วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หัวปลีต้มข่าไก่... เมนูไทยๆ เล่นไม่ยาก


"ข้าวต้มมัดร้อนๆ มาแล้วจ้าาาาา... " เสียงร้องขานดังขึ้นในยามบ่ายของทุกวัน น้ำเสียงทอดยาวแม้ไม่หวานใสไพเราะแต่ก็เรียกลูกค้าได้ราวกับร่ายมนต์ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือลมจะแรงสักแค่ไหน... คุณยายท่านนี้ก็ไม่หนีหน้า สองขาที่โก่งค้อมค่อยๆ เดินเข็นรถลากคันเก่ามาตรงเวลาให้ได้ซื้อหาอาหารว่างดับหิวกันเสมอ...

"วันนี้ เหลือแค่ถุงสุดท้ายแล้วค่ะคุณหมอ" ยายรายงานในทันทีเมื่อมาถึงยังหน้าบ้านฉัน หลังจากใครต่อใครมะรุมมะตุ้มอุดหนุนจนยายรับ-นับ-ทอนสตังค์แทบไม่ถูกเอาเลยทีเดียว

"จ้ะ ไม่ว่ากัน ได้ถุงเดียวก็ยังดีกว่าอด" ฉันรับถุงขนมพร้อมยื่นแบงค์ 20 ให้ยาย... พลันสายตาก็เหลือบเห็นหัวปลีในรถเข็นหลายหัว เป็นไปไม่ได้ที่ยายจะเก็บไว้ทำกับข้าวกินเองอย่างมากมายขนาดนั้น

"หัวปลีนี่ ขายยังไงเหรอจ๊ะยาย" ฉันถามราคาเพื่อช่วยอุดหนุน หวังให้ยายได้กลับไปพักผ่อนเร็วขึ้น ไม่ต้องเดินขาลากไปอีกไกลๆ

"กินไม่เป็นก็อย่าซื้อเลยค่า... เดี๋ยวยายเอาไปเก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกเอง" ยายบอกอย่างเกรงใจ มิเห็นแก่รายได้จากการขายแต่เพียงอย่างเดียว ผิดวิสัยแม่ค้ายุคใหม่ในท้องตลาด

"อ้าว อย่าดูถูกกันสิยาย" ฉันท้วงเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบหัวปลีงามๆ ใส่ถุง 2 หัว

"ไหนบอกทีแม่คุณ จะทำรัยกิน" ยายยั่วเย้าทีเล่นทีจริง ยืดหลังขึ้นราวกับต้องการขับไล่ความเมื่อยขบที่ต้องเดินค้อมหลังลงเรื่อยๆ ในทุกย่างก้าว...

"ใส่ต้มข่าไก่น่าจะอร่อยจ้ะ" ฉันตอบในทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก หัวปลีสดๆ เช่นนี้... เสร็จฉันหล่ะ

"เอาไปต่ะ ยายให้" ยายพยักเพยิด ยกของดีให้ฉันฟรีๆ... ได้ไง ยายก้อ...

"แน้... ยายอย่าใจดีกับหนูนักเลย เดี่ยวได้ทุนหายกำไรหดหรอกรู้ป่ะ" ฉันสับพยอกกลับบ้าง เรียกรอยยิ้มกว้างจากแก้มตอบ ดูแล้วน่ารักดี... อยากรู้จริงๆ ว่าคนที่บ้านยายเคยใส่ใจที่จะเหลียวแลรอยยิ้มเปี่ยมสุขของยายกันบ้างไหมน้อ?

"งั้นเอา 10 บาทพอ ยายเพิ่งหักมาจากในสวนเมื่อตะกี้" ง่ายๆ สั้นๆ จากยายที่ไม่เห็นเงินสำคัญกว่ามิตรภาพ และฉันยื่นแบงค์ 20 ให้ไปแล้วปฏิเสธที่จะรับเงินทอน...

ยายคนนั้นกลับไปนานแล้ว แต่ภาพของยายยังไม่ยอมเลือนไปจากความคิดง่ายๆ... ถ้าหากแม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ยืนยาวอย่างยายคงจะดีไม่น้อย จะได้มีโอกาสดูแลปรนนิบัติยามแก่ชรา จะทำอาหารเมนูที่แม่นึกอยากกินบ้าง ไม่รู้จะอร่อยถูกปากหรือเปล่า?... ก้อคิดไปนู่นเรื่อยเปื่อย!... เอาหล่ะ... คุณย่าก็ยังอยู่นี่นะ ทำให้คุณย่าอิ่มอร่อยก็เป็นกุศลแรงได้เหมือนกันแหละ เนอะๆ

เมื่อเช้า กระวีกระวาดไปตลาดด้วย ม.ไซค์ เช่นเคย... เจอฝรั่งวัยหนุ่มคนหนึ่ง ตัวสูง ผมสีทอง หน้าตาดี๊ดี... มาเดินจ่ายตลาดตามลำพัง เลือกซื้อของสดหลากหลายรายการโดยไม่ต้องดูโพย ท่าทางคงจะทำอาหารเก่งไม่เบา แฟนใครก็ม่ายรู้วววส์ น่ารักเป็นบ้ารุย... เห็นอย่างนี้แล้ว คนไทยเช่นฉันจะหวั่นไปใยกะแค่ทำอยู่ทำกินในถิ่นฐานบ้านเรา จะมีที่ไหนให้จับจ่ายใช้ชีวิตสบายๆ เช่นไทยแลนด์... ม่ายมี้

 

ดูสิ มัวเม้าธ์เพลินเกินงาม เด๋วไกลเมนูไปเรื่อยๆ จะวกกลับไม่ได้... "หัวปลีต้มข่าไก่" เคยกินมาก็หลายคราวรสชาดถูกปาก แต่ก็ไม่มีใครเหมือนใคร... ที่แน่ๆ คือมีกะทิหอมๆ หวานนิดๆ เปรี้ยวน้อยๆ และต้องไม่เผ็ด... เพื่อความไม่ประมาท เปิดตาราดารดาษจากเน็ท ท่องเว็บนู่นนี่นั่น จนได้บทสรุปเป็นของตัวเอง เพราะเคล็ดไม่ลับของแต่ละเจ้าของสูตรมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินลงมือ อิอิ

เริ่มกันที่ลอกกาบนอกสีแดงคล้ำของหัวปลีออกเรื่อยๆ จนเหลือส่วนที่ขาวๆ อวบๆ เอ๊ย อ่อนๆ... (คิดรัยอยู่ว้า เรา... แฮ่!)


เตรียมกาละมังใบย่อม ใส่น้ำมาราวครึ่ง ผสมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำ 3 ชต. เพื่อแช่หัวปลีป้องกันมิให้เปลี่ยนสีออกดำๆ ไม่น่ากิน... ถ้าไม่ใช้น้ำส้มก็ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะขามเปียก แล้วแต่เลย...


หัวปลีมีเยอะ กะว่าจะใช้เฉพาะกาบอ่อนๆ จะได้ไม่เหนียว และไม่เอาเกสร เพราะมันชอบลอยเคว้งในน้ำแกง ไม่น่าดูสักเท่าไหร่... ค่อยๆ แกะ หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ แช่ลงในน้ำที่เตรียมไว้ทันที แล้วจะสีขาวจั๊วะน่ากินอย่างที่เห็น อิอิ... แต่ถ้าดำเสียแล้วจะมาเพิ่มน้ำส้มทีหลัง เสียใจด้วยนะจ๊ะ นะ

 ถ้าบ้านใครมีกอข่าปลูกกินเองถือว่าน่าอิจฉาเป็นที่สุด มันจะสด สะอาด หอมน่ากินมากเลย


ฉันเองก็ซื้อมาจากตลาดจ้ะ พอแก้ขัดไปได้... อย่าคิดอะไรมาก
 
เครื่องปรุงอื่นๆ ก็มีดังนี้ :- น้ำกะทิครึ่งโล, เนื้อสะโพกไก่ (เลาะหนังและกระดูกออก), เลือดไก่, น้ำมะขามเปียก, น้ำตาลทราย, น้ำปลา, เกลือ, พริกสด, ข่าอ่อน, ตะใคร้, ใบมะกรูด, หัวหอมแดง, ต้นหอมและผักชีฝรั่ง... (ปริมาณเท่าไหร่กะเอาเองตามสบายเลย หรือถ้าต้องการความมั่นใจก็เปิดดูจากครัวแม่พิม ครัวไกลบ้าน ครัวนายเหลือง ฯลฯ)... แล้วจัดการล้างหั่นอย่างถูกหลักอนามัย คงไม่ต้องลงลึกรายละเอียด เด๋วจะเบื่อซะก่อน...

ตั้งน้ำให้เดือด ล้างหัวปลีในน้ำสะอาดให้หมดกลิ่นน้ำส้มก่อนนำลงต้มในน้ำเดือด... แรกๆ สีจะเปลี่ยนไปทางโซนแดงนิดๆ ก็อย่าตกใจไปล่ะ สักประเดี๋ยวก็จางลง ต้มพอสุก ตักขึ้น แช่ในน้ำเย็น...

เลือดไก่หั่นชิ้นโตๆ นำลงต้มในน้ำเดือดต่อจากต้มผักเพื่อให้หายคาว... เดือดสักพักก็ตักขึ้น... เทน้ำร้อนทิ้งไป ล้างหม้อให้สะอาดก่อนนำไปต้มน้ำกะทิ ตั้งไฟกลาง คนไว้เรื่อยๆ จนใกล้เดือด (ถ้าไม่หมั่นคนล่ะก้อ กะทิจะจับกันเป็นตะกอนไม่น่ากิน) ใส่ข่าอ่อน, ตะใคร้, ใบมะกรูด, หัวหอมแดง และพริกสดลงไป คนเบาๆ ... พอเดือดอีกทีค่อยเร่งไฟแรง ใส่เนื้อไก่ลงไป... คราวนี้อย่าเพิ่งรีบคน ให้เนื้อไก่หดรัดสักเล็กน้อยก่อน ตามด้วยเลือดไก่และหัวปลี... คนเบาๆ...


พอเดือดเริ่มปรุงรสด้วยเกลือ, น้ำตาลทราย, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียก... ชิมให้ได้รสที่ชอบๆ ปรุงเพิ่มได้ตามอำเภอใจ(คงไม่ต้องเน้นตำบลนะ) ครั้นพอได้ที่แล้ว ค่อยโรยต้นหอมและผักชีฝรั่ง ปิดไฟ ยกลงจากเตา ตักเสิร์ฟร้อนๆ ได้เลยจ้า...



สำหรับคอต้มยำรสแซ่บ สามารถเตรียมชามใบโต ใส่น้ำมะนาว พริกขี้หนูสวนบุบ น้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำพริกเผา... คนให้เข้ากัน... ตักต้มข่าไก่ร้อนๆ ใส่ลงไปคนให้เข้ากัน กลายเป็นอีกเมนูที่น่าหม่ำไม่น้อยเลย... อันนี้ ก็ว่าตามชาวบ้านเค้าอีกทีจ้า


เรื่องของเรื่อง... ต่อให้มีครัวหรูหรา อุปกรณ์ทันสมัย มีเครื่องครัวครบครันทั้งของสดของแห้ง หรือแม้กระทั่งมีเครื่องปรุงทุกอย่างพรั่งพร้อม... หากแต่ฝีมือของแม่ครัวแต่ละคนมันใช่ว่าจะจรรโลงความอร่อยได้เหมือนๆ กันก็หาไม่... ฝีใครก็ฝีมันฉันใด มือใครก็มือมันฉันนั้นแล...

 
ถ้าอยากกินอย่างที่ฉันทำกิน ก็ลองทำดู มันยากที่ไหนกันเล่า... สองมือก็เท่ากัน กัดฟันสู้ๆ ดีกว่ากินแกงถุงเป็นไหนๆ... หลายคนชอบกินไปบ่นไปทั้งที่ไม่เคยลงมือทำด้วยตัวเอง มันน่าหยอดสลอดให้กินน้อยซะเมื่อไหร่ คนพรรค์นี้...


ถ้าโชคดีมีคนทำให้กินอยู่แล้ว... จะอร่อยถูกปากหรืออยากคาย ก็พยายามรักษาน้ำใจคนทำหน่อยเหอะ ก่อนจะเอ่ยปากตินู่นตินี่ก็ลองถามตัวเองดูว่าทำเองได้สักครึ่งของครึ่งที่เห็นนั่นหรือเปล่า? และถ้าไม่คิดจะผลัดเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นคนลงมือซะเองบ้าง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วางแผนก่อนจะตื่นไปตลาดสดตอนเช้าๆ อย่างพ่อฝรั่งตาน้ำข้าวคนนั้น... ทำได้อย่างเขาป่ะล่ะ?... เงียบ!... นี่แหละ หนุ่มไทย ฮ่าๆ เอิ๊กส์ๆ!


กินเสร็จแล้ว ก็ล้างให้สะอาดด้วย... ไม่ต้องให้ชี้นิ้วสั่ง... รู้ป่ะ?

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ฆ่าพเจ้า... ยอมแล้ว

ก่อนหน้านี้ ฉันเคยทำหน้าที่ช่วยจัดเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมสำหรับการตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทาง ไม่ว่าจะมาด้วยอาการหรือปัญหาในลักษณะใดก็ตาม เป็นอันรู้หน้าที่ว่าจะต้องจัดการเช่นไรมิให้ขาดตกบกพร่อง และมิต้องให้แพทย์ผู้ตรวจสั่งการขอนู่นนี่นั่น แค่มองตาก็พอรู้ใจ สามารถหยิบจับเครื่องมือส่งให้ได้อย่างถูกเผงตลอดมา...

ในส่วนของผู้ป่วย นอกจากจะได้รับคำอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่าคุณหมอจะตรวจอะไร เพื่ออะไร จะต้องให้ความร่วมมืออย่างไร... ช่วยจัดท่า ปิดผ้า คอยอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ มิให้รู้สึกกลัว... จนเมื่อตรวจเสร็จสิ้นแล้ว ก็จักมีคำปลอบขวัญให้คลายกังวลเสมอ...

"เรียบร้อยแล้วค่ะ เท่าที่ประเมินคร่าวๆ ก็ดูเป็นปกติดี สัปดาห์หน้าจะส่งผลไปให้ที่บ้านอีกที สบายใจได้แล้วนะคะ"

 ***************************



บ่ายวันหยุดที่แสนอบอ้าว... มันเกิดไรขึ้นหว่าทำไมปวดท้องมากมาย คล้ายๆ ว่ากระเพาะทะเลาะกับลำไส้ ตับ ม้าม ไตมุดไปหลบในชายโครงเกาะกันแน่นเป็นกระจุกแล้วโก่งตัวขู่ฟ่อๆ ให้ฉันต้องงอตัวเป็นกุ้ง... อร๊ากส์!
 
แม่เจ้าโว้ย... ที่ตรงกลางใต้ลิ้นปี่ คลำได้ก้อนแข็งเป้กขึ้นมาแบบไม่เคยแจ้งล่วงหน้า... หลับตานึกถึงภาพทฤษฎีการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ตำแหน่งนี้ก็น่าจะโรคกระเพาะอ่ะดิ ฝืนกายลุกไปหายาลดกรดชนิดน้ำและชนิดเม็ดมากิน ตามด้วยนมงาดำกล่องเล็ก จากนั้น ค่อยๆ เดินไปเอนกายนอนคว่ำหน้าเอาหมอนหนุนรองใต้ท้องตรงจุดที่ได้แรงกดบนก้อนแข็งๆ นั่น ปากก็ร้องขอถุงทรายร้อนเพื่อประคบกลบอาการปวดเกร็ง ครั้นได้มาแล้วกลับทำให้แย่ลงกว่าเดิมเพราะความร้อนยิ่งทำให้เหงื่อแตกซิกทั้งๆ ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ... ปลายเท้าสองข้างขยับถูไถกันไปมาโดยอัตโนมัติเพียงเพื่อจะหาหนทางคลายความปวดเกร็งจากท่าใดท่าหนึ่งซึ่งยังไงซะก็ไม่เจอง่ายๆ จึ่งตั้งสติสวดอิติปิโสวนซ้ำๆ จงใจหลับลึกลงให้ได้ก่อนที่จะทรมานมากไปกว่านี้...

"เนี่ย บอกไม่ฟัง ชอบกินเผ็ดดีนัก เป็นไงล่ะ"
"กินอาหารไม่เป็นเวลาด้วยล่ะสิ มีความรู้แล้วไม่ดูแลตัวเองให้ดี สุดท้ายก็เดือดร้อนทุกที"
"ร่างกายอ่อนแอ เป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่อดทนเหมือนคนอื่นเขา"

แม้จะหวิวๆ แต่เสียงบ่นอึงอลที่ลอยเข้าหูก็ชัดเจนและบาดความรู้สึกได้ดียิ่งนัก... ให้ตายซี ยามนี้มันช่วยเพิ่มความเจ็บช้ำได้เป็นร้อยๆ เท่า... แอบหวังว่าจะมีคำถามไถ่อย่างห่วงใยว่าปวดตรงไหน ยังไง กินยาแก้ปวดหรือยัง? ผ่ามืออุ่นๆ คลำที่หน้าท้องสักนิดทดสอบว่ามันเกร็งมันการ์ดแบบไหนถึงได้ออกอาการซะจนต้องซ้ำเติมขนาดนั้น... อืมห์ ซึ้งน้ำใจยามยากเสียจริงๆ แล้ว...

นานเป็นเดือน ที่ฉันกินยารักษาโรคกระเพาะ ควบคู่ไปกับยาแก้อักเสบอย่างละเม็ดเช้าเย็น แต่แล้วจู่ๆ ก็มีก้อนทูมตู้มขึ้นมาแถวๆ คอ 5 เม็ด แดงเรื่อ เจ็บตึงนิดๆ ... สำรวจตัวเองอย่างถ้วนถี่ก็ไม่เห็นจะมีภาวะอักเสบภายในช่องปาก หู คอ จมูก... แย่แล้วเรา!

ที่โรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง... ท่ามกลางสายตาใฝ่รู้นับสิบคู่ของนักศึกษาแพทย์ ฉันถูกวินิจฉัยว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบแบบเฉียบพลัน และได้ยาปฏิชีวนะมากินในขนาดสูง แม้จะให้ข้อมูลว่ากำลังกินอยู่แล้วก็ตาม... เฮ้อ!

ด้วยความไม่นิ่งนอนใจ ฉันกลับเข้าที่ทำงานเดิมเพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย... เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจฉันต้องรีบเข้าห้องน้ำเพื่อปล่อยน้ำ 250 cc ออกหลังจากทนกลั้นไว้ตั้งนานกว่าจะสแกนครบทุกส่วน... ยังมิทันเสร็จธุระ เสียงเรียกชื่อทำให้ต้องขานรับออกไปดังๆ คุณหมอก็ช่างใจดีเดินมาใกล้ๆ ประตู แล้วบอกให้แต่งตัวกลับได้เลย ส่วนผลการสแกนจะคุยกับญาติก่อนและค่อยหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป... ฮะ หา! ว่าไงนะ... ฉันจะเป็นลม!

ทันทีที่ออกจากห้องน้ำฉันเดินกลับไปที่ห้องสแกน ยื่นแขนให้เจ้าหน้าที่ดูว่าเข็มกับสายยางยังไม่ได้ออฟ... น้องๆ กล่าวคำขอโทษแล้วรีบจัดการให้อย่างเบามือ ฉันจึงถือโอกาสสอบถามว่าภาพสแกนปกติดีหรือเปล่า? สาวสวยทั้งสามคนซึ่งรู้จักฉันเป็นอย่างดี มีท่าทีอึกอักและไม่กล้าสบตา... ฉันเลยขอดูซะเอง แต่หนึ่งในสามกลับพูดขึ้นว่า รอให้อาจารย์หมอช่วยอธิบายรายละเอียดให้ทีหลังจะดีกว่า ตอนนี้มีผู้ป่วยรายอื่นใช้เครื่องอยู่... โอเค... ฉันสูดหายใจยาวๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมา

รู้แระ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจไม่ตรงกัน สินะ... ฉันบอกกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด... ทำไมมันจะเกิดกับฉันบ้างไม่ได้ในเมื่อคนอื่นๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเช่นกัน!

ที่หลังห้องตรวจของพี่ชาย... ฉันเข้าไปนั่งรอเงียบๆ ให้เขาทำงานตามปกติไปเรื่อยๆ จนใกล้เที่ยงหมดคนไข้แล้วจึงลุกมาถามว่าผลเป็นไง? ฉันบอกไม่รู้ หมอจะคุยกับญาติเอง... เขาอุทาน อ้าว! ก่อนจะวิ่งตรงไปที่แผนกรังสี รอเกินครึ่งชั่วโมงจึงเดินกลับลงมาเนือยๆ ยื่นมือลูบหัวแล้วบอกกับฉันเบาๆ ว่าสแกนเจอก้อนในตับ โตกว่า 3 cm 2 ก้อน และมีก้อนเล็กๆ อีกหลายก้อน...

คุณพระช่วย!


ฉันคนนี้... ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ฉันคนนี้... ใช้สองมือช่วยคนมาไม่รู้เท่าไหร่

มาตอนนี้... กลับช่วยตัวเอง... ไม่ได้

ไม่ว่าพระเจ้าจะโหดร้ายหรือเมตตา... ฉัน ยอมแล้ว!

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไม่รักก็ได้ฟระ


วันหนึ่ง... ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอยากเปลี่ยนโลกทั้งใบ
หากแต่ในทันทีที่ลืมตา หน้าที่ต่างๆ ที่เคยทำจนคุ้นชินก็มิอาจละเลยเพิกเฉยมันได้แม้เพียงสักอย่าง... จึ่งสองเท้า สองมือ สองตา กับรอยยิ้มจางจืดของตัวเอง... ค่อยๆ ขยับขับเคลื่อนกายไปตามบัญชาของสมองส่วนกลางราวเครื่องจักรกล... ลงมือหยิบจับนู่นนี้ ทำการงานหลายอย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยเฉกเช่นที่เรียนรู้และฝึกฝนมานานเนิ่น...

'เหนื่อยมั้ย' ถามตัวเองในใจเสมอ... สนใจคำตอบทำไมกัน ก็รู้ๆ อยู่...

'พักก่อนเหอะ' บอกอย่างงี้ทุกครายามที่มีหยาดเหงื่อชื้นอยู่ตามไรผม สงสารนะตัวเอง ใช่ว่าไม่มีใครเห็น อย่างน้อยๆ ก็มีคนหนึ่งที่เฝ้ามองฉันอยู่... ในกระจกเงานั่น!




ครั้นพอได้เวลานั่งพักจริงๆ หลังเสร็จงานในมือ พักทั้งกายและพักทั้งใจ.... ก็ได้ตระหนักรู้ว่าบางอย่างที่สูญหายไปนั้น มันควรต้องเสาะหาให้เจอเสียที...

จริงสิ ต้องหาให้เจอแล้วนำกลับมาให้ได้นะ... รอยยิ้ม!



เอ๋... งั้น... ควรเริ่มที่ตรงไหนก่อนดีล่ะ? เอาเป็นว่า...

♥ ♫ (( ไม่รักก็ได้ฟระ )) ♫ ♥



รัก แค่ความรู้สึกเคยลึกซึ้ง
รัก แค่คำคำหนึ่งซึ่งหล่นหาย
รัก แค่ฉันคนเดียวยากหรือไร
รัก จากใจทำไม่ได้ก็ไม่ง้อ

อยากบอกว่าฉันน่ะทนไหวแต่คงจะไม่ทน คนใจร้ายหนึ่งคนยิ่งทนยิ่งได้ใจ
เมื่อก่อนฉันเห็นแก่ใจเธอ เธอล่ะเคยมองไหม

หากวันนี้ต้องเห็นแก่ตัวเพื่อหัวใจ ไม่ผิดใช่ไหมที่ไม่ทน

เอามันเข้าว่า... ช่างมันอย่างเดวมานานเกินไปแระ ก็แค่ ขำๆ น่ะ ถ้าอ่านๆ ไปแล้วคิดตามซะมากมาย จะปวดหัวไม่รู้นะ... 


ยิ้มสิ ยิ้ม... มามะ ยิ้มด้วยกัน

<< Noolee >>

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เจ็บเพราะรัก พักสักหน่อย



สวัสดีจ้ะ... พักนี้ ฉันไม่ค่อยได้เข้ามาโพสต์ผลงานของตัวเองออกสู่สายตาเพื่อนๆ ที่คอยติดตาม ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งหากว่ามีใครเปิดเข้ามาดูแล้วผิดหวังกับการหยุดนิ่งไปแบบไม่ชี้แจงเหตุผล... ขอโทษจริงๆ จ้ะ


จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ฉันยังคงเขียนเรื่องเล่าของฉันไปเรื่อยๆ ไม่มีเหนื่อยและไม่พัก จนบัดนี้ มีผลงานอยู่ในกรุถึง 535 บทความแน่ะ << บ้าไปแล้ว >> โพสต์ให้อ่านไปแล้ว 247 เรื่อง  และที่ยังดองไว้เฉยๆ อีก 288 เรื่อง << โห... จาเน่าเปื่อยผุพังไหมหนอนี่หนอ >>


มันน่าสะกิดใจอยู่หน่อยหนึ่ง กับเรื่อง 'เมียน้อย' ซึ่งครองสถิติ อันดับต้นอยู่เป็นเวลานานพอควร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ซะหน่อย... เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเรียกดูถึงกับอึ้ง มันเกิดอะไรขึ้น !?!... อาจเป็นไปได้ว่าหลายๆ คน สุ่มค้นหาคำดังกล่าวแล้วคลิกตามเข้ามาเพียงเพื่อจะได้รับกำลังใจสักเล็กน้อยจากคนที่มีประสบการณ์ตรงเรื่องเผชิญพิษรักคล้ายๆ กัน... งั้นมั้ง... หากแต่เนื้อหาที่ฉันเขียนเอาไว้ มันไม่ได้กล่าวถึงแง่มุมของการแปรเปลี่ยนกายใจของคู่รักคู่ครอง จึงไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรพอที่จะช่วยคนหม่นหมองให้คลายทุกข์ใจได้เลยแม้แต่น้อยนิด... โธ่!

สำหรับใครที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน... กดเล๊ยยย!!! << เมียน้อย >>

แถมให้อีกก้อดร้าย... ที่ใกล้เคียง!!! << เมียน้อยๆ >>

อันที่จริงฉันเอง ก็ปุถุชนคนธรรมดาไม่ใช่ข้อยกเว้นดอกหนา เมื่อใดก็เมื่อนั้นทุกข์สุขมาเยี่ยมเยือนโดยมิเตือนล่วงหน้าซำเหมอ เข้าใจดีว่าเวลาที่ต้องรับมือกับความเจ็บปวดของแผลใจที่ไม่มีวันจางเป็นเช่นไร... ด้วยความที่เป็นคนติดบ้าน ไม่ชอบออกเที่ยวแตร่เร่ช้อปเฉกเช่นผู้หญิงส่วนมาก... ฉันจึงอ่านเรื่องราวดีๆ จากอินเตอร์เน็ตอย่างเพลินใจและค้นเจอสิ่งดีๆ นำมาแปะฝากไว้ท้ายนี้... ถือซะว่า ทดแทนให้กับทุกคนที่ผิดหวังกับบทความเรื่องดังกล่าวของฉัน... ไม่ว่าจะยังไง ขอให้อ่านแล้วได้ประโยชน์สูงสุด เกิดดวงตาเห็นธรรมและหลุดพ้นจากวังวนแห่งห้วงทุกข์ที่เราต่างก็ไม่ได้เป็นคนก่อมันขึ้นมา ด้วยกันทั้งสิ้นเทอญ... สาธุ! 


คลิกอ่านที่ลิงก์เลยจ้า  http://noknoi.com/magazine/series.php?id=1527

เพื่อความรู้สึกผ่อนคลายจิตใจและอารมณ์ ลองเปิดเพลงคลอไปด้วยน่าจะดี ถ้าไม่หลับไปซะก่อน


ทุกข์... เกิดขึ้นที่ใจของเรา
ดับลงซะได้... ก็ที่ใจของเราเช่นกัน
จงผ่านมันไปให้ได้
และกลับมาเป็นตัวเราเองที่เข้มแข็งขึ้น
จากบทเรียนทุกข์ที่ผ่านมานั้น
สาธุ!

 
หนู... รักคุณ!

 

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นี่ไงเล่า... คนรวย!



ตอนสายของวันนี้ ได้มีโอกาสไปทำบุญไหว้พระที่วัดบางโคล่นอก เรียกแท้กซี่จากแถวๆ บ้านย่านท่าอิฐ คนขับสารภาพเสียงเหน่อว่าไม่รู้จักเส้นทาง คนจะไปวัดก็รู้แค่ว่าอยู่เขตบางคอแหลม จำต้องถามแท้กซี่คันอื่นๆ ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงที่หมายซึ่งต้องเข้าซอยแคบๆ ไปอีกพอประมาณ... วัดนี้ สะอาดเอี่ยมมากเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆ ที่เคยไปเห็นมา ใครไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์เองเถิด...


ตั้งใจว่าพอได้กราบหลวงปู่พุ่มเสร็จก็จะกลับกันทันที จึงบอกให้แท้กซี่คอยเดี๋ยวหลังจากจ่ายค่าบริการขามาเรียบร้อยแล้ว แท้กซี่ก็ยินดีและถือโอกาสลงไปกราบพระทำบุญด้วยเช่นกัน ก่อนจะพาเราออกมาส่งยังสถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วปฏิเสธค่าโดยสาร... เอ๊ย ได้ไง... ก็เลยทิปใบแดงให้ไปใบหนึ่ง บอกว่าสำหรับเสี่ยงโชคและขอให้รวยๆ นะจ๊ะ นะ ชายหนุ่มผู้รวยน้ำใจ... :)


เสร็จจากทำบุญก็ไปหาเพื่อนที่สยามพารากอน กินอาหารเที่ยงกันตอนบ่ายกว่า คุยจนหนำใจที่นานๆ จะได้เจอหน้ากันสักครั้ง เดินดูและเลือกซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น แอร์เย็นฉ่ำผิดกับภายนอกอาคารที่ร้อนแดดแผดจ้า... ครั้นถึงตอนไปเข้าห้องน้ำ ฉันเจอโทรศัพท์มือถือวางทิ้งไว้บนกล่องกระดาษทิชชู จึงหยิบติดมืออกมาด้วย เป็นมือถือแบบมีฝาปิด มีปลอกสีน้ำเงิน ความที่ตัวเองคุ้นชินกับมือถือรุ่นเก๋า ก็เลยไม่รู้จะดูรายชื่อในเครื่องได้อย่างไร จึงบอกให้พี่ชายพาไปเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์แล้วฝากให้สาว ปชส. คนสวยช่วยดำเนินการต่อ... ได้แต่ภาวนาเอาใจช่วย ขอให้หาจนเจอและย้อนกลับไปรับของคืนได้อย่างไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆ นะจ๊ะ นะ คุณเจ้าของเครื่อง ขอโทษด้วยที่ไม่ได้พยายามช่วยอะไรคุณให้มากกว่านี้ เพราะฉันมันคนโลเทคอะจ้ะ อย่าว่ากันเน้อ... คราวหน้าคราวหลังก็อย่าเผลอลืมวางทิ้งไว้แบบนี้อีกนา คนอื่นที่ไม่ใช่ฉันจะคิดและทำเช่นฉันด้วยหรือเปล่าก็มิรู้วววส์...


ฉัน อาจไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากเป็นคนดีและดีใจที่ได้ทำอะไรดีๆ แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยขอบคุณก็ตาม... และฉัน ไม่ใช่คนมั่งคั่งร่ำรวยทรัพย์สินเงินอง แต่ก็รวยน้ำใจพอตัว ไม่ต้องการเห็นใครบางคนเดือดร้อนจากการสูญเสียของมีค่าของตัวเองเฉกเช่นบางคนใกล้ๆ ตัว...(ขวับๆ ขว้างค้อนเล็กๆ ไป 2 ที)


เมื่อเดือนที่แล้วก่อนจะบินไปหาตัวเล็กไม่กี่วัน... พี่ชายบึ่ง ม.ไซค์ไปตลาดตอนค่ำๆ พอกลับเข้าบ้านวางกุลแจแล้วล้วงกระเป๋าไม่เจออะไรก็ใจหายแว้บรู้สึกตัวว่ามือถือหาย จึงรีบขับรถย้อนออกไปในทันทีแต่ก็ไร้วี่แวว... ขณะที่ฉันลุ้นอยู่บ้านก็พยายามโทรติดต่อไปยังเบอร์ของเครื่องนั้นทั้ง 2 ซิม... เบอร์แรกโทรติดแต่ไม่รับสาย อีกเบอร์หนึ่งให้ฝากข้อความ พอโทรซ้ำก็ไม่สามารถติดต่อได้ทั้งสองหมายเลข จบกัน!... จะโทษใครได้... เจ้าของเครื่องกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าเครียด โยนความผิดให้ฉันผู้ซึ่งซื้อกางเกงไม่รู้จักเลือกไอ้ที่กระเป๋าลึกๆ... อ้าว! คนรวยน้ำใจกลายเป็นแพะซะงั้น อุตส่าห์จัดหากางเกงไว้ให้ใส่ออกกำลังกายตั้งหลายตัว โธ่... ไม่น่าเล้ย ฉัน


จากนี้ไป ให้นุ่งกางเกงตูดขาดรับลมเย็นๆ ตามสบายเลยเหอะ
หากใครได้ยลเป็นบุญตาก็ขอให้มีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะและอายุยืนโดยทั่วหน้ากัน สาธุ!

ทำไมฉันจะต้องไปสนใจด้วยเล่า... ชิ


รู้รักษาหางรอด เป็นยอดหนูหลี... เอิ๊กส์ๆ

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

อะไรของฉัน... แล้วไง?

มีคำพูดประโยคหนึ่งที่คุ้นๆ หู แต่หากฟังแล้วคิดวิเคราะห์ความหมายดีๆ เป็นได้ค้อนขวั่บแน่ นั่นก็คือประโยคที่ว่า..."คุณทำอะไรของคุณ?" หรือไม่ก็ "เธอทำอะไรของเธอ?"... คล้ายๆ จะชวนทะเลาะยังไงไมรู้เนอะ

หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันถูกถามข่าวคราวความเป็นไป จากผู้คนที่เคยรู้จักมักจี่ ทั้งคนที่เคยชื่นชอบและ/หรือ(อาจ)ชิงชัง ว่าไปนั่น... อ้าว ก็มันจริงนี่นา... ยังไงก็ขอขอบคุณนักแล ที่ยังสนอกสนใจฉันอยู่แม้จะจงใจหลุดพ้นจากวงจรไปได้นานแล้ว... เรื่องของฉันมันเกี่ยวอะไรกะพวกเขานัก ไอ้ฉันก็ไม่ได้อยากจะรู้เล้ยยยย...

โธ่! ที่ถามๆ เนี่ย เป็นเพราะอยากรู้จริงหรือว่า "วันๆ ฉันทำอะไร?"


อืมห์... เนาะ... คนอย่างฉันจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ยังไง...ฯลฯ ถ้าได้รับรู้แล้วจะเป็นสุข ๆ มากกว่าเดิมหรือเปล่าน้อ? หรือว่ามันจะเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของใครคนไหนหรือไม่ เพียงใด? ฉันไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ บอกตรงๆ... แล่วกันดิ... อิอิ

ไม่ว่าจะถามด้วยความอิจฉาที่เข้าใจไปเองว่าฉันแสนสบายไม่ต้องดิ้นรนทำงานตัวเป็นเกลียวหัวฟู น่องทู่หูตาเหลือกลาน ซี่โครงบาน (เหมือนเมื่อก่อนหรือเหมือนหลายๆ คนในตอนนี้ อุ๊ปส์!)... ไม่ว่าจะถามด้วยความห่วงใยเกรงว่าฉันจะเฉาเศร้าหดหู่อ้างว้างจนฟุ้งซ่านเพราะขาดเพื่อนซี้... ไม่มีซะหละ... ถ้าใครคิดแบบแรกก็ออกตามมาเลยดิ และถ้าใครคิดแบบหลังก็จงทนอยู่ต่อไปเหอะ... เล่นไม่ยาก... หุหุ


คำตอบของคำถามก็เหมือนเดิมแหละ คือฉันยังมีความเป็นอยู่ปกติดี ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ทุกข์เดือดร้อน พอใจมั้ย? ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่สิ ไม่ท้าพิสูจน์หรอกนะ ขี้เกียจเลี้ยงดูปูเสื่อเพราะฉันเหลือบำนาญแค่พอดีกิน เข้าใจบ้างซี... ครั้นจะยอมให้หิ้วฉันออกไปเลี้ยงก็ดูจะไม่เข้าท่า ฉันไม่ใช่เพื่อนกินนะ ไม่เอาอะ เด๋วอ้วน... ขี้เกียจต้องไปกัดฟันรีดน้ำหนัก ถ้าไม่ลงง่ายๆ ปวดเข่าแย่รุย...

เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แระ... อุตส่าห์หลุดเข้ามาเสพอักษรของฉันได้กะเค้าสักครั้ง เด๋วจะว่าไร้สาระเกิ๊น... อีกหน่อยจะมีใครแวะเข้ามาล่ะ?... อย่ากระนั้นเลย... เก็บเกี่ยวความประทับใจจากเรื่องเล่าดีๆ ไปซักหน่อยก็แล้วกัน ฉันอ่านเจอจากเว็บอื่น มันโดนใจซะจนอดไม่ได้ที่จะจิ๊กมาเล่าต่อในสไตล์ของฉัน... เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า


พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อทำสวนผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบ เขาเป็นเด็กดีมีมารยาท เรียนเก่งจนเป็นที่รักของครู เพื่อนๆ และผู้คนทั่วไป

เย็นวันหนึ่ง พ่อเห็นลูกกลับมาบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธแค้นใครมา จึงคุยกันอย่างเปิดอก

"ลูกรัก วันนี้ดูหน้าตาไม่แฮบปี้นะ เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า" พ่อเริ่มอย่างไม่อ้อมค้อม ฝ่ายลูกชายนั้นเดิมทีไม่อยากกวนใจพ่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเข้าใจดีว่าพ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว แต่เมื่อพ่อเปิดประเด็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องเล่าความจริงทั้งหมด...


"เพื่อนใหม่คนหนึ่งครับพ่อ เป็นลูกคนรวยแต่นิสัยแย่ เมื่อผมสอบได้คะแนนดีและครูชม เขาเลยเกลียดขี้หน้าผม มักพูดถากถางและกลั่นแกล้งอยู่เรื่อย" ระบายให้พ่อฟังอย่างอัดอั้น

"แล้วลูกทำอย่างไร" พ่อถาม

"ผมพยายามไม่สนใจแต่เขาเล่นไม่เลิก สักวันหนึ่งผมคงทนไม่ไหว อาจจะเสยปลายคางสักหมัดเรียกเลือดชั่วกบปากมอมๆ จะได้หายซ่า" กล่าวจบค่อยได้คิดว่าเผลอโหดมีสิทธิ์โดนพ่อโกรธชัวร์... ก็ที่ผ่านมาพ่อพร่ำสอนเสมอว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ให้พาลหาเรื่องใครๆ ... แต่คราวนี้พ่อกลับนิ่ง...

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมอยากให้เขารู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง" ลูกพ่นไฟอีกชุดใหญ่... พ่อมองหน้าลูกแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันเหความสนใจ

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้พ่อมีของขวัญพิเศษจะให้ลูก" ฟังไอเดียแปลกใหม่ของพ่อด้วยสีหน้างงๆ แต่ก็ลิงโลดใจเป็นอันมาก เริ่มนับถอยหลังให้วันเกิดมาถึงเร็วๆ ทีเถิ้ดดด...


เอาเข้าจริงๆ ในวันเกิด พ่อก็มอบของขวัญให้ลูกชายตามสัญญา... เป็นกล่องกระดาษ 2 กล่อง กล่องหนึ่งสีขาวและอีกกล่องหนึ่งสีดำ

"พ่อครับ ให้ของขวัญผมแค่ชิ้นเดียวก็พอ ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองให้สองชื้น" จนแต่เจียมนะเนี่ย

"ลูกรัก พ่อตั้งใจจัดเต็มให้ลูกน่ะ รับไปเถิด" พ่อยืนกราน... ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อพร้อมกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะลงมือแกะของขวัญด้วยใจระทึก กล่องสีขาวถูกแกะเป็นลำดับแรก แต่กลับไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย... เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงถาม พ่อกลับพยักพเยิดให้เปิดกล่องที่เหลือแทนคำตอบ เขาจึงคว้ากล่องสีดำมาแกะด้วยมือสั่นๆ แต่แล้ว ก็พบเพียงความว่างเปล่าอีกเช่นกัน จะมีแปลกก็ตรงที่มีรูขนาดใหญ่ตรงก้นกล่องเท่านั้น... ว้าาา!...

"พ่อครับ ในกล่องทั้งสองไม่มีอะไรเลยนี่ครับ" ลูกชายเอ่ยกับพ่ออย่างผิดหวัง 'พ่อต้องลืมใส่ของลงไปในกล่องสีขาวแน่ๆ หรือไม่อีกที ของนั้นอาจร่วงไปจากรูรั่วก้นกล่องดำแล้วก็เป็นได้'... เด็กน้อยคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ... ในขณะที่พ่อยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกแล้วพูดขึ้นว่า

"พ่อหาของขวัญให้ลูกได้แค่กล่องสองใบนี้ แต่ของขวัญล้ำค่าที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ฉะนั้น นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้จิตใจเป็นสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ อะไรก็ตามที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ โกรธแค้น ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ ทำเช่นนี้เป็นประจำไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจความคิดอ่านและแผนการของพ่อ แต่เด็กน้อยก็ทำตามที่พ่อบอกทุกอย่าง... เขาเขียนบันทึกหย่อนลงในกล่องทั้งสองทุกวัน โดยมีสายตาของพ่อจับจ้องพฤติกรรมอยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก... เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนโครมและรีบร้อนจะออกจากบ้านไปอีกครั้ง หากว่าพ่อไม่รวบตัวเอาไว้เสียก่อน "เกิดอะไรขึ้น ลูกรัก" พ่อกอดเขาไว้แนบอกแล้วถามอย่างอ่อนโยน

"ผมจะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้ เอาให้มันเข็ดจนวันตายที่บังอาจมาดูถูกพ่อว่ายากจนต่ำต้อย แถมยังขโมยหนังสือของผมไปทิ้งถังขยะด้วย" เขากราดเกรี้ยวใส่หูพ่อ... ยามนั้น พ่อมิได้ขุ่นเคืองใจเฉกเช่นลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า

"วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุขและทุกข์ใส่กล่องสองใบนั้นหรือยัง"
"ผมจะไปจัดการไอ้หมอนั่นก่อน ให้รู้กันไปเลยว่าเราจะไม่ยอมให้มันดูถูกเราได้อีก" ลูกประกาศกร้าว
"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเข้ม "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ ฮื่ยส์!... ความที่ไม่เคยดื้อแพ่งมาก่อน จึงพยายามข่มใจระงับอารมณ์โกรธลงชั่วขณะแล้วทำตามที่พ่อต้องการ... หลังจากหย่อนกระดาษสุข-ทุกข์ลงในกล่องขาว-ดำเรียบร้อยแล้ว พ่อจึงบอกให้ลูกยกกล่องสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ไม่คิดเลยว่าจะหนักซะขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง พ่อยิ้มกว้างแล้วบอกให้ลูกไปยกกล่องดำมาวางใกล้กัน

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่าครับ เพราะผมใส่เรื่องไม่ดีของไอ้งี่เง่าคนนั้นเอาไว้เยอะเลย"

แต่ในทันทีที่ยกกล่องสีดำขึ้น เศษกระดาษมากมายก็ร่วงพรูออกมาจากรูรั่วที่ก้นกล่องจนเกลี้ยง ส่งผลให้กล่องดำเบาหวิวในพริบตา... ลูกชายตกใจหันไปมองหน้าพ่อแล้วพูดขึ้นว่า

"ผมลืมไปว่ากล่องดำมีรูรั่วรูใหญ่ เดี๋ยวผมจะปิดรูก่อนแล้วเก็บกระดาษพวกนี้ใส่เข้าไปใหม่นะครับ" พ่อหัวเราะร่าพลางส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่า

"ไม่ต้องหรอกลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ลูกจงหยิบไม้กวาดมากวาดมันทิ้งเสีย นั่นทำให้กล่องแห่งความทุกข์ของลูกว่างเปล่าเท่ากับได้ขจัดความขุ่นข้องหมองใจไปสิ้น ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวดีๆ ให้ลูกได้เบิกบานใจตลอดไป" เด็กชายอึ้งกับบทเรียนนอกหลักสูตรที่พ่อถ่ายทอดให้... บัดนี้เขาเก็ตแล้วในความหมายของกล่องสองใบ! ของขวัญล้ำค่าจากพ่อ... ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนใหม่จางหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้... หัวใจดวงน้อยผ่อนคลายเบาสบาย ไม่บีบรัดอัดแน่นเหมือนเมื่อครู่...

อาห์... เพราะกล่องแห่งความทุกข์มันว่างเปล่าแล้วนั่นเอง!


หวังว่าจะได้สาระไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขกันนะจ๊ะ นะ... ทิ้งๆ ไปเหอะไอ้เจ้าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ... อิ่มเอมแต่กับความสุขความพอใจในวิถีที่เรียบง่ายและพอเพียงเถิด... สาธุ
 

(ขอขอบคุณต้นเรื่องจาก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)



วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

(หัวอก)คนไข้หัว(อก)หมอ



กริ๊งงงง... กริ๊งงงง... กริ๊งงงง... . . .
"งายยย ว่ามาเร็วๆ เลยยย" รับสายด้วยเสียงยานคางบ่งบอกว่าง่วงงุนเต็มแก่
"ER มีเคส arrest ค่ะหมอ"
"ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้" จบคำวางหูโทรศัพท์คืนแป้นโครม มือคว้าเสื้อกาวน์สวมคลุมแบบลวกๆ ก่อนโกยแน่บไปอย่างไม่คิดเบรคก่อนถึงที่หมาย... หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทั้งที่ยังมิได้ซดกาแฟดำอย่างเคย... ดูเอาเถิด นี่อีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว ยังไม่ได้หลับได้นอนเต็มตื่นเกินสิบนาทีเลยสักครั้ง พอหัวถึงหมอนเป็นปลุกตัลหลอดซีน่า ชีวิตมันต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยหรือไง จะมีอะไรหนักหนาสาหัสไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ยะ? อยากจะบ้าาาา... โว้ยยยส์...


ที่ ER (ห้องฉุกเฉิน) หลายคนยืนมุงอยู่หน้าประตูพร้อมใจกันแหวกทางให้หมอผ่านเข้าไป... สภาพที่เห็นตอนนั้นคือคนไข้ชายสูงวัย ตัวอ้วนกลม นอนอืดล้นอยู่บนเปลนอน คลำชีพจรไม่ได้ ไม่หายใจ ตัวเย็น ซีด ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองการกระตุ้นใดๆ... เดาได้ว่าท่านยมคงยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแน่ๆ... เฮ้อ!

 

"เตรียมใส่ใส่ TUBE, monitor EKG, เปิดเส้นโหลด IV ขอเป็น NSS ให้สัก rate 300, อีกคนก็ปั๊มไปเรื่อยๆ นะครับ ส่วนพี่คนนู้นช่วยโทรตามทีมกู้ชีพมาเพิ่มสองคนด่วนที่สุด ให้สลับกันปั้มไม่หยุด พวกเราเอาไม่อยู่หรอก ตัวยังกะยักษ์"
"ค่ะ คุณหมอ" เสียงหวานใสรับคำก่อนจะวิ่งจัดการตามสั่งอย่างเคยคุ้น... อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วตลอดเวลาถูกเข็นมาเสิร์ฟในทันที... หมอจัดการใส่ท่อช่วยหายใจ ดูอะไรๆ ก็ขลุกขลักไปหมด ด้วยว่ามีขนาดมหึมาเกินบรรยาย ไหนจะมีแรงขย่มจากการปั้มหน้าอกอย่างต่อเนื่อง พลอยสะเทือนบึ้บๆ จนอยากจะเหวี่ยงกระจุยกระจาย แต่ก็ต้องอดทนทำจนสำเร็จ... จากนั้น จึงเหลือบตามองจอมอนิเตอร์ ที่สัญญาณคลื่นต่างๆ ไม่กระตุกจากแนวราบสักแอะ...
 "น้ำตาลในเลือด มากกว่า 400 นะคะหมอ" เสียงหวานใสบอกข้อมูลสำคัญให้อย่างรู้ใจ มิต้องให้เอ่ยถาม ยิ่งยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ เมื่อไม่มีคำสั่ง ก็ต้องจัดให้อย่างรู้หน้าที่...
"Adrenaline ทุก 3 แล้วรันไปเรื่อยๆ นะ" สั่งการจบ สาวท้าวไปหากลุ่มญาติที่ออกันอยู่หน้าห้องด้วยท่าทีวิตกทุกข์ร้อน...


"ญาติคนไข้ชื่อคุณลุง x มีไหมครับ" ร้องถามไปพลาง ซับเหงื่อที่หน้าไปพลาง...
"ฉันค่ะ / ผมครับ" เสียงขานรับพร้อมๆ กันหลายคนจนแยกไม่ออกว่าใครพูดก่อนพูดหลัง
"เขาจะรอดมั้ยคุณหมอ?" คนใดคนหนึ่งยิงคำถามที่หมอฟังแล้วแทบร่วงจากท่ายืนในทันที...
"หมอจะช่วยเต็มที่ครับ แต่ตอนนี้ขอถามเรื่องโรคประจำตัวของคนไข้ก่อน"
"เขาเป็นหลายโรค ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ กินยาของหมอที่โรง'บาลในกรุงเทพ ลูกคนโตพาไปหาหมอเป็นประจำ" อืมห์... อีกแล้วซีนะ ที่การเข้าถึงบริการขั้นสูงส่งผลเสียต่อชีวิต...
"โรคหัวใจ อาการแกเป็นยังไงบ้างครับ"
"คุณเป็นหมอหรือเปล่าเนี่ย เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้... พาไปโรง'บาลอื่นเหอะ" ญาติคนหนึ่งเหวี่ยงใส่หมอเต็มเหนี่ยว อึ้งกินกันเป็นแถว... หมอเองต้องรีบนับเลขพ่วงทศนิยม 1.000, 2.000, 3.000, ...

"เส้นตีบค่ะ หมอฉีดสีแล้วก็ใส่ตาข่ายสองเส้น เขาว่างั้นนะ" เสียงอ้อมแอ้มจากป้าคนหนึ่ง ช่วยยับยั้งเหตุลุกลามที่อาจเกิดขึ้นได้ ณ นาทีนั้น...
"ก่อนพามานี่ แกเป็นยังไงบ้าง" หมอซักเพิ่มเติมติดจะห้วนๆ
"ปกติแกจะต้องลุกไปฉี่ตอนราวๆ ตีสองของทุกคืน มาวันนี้ไม่เห็นลุก แต่ได้ยินเสียงครางเบาๆ พอไปเปิดไฟดูก็เห็นนอนงียบๆ เรียกก็ไม่ลุก ปลุกก็ไม่ตื่น เลยร้องเรียกญาติๆ ให้ช่วยกันหามมาส่งเนี่ยแหละ กลัวแกตายในบ้าน" อ้าวเฮ้ย ซะงั้น...
"แกบ่นเหนื่อย หรือเจ็บหน้าอกบ้างไหม?"
"ไม่รู้นะ ไม่ได้เฝ้าดูแลใกล้ชิด ต่างคนก็ต่างมีงานต้องทำไงหมอ" อีกดอกแล้วหรือนี่ เงิบเลย... ฮื่ยส์!
"เอาหละ ตอนนี้ลุงแกอาการหนักมาก หมอใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาเต็มที่ และทีมงานเร่งปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่อง แต่ลุงแกก็ยังไม่มีทีท่าตอบสนองแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะมาถึงหมอช้าเกินไป ผมต้องขอให้ช่วยทำใจเผื่อไว้บ้... "
"เขาจะตายตอนนี้ไม้ได้นะหมอ ยังไงก็ต้องช่วยให้รอดเท่านั้น" เอากะเขาซี แรงไม่เบาเลยคืนนี้
"หมอไม่รับปากนะว่าการช่วยจะสำเร็จหรือเปล่าแต่ก็จะทำเต็มที ขอตัวนะครับ" เมื่อหันหลังเดินจากมา เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นและถ้อยคำคร่ำครวญดังระงมขึ้น ยากที่จะเข้าใจว่าพูดอะไรยังไงกันบ้าง...


"ขอ atropine 2 amp IV" หมอสั่งยาเพิ่ม เมื่อเห็นว่าไร้วี่แววสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจในจอ
"ได้ค่ะ" พยาบาลรับคำก่อนจะรีบไปดำเนินการตามหน้าที่ และในที่สุดก็จัดการตาม advance ACLS จนครบ 30 นาที... ทีมงานล้วนมีสีหน้าท่าทางเครียดจัด... แล้วหมอก็เดินเนือยๆ ไปคุยกับญาติอีกครา...

"ญาติคุณลุง x ขอเชิญทางนี้ครับ" น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ท่าทีเหนื่อยสุดชีวิต สายตาส่งสบไปยังบรรดาญาติคนโน้นทีคนนี้ที่ ซึ่งดูเหมือนกลุ่มจะมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นเท่าตัว
"ว่าไงหมอ พ้นขีดอันตรายหรือยัง?" ญาติรัวรุกในทันทีอย่างมีความหวัง
"เสียใจด้วยครับ..." หมอพูดสั้นๆ ชัดเจน ตรงประเด็น ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยให้เสียเวลา... ผลคือ
บางคนปล่อยโฮ บ้างคนล้มบ้างซวนเซ ก็ช่วยๆ พยุงกันไป... นี่แหละ สัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอไม่ช้าก็เร็ว!
"หมอช่วยยืดเวลาให้อีกหน่อยเหอะ นะครับนะ รอลูกชายคนโตของอีกแกสักหน่อย" หนุ่มใหญ่คนหนึ่งลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนหมอ พลอยทำให้คนอื่นๆ นั่งลงยกมือไหว้เรียงแถวหน้าสลอน... ท่าทีที่เคยแข็งกร้าวกลับไม่มีปรากฎให้เห็น
"ไม่มีประโยชน์หรอกครับ สมองไม่ทำงานแล้ว ทีมกู้ชีพได้ช่วยกันอย่างสุดความสามารถใช้เวลานานเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดเลย คงต้องยอมรับความจริงเสียที" หมอพยายามอธิบาย
"ได้โปรดเถอะคุณหมอ รอก่อน ขอร้องหละช่วยต่อเวลาอีกนิด... นี่ก็ออกจากบ้านได้ 2-3 ชั่วโมงแล้ว เขาสั่งให้รอก่อน ยังไงก็จะมาให้ทันดูใจพ่อ" อ้อนจริง ทั้งคำพูดและแววตาชวนให้สงสารไม่น้อย...
"เอางั้นก็ได้ครับ ว่าแต่ตอนนี้ ลูกแกเดินทางถึงไหนแล้วล่ะ?"
"ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ไม่เกินบ่ายสองโมงถึงแน่" อร๊ากกกกส์! ซวยเลยตรู... เบลอถึงขนาดยอมตกปากรับคำไปแล้วด้วย... ไม่น่าหาเหาโปะหัวเล้ยยย... กรรม!
"งั้น ขอญาติผู้ชายที่ตัวโตๆ มาช่วยหมอสัก 4-5 คน ได้ไหมครับ?" จำเป็นต้องหาทางออกแบบง่ายๆ
"ได้ครับๆ ไปพวกเรา" ว่าแล้วก็พยักเพยิดให้พรรคพวกเดินแถวตามหมอมาราวกับลูกเป็ด
"เดี๋ยวหมอจะให้ทีมงานช่วยสอนปฏิบัติการกู้ชีพ (CPR) ขั้นพื้นฐานให้นะครับ ทำไม่ยากหรอก พอทำเป็นกันแล้ว ทีนี้พวกคุณอยากจะยื้อเวลาไว้นานแค่ไหนก็เชิญผลัดกันช่วยได้ตามสบาย หมอจะอยู่ใกล้ๆ ให้ตามตัวได้ง่ายตลอดเวลา แต่คงต้องนอนงีบเอาแรงในห้องพักเวร เพราะพรุ่งนี้เช้าผมจะต้องลุกมาตรวจคนไข้ตามปกติ หวังว่าคงเห็นใจนะครับ"


"จัดการเลยครับพี่..." หมอส่งซิกให้ทีมงาน "ญาติๆ วอนขอเวลารอลูกจากกรุงเทพฯ อีก 8 ชม.ถึงชัวร์ หมอเลยเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการกู้ชีพด้วย เต็มที่นะครับ ผมต้องขอตัวก่อน ง่วงสุดๆ ยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ" ว่าแล้วหมอก็เดินตรงเข้าห้องพักแพทย์เวรไป... พยาบาลชุดกู้ชีพได้ฟังดังนั้น ก็ต้องเล่นตามน้ำอย่างไม่มีรีรอชักช้า เชิญชวนญาติตัวล่ำๆ ไปใกล้เตียงคนไข้ แล้วถ่ายทอดวิชาการในทันทีด้วยท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง... เมื่อสอนสาธิตเสร็จก็ให้ลงมือปฏิบัติกับของจริงซะเลย โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือปฏิเสธกันละ
 

"เวลาปั๊มแขนต้องตึงค่ะคุณ... กดหน้าอกให้แรงๆ กว่านี้ กดให้ลึกลงไปสองนิ้ว นับจังหวะตาม 1,2,3,4... ไปเรื่อยๆ ไม่มีเหนื่อยไม่มีท้อ... เอ้า ลงมือ!!! นับครบ 300 แล้วเปลี่ยนคนอื่นมาปั้มแทนอย่าให้ขาดช่วง... ส่วนคนบีบแอมบูก็ต้องมีสมาธิด้วยสิคะ" น่าน... โดนเข้าให้มั่งแล้วมั้ยล่ะ... หุหุ

เมื่อเห็นว่าปฏิบัติการได้ผลเป็นที่พอใจ พยาบาลคนหนึ่งจึงหลบไปนั่งใกล้ๆ ลงมือเขียนบันทึกรายงานในแฟ้มประวัติคนไข้ ส่วนคนอื่นๆ ก็เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ไปทำความสะอาดตามหน้าที่...


เวลาผ่านไปช้าๆ ราวครึ่งชั่วโมง หนุ่มๆ ทั้งหลายเหงื่อแตกซิก กล้ามเนื้อแขนขาเกร็งเหมือนตะคริวจับ แผ่นหลังตึงเปรี๊ยะจะหักเสียให้ได้ อดรนทนต่อไม่ไหว ลอบมองสบตากันก่อนจะส่งเสียงร้อง...
"หมอคร้าบ ผมไม่ไหวแล้ว หมดแรง ปวดแขน ปวดหลัง ปวดเอวจะตายอยู่แล้วคร้าบบบ!"
"นี่ๆ อย่าส่งเสียงดังนักสิคุณ ประเดี๋ยวหมอก็ตื่นหรอก สงสารเขาบ้างเถิด ตะกี้เขาลงมือทำอย่างพวกคุณนี่แหละ ไม่มีบ่นอะไรสักแอะ คืนนี้เขาก็เพิ่งได้เอนตัวลงนอนไม่ถึงชั่วโมง... เขาอดหลับอดนอนอย่างนี้ทุกคืนเลย นี่ถ้าเป็นคนอื่นอาจย้ายหนีไปนานแล้วรู้มั้ย... เอาน่า ช่วยๆ กันทำต่อไป จนกว่าญาติคุณจะมาถึงดีกว่า" แปร่วส์! ว่าหมอโหด พยาบาลเหี้ยมกว่าว่ะ... มะมีใครกล้าหือ...

 

ผ่านไปอีกราว 15 นาที... สองหนุ่มนั่งแหมะลงกับพื้นห้องอย่างยอมแพ้ ร้องครวญขอแอมโมเนียปริ้มว่าจะขาดใจ... ส่วนญาติที่เหลือก็ยืนดูเฉย หาได้มีกะใจจะขึ้นปั้มแทนอย่างต่อเนื่องตามที่สอนไม่... ทุกคนเอาแต่ส่ายหน้าให้กันอย่างยอมจำนนและน้อมรับโดยดุษฎีว่าความพยายามกู้ชีพนั้นได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว สมควรยุติการยื้อชีวิตคุณลุงแล้ว... สาธุ

"พอแล้วครับ ไม่ไหวแล้ว ใจจะขาดตายซะให้ได้จริงๆ พวกผมซาบซึ้งแก่ใจดีแล้วครับ ไม่ขอให้รอใครอีกแล้ว... และ ผมจะคุย... ให้คนอื่นๆ เข้าใจเอง... ว่าอะไร... เป็นอะไร... ฝากขอโทษคุณหมอที่อยู่เวรคนนั้นด้วยครับ" ญาติหนุ่มพูดปนหอบยืดยาวให้พยาบาลกู้ชีพฟัง... เป็นอันจบ! แบบไร้ซึ่งปัญหาคาใจ


เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้แล้ว จะมีใครเห็นอกเห็นใจหมอบ้างมั้ยหนอ?

ส่วนใครมีลูกมีหลานวัยเรียน ถ้ายังอยากให้เด็กเรียนหมออยู่อีกก็ตามสบาย... นะจ๊ะ นะ

แต่ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่ง... พวกเขา 'ยิ้มไม่เป็น' หรอก

 
ฉันล่ะเบื่อ!

เบื๊อ - เบื่อ

ชริ!