็นจะได้ เค้ากินทุกอย่างที่ฉันกิน ยกเว้นเนื้อสัตว์ เผ็ดและเปรี้ยว ของโปรดคือขนมปังต่างๆ แอปเปิ้ล กล้วย องุ่น ผักบุ้ง ผักกาดหอม... ฉันอาบน้ำอุ่นให้เค้าทุกสัปดาห์ กลิ่นแชมพูหอมชื่นใจ ตัดแล็มและแปรงขนนุ่มๆ ให้อย่างเบามือ... แรกๆ ฉันแพ้ขนปุยของเค้า เข้าใกล้ทีไรเป็นต้องจามอยู่เรื่อย ฉันจึงไปซื้อผ้าสาลูมาตัด-เย็บเป็นหน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกตัวเองอยู่ซะเป็นนานเหมือนกัน หลังๆ มาก็ชินแระ...

 

เราทั้งคู่คุ้นเคยกันมากจนใครๆ ก็ดูออก ว่าต่างเป็นคนสำคัญที่สุดของกันและกัน เวลาที่ฉันไม่สบาย เค้าจะโดดขึ้นมาบนตัวฉัน ใช้ลิ้นอุ่นๆ เลียไปตามแขนขามือเท้าของฉัน และคอย วนเวียนอยู่ไม่ห่าง หากฉันทำเป็นนอนนิ่งๆ เค้าดูจะกระสับกระส่าย ปีนข้ามตัวฉันอยู่ไปมา ทางโน้นที ทางนี้ที จากนั้นก็ใช้ฟันซึ่เล็กๆ งับที่ชายเสื้อแล้วพยายามดึง กระตุกๆ เหมือนจะเซ้าซี้พาฉันลุกขึ้นไปกินยาซะให้ได้.... บางเวลาที่เหนื่อยมากๆ ฉันทำได้แค่เพียงลูบหัวเค้าเบาๆ นั่นทำให้เค้านิ่งสงบลง จากนั้นก็ค่อยซุกตัวเข้าซอกรักแร้ มุมโปรด! ลูกตาดำขรับของเขาจ้องมองสบตาฉันอยู่เป็นนานโดยไม่กระพริบ.... เค้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน เรามีกันและกันเสมอ ฉันรักและผูกพันกะเค้ามากจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก ฉันรู้ว่าเค้าก็รักฉันไม่แพ้กัน ตอนนี้เค้าอายุมากแล้ว... ไม่รู้จริงๆ ว่าจะยังมีเวลาเหลือเพื่ออยู่ด้วยกันได้อีกนานสักเพียงไหน... ช่วยบอกฉันทีได้มั้ย? ถ้าวันหนึ่ง ไม่มีเค้า... แล้ว... ฉันจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร?