วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

จูบไม่เป็นสับปะรด



ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีการจัดงานทอดผ้าป่าการศึกษาขึ้นที่โรงเรียนเก่า น่าเสียดายจริงๆ ที่ฉันไม่สามารถไปร่วมงานได้... เพื่อนๆ ย้ำว่าเดี๋ยวจะส่งเสื้อแจคเก็ตและทำเนียบรุ่นมาให้ทีหลัง... ฉันไม่ห่วงเรื่องเสื้อนั่น จึงถามไถ่ถึงเพื่อนสนิทอีกหลายคน ยินดีที่ได้ทราบข่าวคราวหลังจากที่ไม่เคยเจอะเจอกันหลายสิบปี... บางคนก็ยังครองโสด บางคนเป็นหม้าย บางคนเสียชีวิตแล้ว บางคนก็มีลูกอ่อน ขณะที่บางคนกำลังริรัก... เง้อ จะทันใช้มั้ยเนี่ยะ?


ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็รู้ว่าฉันขี้อาย... แต่เพื่อนมันก็ยังอุตส่าห์เปิดใจปรึกษา ว่าทำอย่างไรจะฝากรอยจุมพิตให้แฟนประทับใจ?... เอร๊ย ไรว้า... เห็นฉันเป็นจอมยุทธ์เรื่องนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? อะไรทำให้เลือกที่จะขอคำตอบจากคนอย่างฉัน? โธ่ แล้วกันซีเพื่อน... ฆ่าให้ตายไปเลยดีกว่ามั้ย?

ฉันอึกอัก ไม่สามารถสรรหาคำตอบให้เป็นที่ถูกอกถูกใจได้ในเวลาสั้นๆ... ยามนั้นจึงออกตัว ขอเวลาไปทบทวนตำราให้ชัวร์ๆ ก่อน เพื่อนบอกไม่รีบ แต่ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ดูมันจิ...


เอาวะ เพื่อเพื่อน ไหนๆ มันก็ตัดสินใจจะเคี้ยวหญ้าอ่อนให้ได้แล้วนี่นา ช่วยมันซักครั้งไม่เห็นจะยากเกินความสามารถที่ตรงไหน... ว่าแล้วก็ตะลุยสืบค้นข้อมูลทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเพื่อน...  แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันกลับจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเขียนแฮะ จำต้องเลี่ยงตอบแบบอ้อมๆ น่าจะปลอดภัยกว่า ได้แกล้งมันไปด้วยในตัว ถ้าไม่อาจขมวดประเด็นสำคัญเอาเองก็ช่วยไม่ได้... อิอิ


แล้วฉันก็สาธยายวิชาการเชิงปฏิบัติตามแบบฉบับของตัวเอง ในรูปเหตุการณ์จำลอง... ให้เพื่อนอ่านไปปวดหัวเล่นๆ ไป...  ฮ่าๆๆ...


เมื่อสองหนุ่มสาวได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก... เขามิอาจละสายตาไปจากเธอได้ สองเท้าจึงก้าวเพลินไปเรื่อยๆ จนเกือบชนเสาไฟฟ้า... ส่วนเธอเองก็คิดว่าเขาคนนี้คือเทพบุตรในฝันตัวเป็นๆ... นั่นคือความรู้สึกประทับใจแต่แรกเห็น ซึ่งทั้งสองมิกล้าพอที่จะสารภาพ ต่างระงับใจตัวเองไว้และเฝ้าแต่ถวิลหาอีกฝ่าย อยู่ตลอดเวลา... ยิ่งผ่านไปนานวัน ข้ามเดือนข้ามปี ล่วงเข้าปีที่เจ็ดแล้ว ก็ยังไม่คืบหน้าถึงไหนซะที ไอ้ที่หมั่นวาดฝันถึงโอกาสที่จะฝากรอยจุมพิตตรึงใจก็ยังไม่มีวี่แวว ทั้งที่เธอและเขาไม่เคยหยุดคิดถึงกันแม้แต่อณูของเสี้ยวนาที... มันยังไงน้อ?

ในที่สุด ฝ่ายหญิงมิอาจทนกับความหวั่นไหวภายในใจต่อไปได้ เธอจึงสารภาพความรู้สึกออกมา เพื่อลดความอึดอัดทรมานใจ... เมื่อเขาได้รับรู้เข้าถึงกับตกตะลึง ทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่... ครั้นพอระงับอาการตื่นเต้นลงได้บ้างแล้ว จึงขยับเข้าโอบตระกองกอดและจูบเธอที่แก้มอย่างนิ่มนวล สร้างความรัญจวนใจแก่เธอยิ่งนัก...


"จูบผมทีสิ คนดี" เขาขอร้องแกมบังคับในที เธอผงะ ขยับตัวถอยหลังหนี แต่เขาเร็วกว่า รุกคืบเข้าประชิด ประกบริมฝีปากฝากจุมพิตผ่าวร้อนให้เธอจนได้... ในที่สุด สิ่งที่เฝ้ารอมานานก็สัมผัสจริงเสียทีสินะ ไม่ใช่แค่เพ้อๆ ฝันๆ อีกต่อไป เธอกำลังเคลิบเคลิ้มจนแทบยืนทรงกายไม่อยู่...ทันใดนั้น ลิ้นอุ่นๆ ของเขาก็ชอนไชเข้ามาในโพรงปากแระเล็มลิ้มรสหวาน นั่นทำเอาเธอตกใจสุดขีด... ความรู้สึกต่อต้าน ขยะแขยงบังเกิดขึ้นในฉับพลัน เธออยากจะสำลักพอๆ กับอยากร้องไห้... จึงเริ่มดิ้นรนผลักใส สองมือทุบไหล่เขาหนักหน่วง จนต้องยุติซึ่งจุมพิตที่เพิ่งจะเริ่ม แล้วเธอก็หันหลังวิ่งจากไป... อนิจจา ความสัมพันธ์ที่เคยฝันเคยไฝ่มาก่อนหน้านี้เป็นอันพินาศสิ้นแล้ว... โอ๊ะ โอ... ความรัก มันจบลงด้วยการจูบก็ได้แฮะ...


เคยมีรายงานการสำรวจของชาวสเปน ระบุว่า 25% เลิกลากับแฟนเพราะไม่พอใจเทคนิคการจูบ... ซึ่งเมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า 42% การจูบของทั้งสองฝ่ายไม่มีความดึงดูดใจต่อกัน... 15% รู้สึกว่าแฟนกำลังเลียในขณะจูบทำให้ไม่พอใจอย่างยิ่ง... มีงี้ด้วย... จำไว้นะ...

อันที่จริง มีตำราของชาวต่างชาติว่าด้วยศิลปะการจูบ ถูกตีพิมพ์และวางจำหน่ายมากมาย หรือใครสนใจจะค้นคว้าเอาจากหนังสือออนไลน์ก็มีเยอะ จะได้เรียนรู้แนวทางและเทคนิคแพรวพราวของบรรดานักจูบทั้งหลาย... ยิ่งศึกษาไว้มากๆ ก็อาจเอาชนะความอายหรืออุปสรรคอื่นๆ ได้มาก เมื่อถึงเวลาจูบจริงๆ... งั้นรึเปล่าไม่รู้...  ไปหาคำตอบกันเอาเอง...


อย่างไรก็ตาม การจูบเป็นเรื่องของคนสองคนที่รู้สึกดีต่อกัน แสดงการกระทำอย่างอ่อนโยน นุ่มนวล ตามสัญชาตญาณแห่งเพศและวัย... การเรียนรู้จากทฤษฎีหรือคู่มือต่างๆ มาแล้วนั้น เป็นแค่แง่คิดมุมมองบางส่วนที่อาจช่วยให้เกิดมโนภาพได้ลางเลือน หากแต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง จะมีใครสักคนที่หยุด เพื่อคิดทบทวนก่อนว่าควรจะตวัดลิ้นเช่นไร เอียงหน้าด้านไหน หรือถอนหายใจวินาทีใด... ก็บอกได้แต่เพียงว่า ทุกส่วนของร่างกาย มันมีกลไกขยับขับเคลื่อนไปเองโดยอัตโนมัติ... อาเมน!

จัดให้ขนาดนี้แล้ว ถ้ายังจุมพิตให้แฟนประทับใจไม่เป็นอยู่อีก ก็เสียสับปะรดหมด... ชิ

 

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

จูบนั้น... สำคัญนัก


มีหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมงานที่พูดคุยกันถูกคอมานานพอควร... ด้วยความที่ต่างก็มาจากครอบครัวฐานะพออยู่พอกิน จึงมีความมุ่งมั่นในการเก็บหอมรอมริบสร้างเนื้อสร้างตัวเหมือนๆ กัน... แต่ด้วยวัยกำลังหนุ่ม-สาว เขามักจะนัดเธอออกไปเที่ยวบ่อยๆ ในรูปแบบประหยัดๆ คือไปนั่งเล่นชิงช้าตามสวนสาธารณะบ้าง ไปไหว้พระตามวัดที่สงบๆ บ้าง หรือไปสวนหลวงเฉลิมพระเกียรติที่มีต้นไม้นานาพันธุ์ร่มรื่น... นานวันเข้า ความรู้สึกดีๆ ก็พอกพูนฉายชัดขึ้นแบบไม่มีออมมือ จนถึงจุดที่ต่างคนต่างแอบลุ้นในใจ...


"ขอจูบทีได้ไหม" ฝ่ายชายถามขึ้นเบาๆ ก่อนจะลากันในค่ำคืนหนึ่ง... ฝ่ายหญิงเขินอายไม่น้อย แก้มของเธอแดงปลั่งขึ้นมาอย่างปิดไม่อยู่ แต่ก็พยักหน้านิดๆ... ฝ่ายชายจึงประทับจูบที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยน... สัมผัสแรกของกันและกัน ณ นาทีนั้น ยังความตื่นเต้นให้บังเกิดแก่กายและใจของทั้งคู่อย่างมิอาจควบคุม มันเร้าระทึกเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้... หัวใจทั้งสองดวงราวกับว่าเต้นรัวอยู่นอกอก... และจูบนั้นเอง คือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกรักและหวงแหนประดุจเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมาแต่ชาติปางก่อน... ปรารถนาที่จะลึกซึ้งและมั่นคงยั่งยืนนับแต่นั้นเป็นต้นไป... หาได้พรั่นพรึงต่อเหตุการที่อาจผันแปรไปทางลบในอนาคตไม่


มองในมุมวิชาการ มีรายงานการวิจัยของนักจิตวิทยาท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า... การจูบเป็นวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีความหมายผ่านกายสัมผัส ซึ่งในระดับจิตใต้สำนึกจะแปรความหมายไปว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าใช่เนื้อคู่ในอุดมคติหรือไม่? เรียกง่ายๆ ว่า "สัญชาตญาณทางชีวภาพ" จะเชื่อเขาไหม? ก็แล้วแต่สิ...


ณ ขณะที่ประทับจูบ มีใครเคยสงสัยไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบ้าง? น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่... ฉันพอรู้มาว่าเส้นประสาทในกะโหลกศีรษะ 5 คู่ จากทั้งหมด 12 คู่ เกิดปฏิกิริยาตื่นตัวขึ้นฉับพลัน รับข่าวสารจากริมฝีปาก ลิ้น จมูกและอื่นๆ ส่งไปยังเซลล์สมองเพื่อสังเคราะห์ความเคลื่อนไหวทั้งหมด... กล้ามเนื้อ 34 มัดทำงานพร้อมกันและฮอร์โมนแห่งความผูกพัน (ออกซิโทซิน) ถูกหลั่งออกมาเพิ่มมากขึ้น ๆ... พอแค่นี้ดีกว่า... อิอิ...


ใครอยากรู้มากกว่านี้ ก็ไปหาประสบการณ์ตรงเอาเองเหอะ... 
แล้วสรุปผลตามนั้นแล... เอวัง!

จูบมัดจำ


เชื่อหรือไม่ว่า "จูบ" นั้นมีพลังอำนาจเหนือเหตุและผลตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์... ไม่ว่าจูบนั้น จะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กส์หรือไม่ก็ตาม... อ่ะ ไม่เชื่อหรา?


ภาพตัวอย่างนี้ คงพอทำให้คุณๆ รู้สึกดีได้บ้าง... แม้ว่าจะไม่มีใครสักคนกำลังฝากรอยจูบเหมือนในภาพเลยก็ตาม... อาจมีบางคนถึงกับเพ้อ อยากได้รับโอกาสประทับรอยจูบบ้าง สักครั้งนึง... อิอิ


การจูบ เป็นพฤติกรรมที่เหมือนว่าจะลอกเลียนแบบมาจากสัตว์ที่กำลังป้อนอาหารให้ลูกเล็กๆ อย่างสุดรักสุดถนอมปนเอ็นดู... และวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ตามความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย... ในที่นี้ อาจมีใครหลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการจูบเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวเท่านั้น... ซึ่ง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะหน่อย... จริงๆ นะ...
 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับจูบที่น่าประทับใจอยู่เรื่องหนึ่ง... 'โนอาห์' เด็กชายออทิสติกคนหนึ่ง เขาเป็นบุตรของบาทหลวงผู้มีจิตใจอารีย์ เขาเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ วันหนึ่งพ่อจึงพาเขาไปเข้าค่ายเด็กพิเศษ ทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนๆ กลุ่มที่คล้ายคลึงกัน ที่สำคัญคือได้รู้จัก 'เซานา' เด็กหญิงวัยใกล้เคียงที่คุยสนุกและเล่นด้วยกันอย่างถูกคอจนเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว...

"ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้วลูก" เสียงของพ่อขัดจังหวะอันแสนสุขของทั้งคู่... เด็กน้อยจับมือพ่ออย่างเศร้าสลดและเดินตรงไปที่รถด้วยท่าทางซึมเซา... แต่แล้ว โนอาห์ก็หยุดกึก


"พ่อฮะ ผมมีอะไรบางอย่างต้องทำ" พูดเสร็จเขาก็วิ่งปร๋อกลับไปที่ค่าย... ไปยังที่ๆ เซานายืนอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ... เขาเดินไปกระซิบบางอย่างข้างๆ หูเซานา... เธอรับฟังแล้วยิ้มๆ... จากนั้นเขาจูบเธอเบาๆ... มันเป็นจูบแรกของเขา...

"ทำไมลูกจูบเธอล่ะ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามบุตรชายระหว่างทางกลับบ้าน ในใจรู้สึกมีความสุขและภูมิใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

"เพราะผมไม่อยากลืมเธอและไม่อยากให้เธอลืมผมฮะ" เด็กชายตอบด้วยสีหน้าจริงจังและรอยยิ้ม

"โนอาห์... พ่อรู้แล้ว รู้แล้วว่าทำไมคนเราถึงจูบกัน... ก็เพื่อให้จดจำคนๆ นั้นตลอดไป" บาทหลวงได้ข้อสรุปจากการเรียนรู้ชีวิตจริงของลูกชายตัวน้อยๆ...


<< อย่าลืมนะ... จรุ๊ฟส์ๆ... >>



วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

ทึกทัก

 
 
เช้านี้อากาศกำลังดี ได้ไอฝนที่พรมลงมาพอเป็นพิธีเมื่อก่อนฟ้าสาง พอให้ต้นไม้ใบหญ้าสดสะอื้นขึ้นนิดหน่อย... แล้วเพื่อนคนสวยก็ส่งภาพกบแหร่มๆ มาให้ยล ทำให้คิดถึงเรื่องราวบางอย่าง...

นั่นคือ "การจุมพิต"

นานมาแล้ว ฉันเคยอ่านเจอแว้บๆ ว่ามีการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมและความรู้สึกของมนุษย์ ประมาณว่าให้หญิงสาวผู้สมัครใจถูกทดสอบทาลิปสติกแล้วให้จูบกับนายแบบสุดหล่อ ที่นั่งส่งสายตาปิ๊งๆๆๆ... สาวๆ เห็นแล้วก็ยิ้มแก้มปริ ไม่มีปฎิเสธเลยสักคน... แต่ขอโทษที ก่อนถึงตอนจูบจริง บรรดาสาวๆ ต้องถูกปิดตาสนิททั้งสอง ขณะที่มีการสลับตัวนำลิงชิมแพนซีมานั่งแทนที่นายแบบ... อืมห์ เป็นใครๆ ก็เนาะ นาทีนั้นหญิงสาวแต่ละคนคงฝันหวานพิลึกล่ะ แถมแอบขอบคุณที่อุตส่าห์ปิดตาให้เพื่อลดความสะเทิ้นอาย... นึกไม่ถึงสินะว่าจะทำกันได้ถึงขนาดนี้...


พอจูบเสร็จ... บางรายให้ข้อมูลว่ารู้สึกดีมากๆ ทีได้ประทับรอยจูบไปเมื่อสักครู่... เง้อๆ สาวเจ้าช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าได้จูบกับคุณลิงจ๋อ... ป้าด... ยังดีนะที่ไม่ได้โอบกอดด้วย... บรื๋ยส์!
 
 

นี่ก็แสดงว่า การประทับรอยจุมพิตนั้น ขนาด ลีลา ไม่มีความหมายงั้นรึ... หรือว่ามันขึ้นอยู่กับจินตนาการและความพอใจเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะรูปกายของนายแบบที่ได้เห็นก่อนจูบ... ๕๕๕+


เด๋วก่อน อย่าเพิ่งค้อนขวั่บๆ หรืออยากคายของเก่า ฉันเปล่าเขียนสุ่มสี่สุ่มห้านา นี่พยายามหาแหล่งข้อมูลอ้างอิงอย่างเต็มที่แล้ว ไม่เชื่อก็เชิญพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง... ฉบับหยิบยกมาอ้างเป็นทอดๆ หลายต่อหลายทอดจนแทบปลงได้แระ... คริ คริ



นับแต่นี้ต่อไป... กรุณาเปิดตาจูบด้วย นะจ๊ะ นะ... ทุกคน
เพื่อความชัดเจน เพื่อขจัดการปรุงแต่งและเพื่อ... เพื่อ... ไม่รู้แฮะ... แล้วแต่สิ... อิอิ


และอย่าได้ทึกทักว่านี่เป็นปากใครเข้าล่ะ... ไม่ใช่ซะหน่อย... เอิ๊กส์ๆ...
 

<< จรุ๊ฟส์ๆ >>

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

กาลครั้งหนึ่งที่ตรงนี้



วันนี้อารมณ์แจ่มใสมันหายไปไหนนะ อยากจะเขียนเรื่องราวดีๆ ที่เมื่อใครได้อ่านแล้วยิ้มแก้มปริ... ใจจริงอยากขี่รถเครื่องไปนั่งที่ท่าน้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างอารมณ์สุนทรีย์ซะหน่อย แต่ก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น ด้วยความเป็นห่วงอีกคนที่ควรต้องดูแลอย่างใกล้ชิด...


สองสามวันมานี้อากาศอบอ้าวจัง แม้ว่าแสงแดดจะไม่แผดเปรี้ยงเช่นเคย... เมื่อวานซืนมีฝนกระหน่ำมาได้สักพักก็หายเงียบไป แต่ยังมีข่าวพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นที่นั่นที่นู่น ถล่มบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนบาดเจ็บไม่น้อย น่าสงสารจัง... ชวนให้นึกถึงสมัยเป็นเด็ก ฉันเคยเจอลมพายุต่อหน้าต่อตาครั้งหนึ่ง... จู่ๆ ลมก็เริ่มพัดวน หอบหิ้วเอาข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยหมุนคว้างขึ้นไปกลางอากาศ รวมทั้งแม่ไก่และลูกเจี๊ยบกว่าสิบตัวด้วย (แถวบ้านเรียกว่า 'ลมบ้าหมู') ไม่นานนักฝนก็ตกหนักและมีลูกเห็บหล่นกราวลงมา ก้อนโตเท่ามะนาวลูกใหญ่ๆ ฟ้าก็คำรามลั่นเปรี๊ยะเปรี้ยงตลอดเวลา มันช่างน่ากลัวเป็นที่สุด วิ่งหลบกันอลหม่าน... บ้านเรือนหลังเล็กๆ พังเสียหายไปหลายหลัง และวันนั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งถูกต้นมะละกอล้มทับคาที...  เศร้าเลย...

อ้าว... กลายเป็นบทเรื่องโศกไปซะแระ เง้อ... เปลี่ยนพล็อตแทบไม่ทัน...



งั้นเอางี้... สำหรับคนที่หัวใจกำลังเบ่งบานเป็นสีชมพูอ่ะจ้ะ... ก็อยากมีส่วนช่วยลุ้นช่วยเชียร์ทุกคนทุกคู่ให้สมหวังในรักและพบแต่ความสุขสดชื่นตลอดไป... เพราะ ความรัก คือพลังยิ่งใหญ่ที่จะผลักดันให้ผู้มีใจรักไขว่คว้ามาซึ่งความสำเร็จของฝั่งฝัน แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงใดๆ ก็ตาม... จริงมะ?


กาลครั้งหนึ่งความรัก  :  สุเมธแอนเดอะปั๋ง

ฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้  ว่าคนเรานี้เกิดมีความรักอย่างไรกัน
ราวกับเป็นดั่งเช่นนิทาน เรื่องราวเล่าขานว่ากาลครั้งหนึ่งวันนั้น

เริ่มจากคนสองคนที่เดินเข้ามาสบตาต่อกัน
สบตาประสานจิตใจ เกิดเป็นความหมายต่อกัน อยากอยู่ใกล้ชิดผูกพันกันเรื่อยไป
เกิดเป็นความรัก... ขึ้นในหัวใจ

ฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้ ว่าใจของฉัน เกิดมีความรักเธอเมื่อใด
รู้แต่เพียงว่าจำภาพเธอขึ้นใจ จดจำเธอไว้เมื่อกาลครั้งที่เจอกัน

* พบว่าลมหายใจเข้าออก ฉันมีเธอมีแต่เธอเท่านั้น
หลับตาก็เห็นหน้าเธอ เร่งวันให้พบหน้ากัน อยากอยู่ใกล้ชิดผูกพันกันเรื่อยไป
เกิดเป็นความรัก.... ให้เธอทั้งใจ*

หากเธอนั้นต้องการจะถาม ยากจะหาถ้อยคำอธิบาย
มันเกิดขึ้นที่หัวใจ บอกเธอได้แค่นี้.....

(ซ้ำ *...*)

เกิดเป็นความรัก ที่ในหัวใจ
ไม่มีเหตุผล นี่คือหัวใจ... นี่ คือหัวใจ


เมื่อใดก็ตาม ที่คุณรู้สึกทุกข์ ท้อ... ฉันอยู่ตรงนี้
เมื่อใดที่คุณเหงา หนาวหรือเหนื่อย... ฉันอยู่นี่
เมื่อคุณสมหวังและปลาบปลื้มสุดๆ... ฉันก็ยินดี
คุณจะยิ้มหรือร้องไห้ สุขทุกข์เช่นไร... ฉันก็จะยังอยู่ที่ตรงนี้ ตลอดไป



วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

ผู้ชาย... ยิ่งแก่ยิ่งเจ้าชู้ # ตอน @เติมเต็ม@


หากฉันเปิดประเด็นว่า จริงหรือไม่ ผู้ชาย... ยิ่งแก่ยิ่งเจ้าชู้? จะมีคนขุ่นเคืองมากไหมเนี่ย? ก็มันอยากรู้อ่ะ อิอิ... แต่ไม่ได้หวังว่าจะมีใครกล้าหาญชาญชัยมาไขข้อข้องใจให้หรอก ดูเหมือนว่าคนชอบอ่านก็มีไม่มากนัก แถมคนชอบเขียนยิ่งน้อยไปกันใหญ่... เง้อ... ภาษาไทยนี้ก้อ นะ...


บังอรเป็นสาวใหญ่อารมณ์ดีนางหนึ่ง รูปร่างสูงอวบ ผิวคล้ำ ตาคม ผมหยิก พูดสำเนียงคนใต้ เธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่บุญธรรมที่ชรามากแล้ว ดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี... พี่อรมักแต่งกายแบบง่ายๆ ด้วยการนุ่งโสร่งกระโจมอกเพียงชิ้นเดียว ประแป้งตามตัวจนลายพร้อยและทาลิปสีแดง... ฉันรู้จักเธอมาหลายปีแต่ก็ไม่เห็นว่าทำอาชีพอะไร...


ก่อนเจ็ดโมงเช้า ผู้คนจะทยอยออกจากบ้านกันเกือบทุกบ้าน... รถเก๋งสีดำมันปลาบแล่นสวนทางเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านเธอที่อยู่ปากซอยแทบทุกวัน จนเป็นที่คุ้นตาของเพื่อนบ้านละแวกนี้มานาน หากแต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวตนผู้เป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว และมิได้ไถ่ถามให้มากความ เพราะเคารพในสิทธิส่วนบุคคล...

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะชมละครหลังข่าวกันอยู่ดีๆ พี่อรมากดกริ่งหน้าบ้านพลางร้องเรียกเสียงดังลั่น เธอระล่ำระลักบอกว่าแม่ลื่นล้มในห้องน้ำ ฉันวิ่งตามเธอไปทันทีขณะที่พี่ชายรีบถอยรถออกเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล จนเมื่อตรวจอาการแล้วไม่มีปัญหารุนแรง จึงปล่อยเธอเฝ้าแม่อยู่ตามลำพังและมิได้กลับไปเยี่ยมอีกเลย... ผ่านไปหลายวันเธอถือแกงไตปลาหอมฉุยมาให้ชามเบ้อเริ่มพร้อมผักเหมือด ทั้งยังพร่ำขอบใจมิขาดปากและบอกว่าแม่หายดีแล้ว... พวกเราก็พลอยดีใจไปด้วยและไม่ลืมกล่าวขอบคุณสำหรับเมนูเด็ด...


หลังจากนั้นเป็นต้นมา พี่อรมักพาแม่เดินเล่นในซอยทุกเช้าค่ำเพื่อให้ขาแข็งแรง... บ่อยครั้งที่แวะคุยอย่างเป็นกันเองที่บ้านฉัน นานวันเข้าเรื่องราวส่วนตัวก็เผยจากปากอย่างเต็มใจไม่มีปิดบัง... เธอเล่าถึงชีวิตลำเค็ญในอดีตที่เป็นทั้งแม่และพ่อให้ลูกสาวตัวเล็กๆ กับอาชีพขายข้าวแกง พอกินบ้างไม่พอกินบ้าง จนกระทั่งได้พบกับ 'พ่อ'... แววตาของเธอส่งเป็นประกายเปี่ยมสุขเมื่อเอ่ยถึงเจ้าของรถสีดำคันนั้น...

เหมือนพ่อพระมาโปรดในยามที่ตกต่ำแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป 'พ่อ' เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งมีหน้ามีตาในสังคม หากเอ่ยชื่อออกมาหลายคนอาจร้องอ๋อ (ยกเว้นฉัน)... โชคชะตาบันดาลให้ได้มาเจอกันเข้า แล้วเขาก็ยินดีรับอุปการะเธอพร้อมกับเรือพ่วงอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีเงื่อนไขข้อตกลงใดๆ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายจิปาถะอย่างไม่เคยขาดมือโดยที่เธอเองไม่ได้ร้องขอ ที่สำคัญที่สุดคือได้ให้ความเมตตาความอบอุ่นแก่ชีวิตที่แห้งผากกับคนอย่างเธอซึ่งไม่มีอะไรคู่ควรเลยสักนิด... สิ่งที่พอจะตอบแทนคืนให้เขาได้ก็เพียงแค่การปรนนิบัติเยี่ยงทาสผู้จงรักภักดี เท่านั้น...


อืมห์... ชีวิตจริงมันช่างไม่ต่างไปจากละครเลยหนอ ฉันคิด... เธอและเขาต่างก็เติมเต็มให้แก่กันและกันอย่างลงตัวจนเกิดสมดุลย์ที่ผูกพันแน่นแฟ้นมากขึ้นๆ แม้ว่าในสายตาของคนอื่นอาจมองไม่เห็นความเหมาะสมคู่ควรเลยสักนิด แต่ทั้งสองก็ยังคงมีความสุขในแบบฉบับของตัวเอง ปราศจากวี่แววความทุกข์ของใครอื่นอันเกิดแต่ความอิจฉาริษยาหึงหวง ตราบเท่าที่ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังถูกเก็บงำเป็นความลับได้อย่างดี... จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด... สาธุ


และในความเป็นจริง คู่พระนางในจอ-นอกจอหลายต่อหลายคู่ที่บรรดาแฟนคลับเชียร์ให้รักกันจริงอย่างออกนอกหน้า ด้วยเห็นความเหมาะสมของรูปลักษณ์ภายนอก... ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเกิดมาเพื่อรักกันหรือครองคู่ร่วมชีวิตกันได้อย่างราบรื่นไปซะทั้งหมด... มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย... หรือเป็นเพราะ... ต่างก็ไม่ใช่ส่วนที่ต้องการเติมเต็มที่ยังขาดหายไปของกันและกัน ไม่รู้ซีแฮะ เข้าใจยากจังเรื่องของชาวบ้านเนี่ย... เรื่องของตัวเองก็เอาให้รอดก่องเหอะ... เง้อๆ...

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

เค้ามองมุมไหน... เห็นผู้หญิงเหมือนกีฬา


ความเดิมตอนที่แล้ว ฉันติดค้างไว้ในประเด็นที่ว่า คนเค้ามองผู้หญิงเหมือนกีฬายังไง... ดูเหมือนคุณผู้อ่านจะไม่กล้าขยับต่อมเม้นต์... กัวอาราย ตอบผิดตอบถูกก็มะได้จำมะได้ปรับซะหน่อย โธ่... อ๊ะ ไม่เป็นไร ฉันเขียนของฉันไปเรื่อยๆ ก็ได้... ชอบไม่ชอบ บอกด้วยแระกัน... ถ้าจริงใจ อิอิ


ดูนะ... ผู้หญิง เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว... อายุประมาณ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อครั้งเป็นเด็กหญิงโดยสิ้นเชิง... อกเป็นอก สะโพกเป็นสะโพก เอวกิ่ว แกมใส เวลาที่เขินอายก็จะแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ น่ายลโฉมยิ่งนัก... เป็นเหตุให้ชายหนุ่มทั้งโสดแลไม่โสดต่างพากันมองจนเหลียวหลัง จ้องจนตาไม่กระพริบ บางรายเผลออ้าปากน้ำลายยืดเลยก็มี... ที่เป่าปากวิ้ดวิ้วโห่ฮาก็มี... บ้างก็ส่งเสียงแซวเวลาคุณเธอเดินผ่าน เชียร์ซะลั่น ซ้าย-ขวา-ซ้าย... เล่นเอาคนเดินถึงกับขาสั่นแทบจะก้าวไม่ออก... นี่เองที่เค้าเปรียบกับกีฬาฟุตบอลว่ามีแค่คนยื้อแย่งเข้าครอบครอง... มันจริงมั้ยล่ะ?


ครั้นพออายุขยับไปเลยวัยเบญจเพส... อาจด้วยความที่มีวัยวุฒิคุณวุฒิเพิ่มขึ้น ความมั่นใจในตัวเองสูงตามภาวะผู้นำควบคู่กับบทบาทหน้าที่... จึงม้วนเก็บความสวยสดใสซื่อสะเทิ้นเขินอายของวัยแรกแย้มไปซะเฉยเลย... น่าเสียดาย... ฉะนั้นแล้ว โอกาสที่จะได้ปิ๊งๆ หนุ่มสักคนก็ลดลงไปตั้งเยอะแบบไม่ทันรู้ตัว... ผู้หญิงวัยนี้จึงถูกเปรียบกับกีฬาบาสเก็ตบอล ที่มีคนยื้อแย่งกันน้อยลงถนัดตา... อืมห์... มีใครจะเถียงมะ?


ยิ่งเมื่ออายุล่วงเลย 30 ปี ว่ากันว่าแทบจะไม่มีใครมอง ทั้งที่ริ้วรอยความชรายังมาไม่ถึง... เหมือนเพลงเค้าร้องกันติดหูว่าสามสิบยังแจ๋ว... แต่ในทางทฤษฎี ดูเหมือนว่าศักยภาพในการสืบสกุลจะเริ่มถดถอยอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้... ซึ่งสาวๆ ส่วนใหญ่ก็กำลังสนุกกับการทำงานทำเงินและไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักกับการที่ยังไม่มีใครสักคนข้างกาย... นี่ก็ถูกเปรียบกับเกมกีฬาปิงปอง ที่ไม่มีใครอยากได้ ตั้งหน้าตั้งตาตีส่งให้เพื่อนลูกแล้วลูกเล่า โต้กันไปมาไม่มีใครยอมรับเอาไปง่ายๆ... ให้! มิอาวววส์!...


และเมื่อวัยล่วงเลย 50 ปีไปแล้ว... แม้ทางการแพทย์จะเรียกว่าวัยทองหากแต่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าดั่งทองได้ดอก... มีหลายคนพยายามจะรักษาสภาพยังแจ๋วให้คงอยู่... ขณะที่หลายคนปล่อยให้ตัวเองกลายร่างเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ กลุ่มนี้จึงถูกเปรียบเป็นกีฬากอล์ฟ ที่ถูกตีโด่งไปไกลๆ เล็งแล้วเล็งอีก เอาให้ลงหลุมไปเล้ย... โห ทารุณอ่ะ

ไงมั่งล่ะ... ฉันเฉลยไปครบถ้วนแล้วหนา เข้าใจเอาเองว่าผู้อ่านทั้งหลายคงได้รู้แจ้งกระจ่างใจโดยทั่วกันแระ แต่หากใครมีแนวคิดพิสดารแตกต่างไปจากฉัน จะโดยสิ้นเชิงหรือเพียงบางส่วน ก็สามารถโต้แย้งมาได้ไม่ว่ากัน... ฉันยินดีรับฟังเสมอจ้ะ... ถือเป็นการลับรอยหยักสมองไปในตัว... อิอิ

กีฬา ๆ เป็นยาวิเศษ ฮ้าไฮ้ ๆ... เพลงนี้ ฮิตติดหูมาตั้งแต่เด็ก สมัยนี้ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังเท่าใดนัก ด้วยเพลงยอดนิยมถูกประพันธ์ขึ้นใหม่เรื่อยๆ ตามยุคสมัยใหม่เสมอ ซึ่งแม้จะเป็นเนื้อร้องที่ไม่เข้าใจความหมายก็พากันร้องตามได้เพราะดนตรีไม่มีกำแพง... ความหมายโดยนัยของฉัน แค่อยากจะบอกว่าทั้งกีฬาและนักกีฬา ล้วนต้องมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้แพ้รู้ชนะ... นั่นต่างหากที่เป็นหัวใจของการกีฬา... หากว่ามุ่งมั่นที่จะพิชิตชัยชนะแต่เพียงอย่างเดียว อาจถูกน็อคร่วงก็เป็นได้ แล้วเมื่อนั้นจักกล้าสู้หน้าผู้คนอยู่ได้ฤๅ หากมิรู้จักยอมรับความปราชัยเสียบ้าง...


ส่วนสาธุชนชาย-หญิงนั้นเล่า ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยดึกและหรือวัยชรา หามีผู้ใดเลี่ยงพ้นวงจรความแก่ชรา ความเจ็บป่วยและความตายไปได้... ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนมนุษย์ จึงควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ เรียนรู้ความมีหัวใจเป็นมนุษย์กันบ้างเถิด เรียนรู้ที่จะให้ก่อนได้รับ รู้จักรักตัวเอง ให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญ... ได้โปรดรู้จักรักด้วยหัวใจภักดีตลอดกาล... โลกนี้จะน่าภิรมย์เป็นที่สุด... สาธุ.


ผู้หญิงเหมือนกีฬา จริงรึ?

มีใครบางคน เปรียบเปรยผู้หญิงเหมือนดั่งกีฬา... เอ๋? ยังไง...
เกริ่นมาแบบนี้ คุณผู้ชายก็คงชื่นชอบสินะ... แต่เดี๋ยวก่อนซี ไม่รู้ว่า เมื่อคุณผู้หญิงทั้งหลาย (รวมไปถึงคุณๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นหญิงด้วย) ได้ลองพิจารณารายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจแล้ว จักยิ้มแป้นเพราะเห็นด้วยหรือขุ่นเคืองคัดค้านหัวชนฝาก็ค่อยว่ากันอีกที... ไอ้คนอย่างฉันถนัดแต่ถือป้าย ไม่เคยได้เป็นนักกีฬากะเค้าดอก เลยไม่ค่อยสันทัดกรณี... แต่ก็อยากคุยหัวข้อนี้หล่ะ... อิอิ


สำหรับกีฬาแต่ละประเภทที่ถูกหยิบยกมาเปรียบกับผู้หญิง ล้วนแต่เป็นกีฬายอดนิยมชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น นั่นก็คือ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เทเบิลเทนนิสและกอล์ฟ... ว้าวๆ... หลายคนคงรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยากสมัครเป็นนักกีฬาในทันที เพราะหากสามารถพิชิตชัยชนะของเกมการแข่งขันระดับโลกได้ล่ะก็ มูลค่าเงินรางวัลของแต่ละประเภทก้อนโตน้อยเสียเมื่อไหร่... และแม้ว่าจะไม่ได้ฟิตซ้อมมาก่อน หรือไม่ได้มีสมรรถนะร่างกายฟิตพอที่จะเป็นนักกีฬา แต่เชื่อว่าผู้ชายเกือบทุกคนคงไม่ปฏิเสธที่จะเป็นคนเชียร์อยู่ขอบสนาม... ต่อให้ไม่ใช่กีฬาของผู้หญิงๆ ก็ตามที... จริงมะ?... อิอิ


เรามาทำความรู้จักกับกีฬาในแง่มุมที่คนเขาเปรียบเทียบกับผู้หญิงไว้ซะหน่อยดีกว่า... ประเภทแรก เลยคือ ฟุตบอล... แม้ว่าฉันจะเล่นไม่เป็น ไม่เคยเล่น ไม่รู้กฎกติกา แต่ก็พอจะมองออกว่ามีผู้แข่งขันสองทีมที่ต่างยื้อแย่งแข่งขันเพี่อให้ได้ครอบครองลูกบอลกลมๆ นั่น พยายามอย่างยิ่งที่จะรับ-ส่งบอลกันอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยิงเข้าประตูชัยให้จงได้... เจ้าลูกบอลที่กลิ้งหลุนๆ นั่น คือจุดสนใจอย่างที่สุดของผู้คนตลอดเวลา นักกีฬาทุกคนต่างวิ่งตรงเข้าหามันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล บางครั้งลูกบอลลอยโด่งอยู่กลางอากาศก็พยายามยื้อแย่งที่จะเอาศีรษะสัมผัสให้ได้ ที่โหม่งกันเองไม่โดนลูกบอลนอนนับดาวก็มีให้เห็น... ถ้าฉันให้เดาคำตอบว่าเค้าเปรียบฟุตบอลกับผู้หญิงยังไง จะมีใครพอมองออกบ้างน้าาาาา... ???


ลำดับต่อมา คือ บาสเก็ตบอล... ฉันก็ไม่ถนัดอีกตามเคย เวลาที่เห็นเค้าแข่งขันกัน ก็แอบเชียร์ด้วยแบบเอามันเข้าว่า ยิ่งถ้าเป็นการชิงชัยของ NBA ล่ะก้อ แทบไม่ละสายตาเลยทีเดียว... กีฬาประเภทนี้ ผู้เข้าแข่งขันเพื่อแย่งชิงบอลน้อยกว่า สนามเล็กกว่า ทั้งทีมรุกและทีมรับต้องวางแผนให้ดี จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคนกัน คนคุมเชิงมิให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาทำประตูได้ง่ายๆ... แล้วอย่างนี้ เปรียบกับผู้หญิงยังไงอีกล่ะ???


ถัดไป คือ เทเบิ้ลเทนนิสหรือที่เรียกกันติดปากว่าปิงปองนั่นเอง... กีฬาประเภทนี้ มีผู้เข้าแข่งขันแบบเดี่ยวตัวต่อตัว และแบบคู่... ฉันเคยเรียนสมัยอยู่ ม.ปลาย... ฝีมือใช้ไม่ได้ก็เลยเป็นกองเชียร์เต็มตัว คะแนนภาคปฏิบัติก็เกือบตก ช่างสิ ฉันไม่สน... โดยเฉพาะสายตากรุ้มกริ่มของครูพละ ชิ... นักกีฬาปิงปองต่างจากกีฬาอื่นที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เพราะทั้งสองทีมต่างไม่มีใครต้องการครอบครองลูกปิงปอง คือตีส่งให้ฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา... อ้าว เป็นงั้นไป


ประเภทท้ายสุด กีฬาของชนเหล่ากระเป๋าหนัก กอล์ฟ... ฉันดูเกมไม่ออกหรอก รู้แต่เพียงว่า เค้าต้องหวดลูกกอล์ฟให้ไปไกลๆ ยิ่งลงหลุมได้ยิ่งดี... ซะงั้น


เนี่ย... คือแง่มุมของคนไม่เอาไหนในเรื่องของกีฬาอย่างฉัน... มันอาจมีอะไร เกร็ดเล็กเกร็ดใหญ่ หรือชั้นเชิงอื่นๆ ที่ฉันไม่เคยรู้ไม่เคยดูมาก่อน... บอกตรงๆ ว่าอยากอ่านความเห็นของท่านผู้รู้รอบรู้ลึกบ้าง... (คุณๆ ได้อ่านความคิดของฉันฝ่ายเดียวมานานแระ มันยุติธรรมหรือก็เปล่า) จากนั้น ค่อยมาแถลงไขในภายหลัง ว่าเค้าเปรียบกับผู้หญิงไว้ยังไงบ้าง... ในตอนถัดไปนะจ๊ะ นะ...