วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โกรธแล้วได้อะไร



โกรธเขาเราก็รู้อยู่ว่าร้อน 
จะนั่งนอนก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส 
แล้วยังดื้อด้านโกรธจะโทษใคร 
ต้องหักใจไม่ให้โกรธโปรดทำดู

< ฮึก... อ่ะฮึ... ฮือ... แง้ๆ >


ครอบครัวหนึ่ง มีสมาชิกหลายคน ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่และผู้สูงวัย... พวกเขามักสื่อสารกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย เอะอะโวยวายไม่น่าฟัง วันดีคืนดีก็มีลงไม้ลงมือกันอย่างรุนแรงอีกด้วย... แม้จะบอกตัวเองไม่ให้ใส่ใจกับเรื่องของชาวบ้าน แต่หูเจ้ากรรมมันก็ยังได้ยินอยู่เนืองๆ... เจ้าประคุณเอ๋ย ช่างไม่รู้บ้างเลยรึว่าคนเราชอบฟังคำพูดแบบสุภาพ อ่อนหวาน... มันชวนให้นึกชื่นชมผู้พูดว่าช่างมีกิริยาวาจางดงามน่ารัก... แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะได้เห็นถึงแก่นแท้ของคนๆ หนึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สั้น-ยาวไม่เท่ากัน... คำโบราณที่ว่า “ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” นั้นคงเชื่อได้ยากส์เสียแล้ว เพราะเคยเห็นมามาก ที่พ่อแม่เป็นผู้ดีมีสกุล แต่ลูกวีนแตกใส่ผู้คนไปทั่ว จนไม่มีใครอยากคบหา กรรมจริงๆ...


สำหรับใครก็ตาม ที่จำเป็นต้องทนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้ง ไม่ว่าจะด้วยเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องใหญ่โต ลุกลามต่อเนื่องปานใด... แน่นอนว่า สุขภาพจิตคงสุดฝืน ความรู้สึกอึดอัด ไร้ความสงบสุข บางทีก็ไม่ง่ายเลยที่จะระบายกับใครสักคน...

หากพวกเขาทั้งหลาย ได้เรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกันบ้าง... เมื่อมีคนเริ่ม แล้วคนต่อไประงับอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจได้ทัน ก็คงจะสงบได้เร็ว ไม่ต้องร้อนหูร้อนใจเพื่อนบ้าน อย่างฉัน


แต่ทว่าธรรมชาติของคน มักจะรู้สึกน้อยใจว่าตัวเองไม่สำคัญพอสำหรับคนอื่นอยู่เสมอ... (แน้ ไปรู้ใจเขาได้ไง?) ทันทีที่หูได้ยินคำพูดไม่น่าฟัง ยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ คนฟังก็มักจะตอบโต้เผ็ดร้อนในทันที... แบบต่างฝ่ายต่างลมออกหู... ถ้าแค่งอนก็เป็นลมอุ่นๆ... ถ้าโกรธจนคุกรุ่นก็น่าจะเป็นฟืนเป็นไฟ... แล้วแต่อุณหภูมิของใคร เรื่องใหญ่แค่ไหนสิ


โดยธรรมชาติแล้ว ผู้ชายมักจะโกรธง่ายหายเร็วและไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนผู้หญิง... (ทุกคนรึเปล่าไม่แน่ใจนัก โดยเฉพาะเพศที่สาม) แต่ทว่า ในช่วงนาทีที่อุณหภูมิใจพุ่งกระฉูด  มีความเป็นไปได้ที่จะบันดาลโทสะถึงขั้นลงมือลงไม้ไม้ไปยังคู่กรณีได้ง่ายๆ... ยิ่งรายที่ได้ร่ำสุรามาพอประมาณ ยิ่งทำให้สติขาดผึง ยิ่งรุนแรงไปกันใหญ่... อันตรายสำหรับกรรมการจริงๆ... เง้อ เกี่ยวรัยด้วย


เมื่อใดก็ตามที่เกิดความรู้สึกไม่พอใจ อารมณ์ขุ่นเคืองจนแทบจะระเบิด... แทนที่จะปรี่ไปจัดการกับคนที่คิดว่าเป็นตัวก่อเหตุ... อยากให้ลองฝึกยับยั้งชั่งใจ นับหนึ่งถึงสิบ-ร้อย-พัน ไปเรื่อยๆ นั่นเท่ากับว่า ได้ให้โอกาสตัวเองทบทวนที่มาแห่งปัญหา ซึ่งเผลอๆ อาจเป็นแค่เรื่องขี้หมา... ไม่มีอะไรเป็นประเด็นสำคัญสักนิด... เย็นไว้โยม!


และเมื่ออุณหภูมิใจค่อยๆ ลดระดับลงจนแทบเป็นปกติแล้ว... ผู้คนรอบข้างซึ่งต่างก็เผชิญภาวะเครียดกับพายุอารมณ์ของคู่กรณีก่อนหน้านี้ ก็จะเกร็งน้อยลงและสามารถพูดคุยกันอย่างปกติได้... แต่เชื่อเหอะ ความน่ารักน่าปรารถนาที่เคยมีให้ มันจะถูกลดระดับลงไปกว่าเดิมอย่างช่วยไม่ได้...

สำหรับเทคนิคการสื่อสาร เพื่อลดความขัดแย้งนั้น ตามตำรามักแนะนำให้บอกความต้องการของตัวเองแทนการตำหนิฝ่ายตรงข้าม... เช่น

“ฉันรู้ค่ะว่าฉันเป็นคนซีเรียส แล้วก็จู้จี้ ขี้บ่น ชอบบังคับมากไป แค่อยากให้บ้านเราสะอาดตา น่าอยู่ โดยพวกเราทุกคนพร้อมใจกันออกแบบตกแต่ง อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”

เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว คนฟังย่อมรู้สึกไปในทางที่ดี และจะพยายามเก็บของเข้าที่เข้าทาง... ไม่มีใครอยากโดนตำหนิดุด่า ว่าบ่นอยู่บ่อยๆ หรอก... เนอะ...


ความจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ ทุกคนล้วนไม่ชอบให้ใครมาควบคุม สั่งการ หรือคอยแนะนำพร่ำเพรื่อ... อย่างเช่นเวลาที่ขับรถ เคยสังเกตไหมว่า ถ้ามีคนคอยบอกทางอยู่ตลอดเวลา มันช่างน่าอึดอัดใจที่สุด... เช่นนี้ คงต้องเปิดปากพูดไปตรงๆ “คุณคงพอมองออก ว่าฉันหงุดหงิดกับการที่คุณคอยบอกอย่างนั้นอย่างนี้เวลาฉันขับรถ... หากคุณทำอย่างนี้กับคนอื่น เขาอาจจะรับไหว... ฉันจะขอบคุณมากๆ ถ้าคุณจะนั่งเป็นเพื่อนไปเงียบๆ หรือเปิดเพลงเพราะๆ ให้ฉันฟัง ทำเพื่อฉันแค่นั้น ได้ใช่ไหม?”

อืมห์... ชัดมะ? ผู้ใดได้ฟังเข้าคงอึ้งและหุบปากสนิท! แม้ในใจจะเคืองปุดๆ ก็เหอะ


เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นใครกี่คนก็ตาม... ควรต้องสังเกตด้วยความละเอียดอ่อน ว่ามี “คำที่ชวนทะเลาะ” ประเด็นไหนกับใครบ้าง คนบางคนมีลักษณะ “เซนซิทีฟ” เกินกว่าเหตุจริงๆ นะ ดังนั้น พึงหลีกเลี่ยงการใช้ “คำ” จุดชนวนทั้งหลาย เพื่อป้องกันผลลัพธ์อันเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง... แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดล่ะก้อ... ต้องเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อความ 'สงบใจ' เชื่อฉันซี...

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จะรัก... สักกี่น้ำ?

บ่ายวันนี้ มีข้อคำถามให้ต้องรู้สึกหนักใจอีกแล้ว ฉัน...
"หนูหลี จิตแพทย์ที่เก่งๆ ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนบ้าง?" โอ๊ะ ช่างกระไรเนาะ ถ้าหมอเค้าไม่เก่ง จะจบแพทย์ได้ล่ะหรือ แหมๆ...
"มีอยู่ตามโรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งจ้ะ" ฉันเลือกตอบสั้นๆ พยายามเลี่ยงการปะทะคารม
"ก็บอกมาสักชื่อสิ มันยากนักหรือไง?"
"สวนปรุง, สวนสราญรมย์, ศรีธัญญา, สมเด็จเจ้าพระยา... " ฉันพูดชื่อ รพ.จิตเวช เร็วปรื๋อ...
"พอๆ บอกชื่อหมอมาหน่อยซิ"
"ต้องการความเชี่ยวชาญสาขาอะไรจ๊ะ?" ฉันยิงคำถามประวิงเวลา เพราะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับจิตแพทย์เลยสักคน อัดอั้นใจจังแล้ว...
"เอาสาขาที่ช่วยแก้ปัญหาครอบครัวให้ได้น่ะ มีมั้ย?" โอ มายก้อด... ความคาดหวังสูงจังนะนั่น 


แค่นี้ก่อนดีกว่า... เด๋วจะพลอยอึดอัดไปกับฉันด้วยอีกคน... ฮ่าๆๆ

อันที่จริงคนเรานี่ เวลาที่มีความรักใครห้ามปรามก็ไม่ฟัง... หลายคู่ทีเดียวที่เคยถูกปรามาสว่าไม่น่าจะไปรอด หรือตรงกับสำนวนที่ว่า จะไปได้สักกี่น้ำ... ประมาณนั้น... และบางคู่ ก็ยังครองรักกันได้อย่างราบรื่นยาวนาน แม้ไม่ได้จัดให้มีพิธีวิวาห์ใหญ่โตหรูหราอย่างที่ผู้คนนิยมทำกัน... อืมห์...


ในความเห็นส่วนตัวของฉัน การจัดพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่หรือเล็กๆ ต่างก็เป็นการให้เกียรติแก่บรรดาญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ที่จะเชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลของบ่าวสาวเหมือนๆ กัน... บางคนบอกว่ามันคือการขี่ช้างจับตั๊กแตน... ก็แล้วแต่จะคิดเถิด 


ที่สำคัญ งานแต่งงานมันจบลงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่หลังจากนั้น เป็นเรื่องของการปรับตัวเข้าหากันของคนสองคนล้วนๆ ซึ่งไม่มีใครหรือสิ่งใดมารับประกันได้ว่าคู่ไหนจะไปได้ไกลกี่มากน้อย...


ฉันเคยอ่านผ่านตา เกี่ยวกับเรื่องผลงานวิจัยชีวิตคู่ ของสามีภรรยาชาวอังกฤษ จำนวน 3000 คู่... ว่ามีพฤติกรรมใดบ้าง ที่ทำให้อีกฝ่ายเกินจะรับไหว... 


เริ่มจากของฝ่ายชายก่อนเป็นอันดับแรก ดูนะ ผู้หญิงเขาทนไม่ได้หรอก เมื่อคุณ...
1. โกนหนวดในอ่างล้างหน้าแล้วไม่ทำความสะอาดให้เรียบร้อย
2. การใช้ห้องน้ำแล้วทำเลอะเทอะ สกปรก
3. เปลี่ยนช่องทีวีตามใจตัวเอง โดยไม่แคร์ฝ่ายหญิง
4. ปัสสาวะแล้วไม่ยกฝาชักโครกขึ้น / ไม่นำฝาชักโครกลงเหมือนเดิมเมื่อปัสสาวะเสร็จ
5. ใช้โต๊ะเก้าอี้แล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย
6. เปิดไฟทิ้งไว้แล้วไม่ยอมปิด
7. เวลาดื่มกาแฟเสร็จแล้วไม่ยอมเก็บ ชอบวางตามจุดต่าง ๆ ไปเรื่อย
8. อาบน้ำแล้วนำผ้าเช็ดตัวไปวางตามทางเดิน ที่นอน วางไปทั่วไม่ยอมเก็บ
9. เก็บของไว้รกบ้าน ไม่ยอมจัดให้เรียบร้อย
10. ไม่กดชักโครก

นั่นคือข้อด้อยของหนุ่มๆ ผู้ดีอังกฤษ แต่ถ้าเป็นพี่ไทยเราอาจเป็นแนวขี้เหล้า เจ้าชู้ บุหรี่ การพนัน... ฯลฯ... แต่ก็นั่นแหละ นานาจิตตัง ลางเนื้อชอบลางยา บางคนสุดจะเลวในสายตาบางคน แต่กลับเป็นสุดรักสุดหวงของใครบางคน หรือบางคนโกหกเอาตัวรอดไปวันๆ หามีความจริงใจให้อีกฝ่ายไม่ แต่ก็ยอมทนกันเรื่อยไป ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว... นี่ก็แล้วแต่ใจคน... ไม่ว่ากัน...


คราวนี้ ลองดูซิว่าพฤติกรรมของฝ่ายหญิง ที่ฝ่ายชายรับไม่ได้มีอะไรบ้าง
1. แต่งตัวนาน... จะไปไหนด้วยกันสักครั้ง ต้องให้รอ
2. ขี้บ่น แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
3. เปิดไฟทิ้งไว้แล้วไม่ยอมปิด
4. ทำผมร่วงเป็นกระจุก อุดตันท่อหรืออ่างล้างหน้าประจำ
5. ชอบซื้อของลดราคา
6. ไม่ยอมนำขยะไปทิ้ง (เขามองว่าเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน)
7. ใช้ทิชชูแล้วชอบทิ้งเกลื่อนบ้าน
8. เวลาดื่มกาแฟแล้วไม่ยอมเก็บถ้วยกาแฟ ชอบไว้ตามจุดต่างๆ ในบ้าน
9. เปลี่ยนช่องรายการ TV ตามอำเภอใจ
10. ชอบดูละครน้ำเน่า
อืมห์ ดูเหมือนว่ามีหลายข้อที่ตรงกัน... ต่างฝ่ายต่างกระทำเหมือนกัน แต่ตัวเองทำได้ คนอื่นทำตัวเองรับไม่ได้สินะ ฮ่าๆๆ...


ความรัก จะว่าไปแล้ว คล้ายๆ สมุดบัญชีเงินฝาก มีขึ้นได้และมีลงได้... ไม่มีหรอกที่จะขึ้นๆๆ และขึ้นเพียงอย่างเดียวอ่ะ ฝันไปเหอะ... แต่แบบดิ่งลงฮวบฮาบเหมือนหุ้นตกหน่ะ มีแน่นอนจ้ะ เอิ๊กส์ๆ...


ในยามที่ความอดทนสิ้นสุดลง จิตแพทย์ ย่อมเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด เขาสามารถรับฟังทุกประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายหนักใจ อึดอัดใจ และทนแบกรับอย่างอัดอั้นมานาน... เพื่อช่วยวิเคราห์ว่าอะไรบ้างที่เป็นปัญหา และอะไรเป็นแค่เพียงความไม่ชื่นชอบส่วนตัว... และจะช่วยชี้แนะวิธีคิดอย่างมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่... ใครที่ยอมรับว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ ก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็งและน่าจะหาทางออกของปัญหาได้ง่ายและรวดเร็ว...


ดูเหมือนว่า ตอนนี้ คนที่หาทางออกยังไม่ได้ คือฉัน จะอธิบายเขาว่าอย่างไรดีหนอนี่หนอ...

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฤๅสวรรค์บัญชา



หลายปีก่อน ฉันเคยไปดูงานแพทย์แผนจีนที่เซี่ยงไฮ้ในฐานะผู้ติดตาม ได้แวะไหว้พระที่ภูเขาแห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่แกะสลักจากหินอ่อน งดงามมาก... ผู้คนต่างอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องความรัก โชคลาภและทายาทสืบสกุล ส่วนฉันได้แต่ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ให้โอกาสได้มาท่องเที่ยวในดินแดนที่สวยงามเช่นนั้น ไม่กล้าขออะไรมากกลัวผิดหวัง ในเมื่อมีคนแห่ไปขอนู่นขอนี่กันมากมายทุกวัน ฉันเลยไม่อยากรบกวน ปล่อยให้ท่านได้พักผ่อนบ้างดีกว่า สาธุ...


ความที่ต้องเดินไกล โดยใส่รองเท้าคัทชูย่ำไปบนถนนราดยางที่ขรุขระ ให้รู้สึกเจ็บระบมเท้าจนแทบไม่อยากก้าวย่าง ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลงจนรั้งอยู่ท้ายขบวน พี่ชายล่วงหน้าไปก่อนลิ่วๆ แล้ว... โชคดีที่มีคนใจบุญควักครีมบัวหิมะให้ทาถูนวดเท้าทั้งสองข้าง มันช่วยให้ดีขึ้นในทันทีจริงๆ... ใครคนหนึ่งเปรยขึ้นว่าฉันไม่น่าจะไปรอด ก็อึ้งกันไปพักหนึ่ง ก่อนจะได้ฟังเรื่องราวของหนุ่มสาวที่ไปเที่ยวภูกระดึง... ฉันฟังอย่างเงียบๆ ขาก็เริ่มก้าวเดินช้าๆ ซ้ายหนอ-ขวาหนอไปเรื่อยๆ... ในใจก็นึกขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน ที่พยายามเบนความสนใจของฉันให้จรดจ่อที่การฟังและการก้าวเดินจนถึงที่หมาย


ที่ฉันฟังมาวันนั้น... หนุ่มสาวกลุ่มใหญ่พากันขึ้นไปเที่ยวภูกระดึง สมัยก่อนความเจริญยังแทรกตัวไปไม่ถึง เส้นทางที่ต้องเดินนั้นทั้งไกล สูงชัน หนาวเย็น ชื้นแฉะและมีทาก... สาวน้อยคนหนึ่งบุกป่าฝ่าดงไปเที่ยวกับผองเพื่อนและคนรัก แต่ด้วยความที่ไม่เคยลำบากมาก่อน เธอเดินแทบไม่ไหว แรกๆ แฟนหนุ่มก็ใส่ใจคอยประคอง แต่ยิ่งเห็นเธอเดินช้าลง เขากลับออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด... กว่าจะไปถึงที่หมายก็เล่นเอาตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ไม่อยู่รอให้สองหนุ่มสาวได้ชื่นชมบรรยากาศโรแมนติกอย่างที่คาดหวังไว้ แถมยังต้องเดินย้อนกลับฝ่าความมืดอีกไกลโข มันทำให้ทั้งคู่มึนตึงต่อกันราวกับชิงชังมาช้านาน... และแล้ว เพื่อนอีกคนก็ทนใจจืดต่อไปไม่ไหว เข้ามาช่วยเหลือเธออย่างมีน้ำใจ... จากนั้น ความรู้สึกดีๆ ที่เธอเคยมีให้บางคนก็หมดสิ้นไป และเกิดความรู้สึกดีๆ  ให้กับอีกคนอย่างช่วยไม่ได้... นี่กระมังที่เรียกว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์(ใจ)คน...


ภูกระดึง แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ... ฉันรู้สึกกลัวจัง จนป่านนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปชมความงามของธรรมชาติสักที... ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อภูกระดึง ฉันเป็นต้องคิดถึงคนเล่าเรื่องคนนั้น... ได้ข่าวมาว่าเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากแต่งงานไม่นาน ยังไม่มีบุตร... ชีวิตคู่ลุ่มๆ ดอนๆ เอาแต่ดื่มเหล้าหัวราน้ำ ใครห้ามปรามตักเตือนก็ไม่ฟัง จนกระทั่งล้มป่วยและจากไปอย่างรวดเร็วด้วยภาวะตับแข็ง... โอ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ... ขอให้ไปสู่สุขคติเถิด ไม่ต้องพานพบคนที่ไม่อยากพบ และไม่ต้องทำร้ายตัวเองเช่นนั้นอีก... สาธุ


ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ... คนเคยรักกัน เคยคิดตรงกัน ว่าจากนี้ไปจะร่วมชีวิตเป็นคู่ครองของกันและกันไปตลอด สุดท้ายแล้ว อาจมีเพียงไม่กี่คู่ที่สามารถนำพาความรักไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ... มันน่าจะมีสาเหตุมากมายใหญ่หลวงที่คอยทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันไปเสียสิ้น... และจุดจบของทุกๆ คู่ ย่อมกลายเป็นบทเรียนสอนใจที่ดีสำหรับอีกหลายๆ คู่ ทั้งนี้ รวมถึงตัวฉันด้วยแหละ... แม้ว่าวันนี้ ฉันยังอยู่รอดมาได้ แต่ก็นั่นแหละอะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกนาที เช่นกัน...


ไม่เป็นไร อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ขอเพียงแค่อย่าให้ปัญหามันเกิดจากฉัน เท่านั้น ก็พอแล้ว... สาธุ


วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

น้ำตาที่ไหลมาจากหัวใจ


"ลูกผู้ชาย ต้องไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น... "
"ลูกทหาร ต้องเข้มแข็งและไม่เสียน้ำตาให้ผู้ใด... "
"น้ำตาของหญิงสาว มันกร่อนหัวใจเขาให้ละลายและยอมเธอทุกอย่างเสมอ... "

คำกล่าวอ้างที่ว่ามานี้ คงชินหูชินตากันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย... จะว่าไปแล้ว เมื่อกล่าวถึง "น้ำตา" มักจะมีความหมายโดยนัยชวนให้คิดตามไปถึงเรื่องราวที่เป็นความทุกข์ยาก ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น การพลัดพรากสูญเสีย หรือปัญหาอุปสรรคนานัปการ... น้อยรายจริงๆ ที่จะระลึกถึงความปิติสุข... แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย...

บางคน เพียงแค่ได้เห็นเหตุการณ์ของคนอื่น ก็ถึงกับหลั่งน้ำตาได้ง่ายๆ โดยไม่รู้ตัว... ขณะที่บางคน เป็นผู้เผชิญหน้ากับเรื่องจริงของชีวิตที่เรียกน้ำตาและคะแนนสงสารจากใครต่อใครได้อย่างท่วมท้น หากแต่เจ้าตัวกลับร้องไม่ออก... เชื่อไหมล่ะ?

ลองชมคลิปนี้กันสักหน่อย แม้ว่าจะเป็นภาษาอื่นที่เราไม่เข้าใจ แต่ก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง... เผลอๆ อาจต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานไปกะเค้าด้วยก็ได้...


อยากรู้ล่ะสิว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง... ฉันเดาเอาเอง คงไม่มีใครไม่อยากรู้หรอก ชิมิ... เรื่องของชาวบ้านที่ไม่ได้ทะเลาะตบตีกัน ฉันขอแจมด้วยคน... ไปเสาะหามาเล่าในสไตล์ของฉันอย่างคร่าวๆ ถ้าเพี้ยนบ้างรัยบ้าง ก็อย่าว่ากันหน่ะ ยาวมากเด๋วไม่อ่านอีกแหละ...

สามีภรรยาคู่นี้... ภรรยาเคยเรียนดนตรี ฝ่ายสามีเป็นชาวนาบ้านนอก อยู่กินกันมา 10 ปี ฐานะยากจน อาชีพขายของเร่ริมถนน... ทั้งคู่สมัครมาในรายการและตั้งใจแสดง "เต้นหัวหอม" เพียงเพราะอยากให้ภรรยาได้ร้องเพลงบนเวทีตามที่เคยวาดฝันไว้... ผลลัพธ์ คือ แปร่วส์!

แต่ฟ้าก็มีตาและมีแววปรานีเป็นอย่างมาก เมื่อกรรมการสังเกตได้ตรงกันว่า ภรรยานั้นแววดี ทั้งบุคลิก หน้าตา แถมมีความสามารถทางดนตรีสูง จึงสัมภาษณ์สดว่าทำไมเขาถึงไม่ให้ภรรยาแสดงเอง คำตอบคือ เขากลัวเธอจะโดนรังแกเลยต้องคอยปกป้องอย่างใกล้ชิดในคราบไอ้แมงมุม...

สามีกล่าวถึงภรรยาว่า เธอเป็นผู้เสียสละอย่างมาก เลือกอยู่เคียงข้างเขาโดยวางมือจากทุกสิ่ง ทั้งการศึกษาและครอบครัวเดิมซึ่งไม่เห็นด้วยกับความรักของทั้งคู่...

ภรรยากล่าวถึงสามีว่า เขาเป็นเพื่อนชายคนแรกของเธอ แม้ไม่ร่ำรวยแต่ขยันทำมาหากิน เมื่อมีวาสนาได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เธอตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพยายามนำพาความรักไปจนถึงที่สุด... ว้าว!

ถ้อยคำสั้นๆ ของทั้งคู่ มันซึ้งตรึงใจกรรมการและผู้ชมในห้องส่งยิ่งนัก กรรมการจึงทดสอบกำลังใจด้วยคำถาม "หากการแสดงครั้งต่อไป ทำให้คุณทั้งสองคนต้องแยกกัน เพื่อให้เธอได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงให้กรรมการชม... คุณยินดีให้ภรรยาของคุณแสดงคนเดียวไหม?"

เขาอึ้งไปนิดหนึ่ง มองหน้าเธอ ก่อนจะตอบอย่างไม่ลังเลว่า "ยินดีครับ"

เขาหลบไปยืนข้างเวที กรรมการบอกให้หญิงสาวร้องเพลงที่อยากร้องอย่างเต็มที่ ซึ่งเธอก็ทำได้ดี สามารถตรึงสายตาและอารมณ์ผู้ชมได้อย่างน่าอัศจรรย์... ฝ่ายสามีถึงกับน้ำตาไหลพราก...  เมื่อสิ้นเสียงเพลง กรรมการซับน้ำตาตัวเองแล้วถามฝ่ายชายว่ากำลังคิดอะไรอยู่... เขาตอบอย่างรู้สึกผิดว่า "ภรรยาของผม... เธอคือนางพญาหงส์ แต่กลับต้องมาอยู่ข้างคนจนๆ อย่างผม"

เงียบกันไปพักหนึ่ง... กรรมการผู้มีจิตใจดีงามจึงพูดขึ้นว่า "ภรรยาของคุณ เธอรักคุณมาก เพลงที่เธอร้องออกมามันเต็มไปความรู้สึกท่วมท้น... แสดงว่าที่ผ่านมาเธอต้องมีชีวิตที่มีความสุขมากทีเดียว เพราะเธอได้ใช้ชีวิตคู่กับคุณ จึงได้มีจิตใจเข้มแข็ง เสริมพลังเสียงที่ไพเราะได้อย่างไร้ที่ติ... การที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายสักคน มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินทอง ภูมิหลังหรือการศึกษา แต่เป็นเพราะ เธอตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น.... เธอรักคุณ”

และแล้ว สถานการณ์ก็พลิกผัน ด้วยว่ากรรมการทั้งสามคน ตัดสินใหม่... ให้ "ผ่าน"

"เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่เคยละทิ้งความฝันของตัวเอง นี่คือคุณลักษณะที่หาได้ยากจริงๆ”
"เพราะเขารักและให้เกียรติเธอ ยอมให้เธอตามหาความฝัน"
"เพราะแรงใจจากความรักที่แท้จริงของทั้งคู่"


ในตอนท้าย ฝ่ายสามีได้พูดว่า "ขอแค่เธอสู้ต่อไป ผมจะอยู่เคียงข้างค่อยสนับสนุนเธอตลอดไป ผมจะทำให้เธอมีชื่อเสียง และสมหวังในความฝัน"

(ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : go2pasa.ning.com)


ความรัก... หลายต่อหลายคู่ ให้ความสำคัญเฉพาะบทเริ่มต้น... ไม่นำพาเส้นทางที่ทอดยาวไปในแต่ละเมื่อเชื่อวัน ระยะห่างระหว่างความรู้สึกรักที่สั่งสมความไม่ชื่นชอบใจให้พอกพูนทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ... ที่สุดแล้ว ตอนจบก็มาถึงเข้าสักวัน... อาเมน!

หวังว่า เรื่องราวที่นำมาฝากในตอนนี้ จะเป็นแง่คิดที่มีสาระประโยชน์ ให้นำไปปรับใช้กับอารมณ์ความรู้สึกของท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย... นะจ๊ะ นะ...


ขอบคุณ ที่ติดตาม
ขอบคุณมากๆ ที่ฝากความเห็น
ขอบคุณอย่างที่สุด ที่เป็นกำลังใจเรื่อยมา
และจะเป็นพระคุณอย่างล้นหลาม หากติดตามกันตลอดไป

<< จรุ๊ฟส์ๆ >>


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันหยุด


วันหยุด... คือวันที่ข้าราชการพลเรือนทั่วๆ ไป ไม่ต้องไปทำงานประจำตามหน้าที่ปกติ... เมื่อก่อน ฉันก็เคยค้อนลมๆ แล้งๆ เวลาที่มีวันหยุดแล้วตัวเองยังต้องไปทำงาน หรือได้หยุดพักในวันที่คนอื่นๆ เขาทำงานกันเพลิน มันทำให้รู้สึกโหวงเหวงบอกไม่ถูก... ยิ่งตอนดึกๆ ย่างเข้าสู่วันใหม่ เป็นเวลาที่ใครต่อใครเขานอนหลับพักผ่อนกันอย่างแสนสบายบนที่นอนนุ่มๆ... แต่ฉันยังต้องยืนขาแข็งล้างขัดเครื่องมือให้สะอาดเอี่ยมอ่องพร้อมใช้งานในวันรุ่งขึ้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้สกปรกสักนิด เพียงแต่มาตรฐานของการเตรียมความพร้อมใช้งานคือต้องล้างขัดเงาและเปลี่ยนน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อโรคใหม่ทุกๆ เวรดึก... สาธุ ขอให้บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายจงพินาศไปสิ้น... เพี้ยง!


มาคราวนี้ ถึงตอนที่ฉันไม่มีงานประจำต้องทำเหมือนเช่นคนอื่นเขา... หลายๆ คนอิจฉายิ่งนักกับการมีวันหยุดตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน... แต่ก็แปลก ที่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีวันหยุด เพราะดูเหมือนยังมีนั่นนี่นู่นให้ทำไปได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยไม่พัก... ที่สำคัญ ไม่ต้องถูกคาดหวัง ถูกควบคุมกำกับ ถูกประเมินแล้วประเมินอีก ถูกมอบหมายงานเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เก่งๆ กันนักก็น่าจะลงมือทำเองดูบ้าง... ให้ฉันทำๆๆ พอสำเร็จลุล่วงก็เป็นหน้าเป็นตาของผู้ไม่เกี่ยวข้องไปเสียทุกที... เง้อ...


วางมือจากงานบ้านแล้วก็สนุกกับการจัดเตรียมอาหาร... ใช่ว่าจะรู้ใจใครชอบอะไรไม่ชอบอะไรไปซะหมดรึก็เปล่า ดังนั้น เมนูส่วนใหญ่ที่ฉันทำ ก็คือ ทำตามแบบฉบับของตัวเองที่คิดว่าน่าจะอร่อยถูกปาก รสชาดถูกใจ ส่วนผลงานออกมาจะฟลุ้คหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง... ฮ่าๆๆ


นอกจากจัดการเรื่องคนแล้ว ยังมีเจ้าตัวป่วนสีขาวๆ ตาดำๆ อีกตัวหนึ่ง ที่คอยนัวเนียเลียแข้งเลียขาอยู่มิเว้นวาง... พอเตรียมน้ำสบู่เสร็จหายแว้บไปออกไหนแล้วก็ไม่รู้ เฮ้อ... เป็นฉันหน่อยไม่ได้ มีคนจับอาบน้ำให้ สบายจะตาย ทำไมต้องหนีก็ไม่รู้ เนอะ...

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสำหรับออกไปทำงานนอกบ้าน มันเป็นอะไรที่ต้องเนี้ยบในสายตาคนอื่น... หลายคนมีรายได้พอประมาณแต่เห็นความจำเป็นต้องจับจ่ายค่าแต่งตัวให้มีรสนิยมติดหรูอยู่เสมอ ผิดกับฉัน ที่มีชุดเครื่องแบบไม่กี่ชุด ซักให้สะอาดและรีดเรียบเป็นอันใช้ได้ ตอนนี้ยิ่ง สบม. แค่ขาสั้นกับเสื้อแขนกุดท้าลมร้อนก็โอเคเลย... ถ้าลงมือทำงานต่างๆ ด้วยตัวเองเช่นนี้แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสะสมไขมันส่วนเกินได้หนอนี่หนอ?...


กว่าจะได้เบาแรงในแต่ละวัน ก็ล่วงเลยจนพลบค่ำ... ยามนั้น แม่บ้านแต่ละราย เลือกที่จะมารวมตัวกันเพื่อออกกำลังกายด้วยฮุลาฮูป เหวี่ยงไปคุยกันไป เพลินใจดีทีเดียว... ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของกลุ่ม เลยถูกรุมซักถามปัญหาหัวใจ... มันทำให้ได้เปิดหูเปิดตากับวิธีคิดของผู้คนในอีกหลายมิติของสัมพันธภาพที่เรียกกันว่า 'ความรัก'


อยากรู้ล่ะซี... ชิมิ ชิมิ... ไว้ค่อยอ่านตอนต่อไปเหอะ... ง่วงแระ... ฮ้าว วว ว  ว   ว....

ขอมือหน่อย


ถ้าบอกว่าสูงขึ้นไปทุกๆ ๑ กิโลเมตร อุณหภูมิจะลดลง ๕.๕ องศาเซลเซียส จะมีใครเชื่อหรือไม่เชื่อบ้างก็ไม่รู้ เพราะมันไม่ง่ายที่จะหาเครื่องมือตรวจวัดเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แถมมีลมฟ้าอากาศปรวนแปรเป็นปัจจัยภายนอกที่เหนือการควบคุมซะด้วย...


งั้นบอกว่าทุกๆ ๗ วัน ต้นไม้จะเจริญเติบโตขึ้นกว่าเดิมจนสังเกตได้ชัด... แหงหละ ต่อให้เป็นต้นบอนไซก็เหอะ เพราะต้นไม้แตกยอดอ่อนอยู่เสมอ ส่วนจะโตเร็วหรือโตช้า ก็อยู่ที่ว่ารากได้อาหารอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ตอนเด็กๆ ฉันเคยปลูกข้าวโพด กับดาวกระจาย ผักโขมจีน... หมั่นพรวนดิน ใส่ปุ๋ยคอกและขี้เถ้าแกลบให้เรื่อยๆ ปรากฎว่าลำต้นอวบ สูงใหญ่แบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผู้คนที่ผ่านไปมา เป็นต้องถามถึงปุ๋ยวิเศษ ก็ขี้วัวธรรมดานั่นเอง โธ่...


เชื่อเถิดว่าในทุกๆ 7 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิต... ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จักเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม... มันเป็นทฤษฎีที่กล่าวอ้างต่อๆ กันมา... ฉันจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ รู้แค่ว่า ฉันมักสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ว่าเปลี่ยนไปจากเดิมกี่มากน้อยแล้วในเรื่องต่างๆ... เพราะกลัวว่าบางอย่างจะไม่เหมือนเดิมจนแก้ไขได้ยาก... อืมห์... มันน่ากลัวจังนะ ความเปลี่ยนแปลงเจ้าเอ๋ย...


เอ... แล้วจะมีใครบ้างนะ ที่คงเส้นคงวาอยู่ได้ตลอดไป... มีมั้ย?
ไหนช่วยชูมือให้ดูหน้าดูตาหน่อยสิ... แบร่


Nobody

Nobody perfect & nothing flawless
ไม่มีใครดีพร้อม และไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ


จริงสินะ ถ้าเราคิดได้เช่นนี้กันทุกคน การยอมรับคนอื่นๆ ในแบบฉบับที่เขาเป็นเขา เราเป็นเราคงจะมีเพิ่มขึ้นมากกว่า... ไม่มากก็น้อย... ดีกว่าไม่เพิ่มเลย...


ทุกชีวิต ล้วนมีเส้นทางต้องก้าวเดิน... ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลยว่า จักต้องก้าวไปอีกยาวไกลกี่มากน้อย ฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องลำบากวิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยของฉันให้ยุ่งยาก... แค่เห็นว่าธรรมชาติของฉันเป็นเช่นนี้เอง และอย่าคาดหวังอะไรจากฉันให้มากนัก จะได้ไม่ผิดหวัง...


ไม่ต้องน้อยใจฉัน หากว่าไม่ได้ทำอะไรให้อย่างที่คาดหวังว่าฉันจะทำให้ได้ในหลายๆ เรื่อง... เพราะฉันไม่รู้ใจใครไปหมดแม้แต่ตัวเองก็ตาม... ที่สำคัญ ฉันหาใช่คนสำคัญสำหรับใครซะหน่อย.


ไม่ต้องขอบคุณฉันก็ได้... เพราะทุกอย่างที่ฉันทำลงไปนั้น ก็เพื่อความสบายใจของตัวเอง ที่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว... หน้าที่ของฉัน คือทำให้คนอื่นมีความสุขกายสุขใจ นั่นแล...


ไม่ต้องจดจำเรื่องราวของฉันดอก เพราะว่าตัวฉันเองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หาได้หยุดนิ่งอยู่กับวันเวลาหรือสถานการณ์ใดๆ ไม่... โลกนี้ ยังมีสิ่งสำคัญๆ อีกมากมายที่ควรค่าแก่การทรงจำนัก


อ๊ะ หากคิดจะตอบแทนฉัน... ไม่ต้องเลย... ฉันไม่ต้องการอะไรจากใครจริงๆ... เพียงแค่รู้ว่ายังไม่ลืมกันก็มากเกินพอแล้ว... ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด... ว่าแต่ ทำได้มั้ย?