วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ไม่ต้องบอกฉัน

เช้านี้ วันอาทิตย์... บางคนยังต้องไปทำงานนอกบ้านกันอย่างอุตสาหะ น่าเห็นใจที่ไม่ได้พักผ่อนในวันหยุดอันแสนสุข บรรยากาศสบายๆ หลังฝนฉ่ำน้ำชุ่มตลอดคืน... อย่างฉัน

จะว่าไปแล้ว พอไม่ต้องทำงาน ไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องเร่งรีบ... มันปลอดโปร่งโล่งใจสบายโก๋เป็นอันมากถึงมากที่สุด... ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังต้องทำงานประจำ จะมัวอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงได้ที่ไหนกัน ต่อให้เป็นวันหยุดก็ตามเหอะ เพราะต้องไปจ่ายตลาดเช้า กลับมาทำกับข้าว ทำงานบ้าน เตรียมเสื้อผ้า โน่นนี่นั่น สารพัดอย่างที่ต้องจัดการให้เสร็จสรรพในวันหยุด... วันที่ฉันไม่ได้หยุดพักผ่อนกะใครเขาน่ะสิ... เฮ้อ!!... สงสัยฟ้าคงมีตาเป็นแน่แท้... ที่สุดแล้ว ฉันได้พักเร็วกว่าคนอื่นๆ แระ... 

จากที่เคยโลดแล่นอยู่หน้าเวทีห้องประชุมขนาดใหญ่... ฉันพาตัวเองไปเปิดหูเปิดตา ท่องโลกกว้างเป็นนานเกือบครึ่งปี จากนั้น ก็กลับมาอยู่เงียบๆ ที่บ้าน... ทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติบุคคลอันเป็นที่รักและรักที่สุดเพียงไม่กี่คน... ไม่มีอะไรยุ่งยากเกินความสามารถ ไม่ฝืนใจ ไม่อึดอัด... ฉันมองทุกอย่างในด้านบวก อยู่แล้ว... แม้ว่าโลกของฉันมันเปลี่ยนไปซะมากมาย... 



แม้นมีเพื่อนก็เหมือนใจยังไร้เพื่อน
เพราะไม่เหมือนคนดีที่มาดหมาย
เพื่อนที่มีแม้ว่าจะมากมาย
แต่หัวใจยังเหงาอยู่เท่าเดิม

ฉันเคยอ่านตำราด้านจิตวิทยาเล่มหนึ่ง มีรายงานว่า... ผู้คน 55% สื่อสารถึงกันโดยไม่ใช้คำพูด... ภาพที่ฉันประทับใจและเลือกมาถ่ายทอดความรู้สึก ภาพนี้ แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว... คงไม่ต้องบอกอะไรให้มากความอีก ว่าความรู้สึกของฉันตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง...

หลายคน อาจเคยใช้ภาษากายไปในทางไม่เหมาะสม เป็นต้นว่า การชี้หน้า แลบลิ้นปลิ้นตา ท้าวสะเอว กระทืบเท้า ฯลฯ  ขณะที่หลายคนใช้ภาษากายไม่สอดคล้องกับความรู้สึกที่แท้จริง โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ...  เช่น... เมื่อใครคนหนึ่งพูดกับอีกคนว่า "ผมชอบคุณ" ขณะที่พูดประโยคนั้น เขาหลบสายตา เสมองไปที่พื้นหรือมองไปทางอื่น... เช่นนี้ ผู้ฟัง อาจจะตีความหมายได้หลายอย่าง เป็นต้นว่าเขาเขิน เขาโกหก เขากลัวว่าจะได้ยินการตอบปฏิเสธ เขา... เขา... เขามันไม่ได้เรื่องอ่ะ ว่ามั้ย?


สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจะสารภาพทั้งบาปและรัก
ขอให้รับรู้ไว้เถิดว่า ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจ้ะ
และอย่ามัวแต่จดๆ จ้องๆ แอบๆ เก็บงำความในใจกันอยู่เลย
เวลา กะ วารี... ไม่เคยคอยใคร... รวมทั้งคุณ ... เชื่อฉัน!!!


เพลง "สายลมที่หวังดี" 
ศิลปิน: ทราย อินทิรา เจริญปุระ... อัลบั้ม: D Sine


เอร๊ยๆ.... แล้ว... ไม่ต้องบอกรัยฉ้าน... ขอร้อง



วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ฟ้าประทาน

เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก... บ้านฉันอยู่ชนบท ห่างไกล กันดาร...
วันหนึ่ง... ผู้หญิงข้างบ้านเจ็บท้องจะคลอดลูก เธอร้องเสียงดังลั่น... ถ้อยคำที่พร่างพรูจากปากยามเจ็บปวด ดังได้ยินไปถึงไหนๆ ... มีเสียงแม่เฒ่าคอยตวาดให้เงียบเป็นระยะ ๆ... ฉันตระหนกอกสั่น คิดว่ามีคนทะเลาะกันรุนแรง... เปล่าเลย แม่กะพ่อ ค่อยๆ คุยให้ฟัง จึงถึงบางอ้อ (บางอย่าง)... หลังจากนั้น ฉันคิดได้ว่า หากฉันสามารถช่วยคนที่กำลังเจ็บป่วยได้ มันคงจะเป็นการดีไม่น้อย... แต่ฉันไม่อยากเป็นหมอตำแยนะ... เพราะ... เพราะอะไรดีล่ะ?... คงเพราะฉันไม่เคี้ยวหมาก กระมัง... เง้อ... เกี่ยวรัยเนี่ยะ...

วันที่จบ ม.ปลาย เพื่อนคะยั้นคะยอให้ไปสมัครสอบเรียนต่อด้วยกัน  ไปดิ ไม่ใชเรื่องเสียหายนี่นา... ว่าแล้วก็ยกโขยงไปกันทั้งห้อง... บังเอิญฉันสอบติด ได้ทุนเรียนด้วย... ดีใจมาก... บอกตัวเองว่าต้องอดทน ตั้งใจเรียน ไม่นานหรอกน่า ยอมอดหลับอดนอนอ่านๆ จดๆๆๆ จำๆๆๆๆ... ภาษาอังกฤษเพียบ  เฮ้อ! ขึ้นปีสอง... เริ่มฝึกภาคปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงๆ... ตึกแรกที่ขึ้นฝึกงานคือออร์โธฯ ชาย... คนไข้เฮี้ยบสุดๆ  แต่ละคนจ้องซะตาแทบไม่กระพริบ... เล่นเอาเหงื่อตกแฮะ... คนไข้รายแรกในความรับผิดชอบของฉันมีตรวนเส้นโตติดข้อเท้าด้วย ข้อหาอะไรก็ไม่ใช่ธุระของฉันดอก... ขาของเขาหักสองท่อน ถูกตรึงไว้กับเหล็กดามโยงลูกรอกที่ราวเหนือเตียงอีกที หนีไปไหนไม่รอดแน่... ฉันต้องช่วยเหลือเขาบนเตียงเกือบทุกอย่าง ทั้งเช็ดตัว สระผม ตัดเล็บ ทำแผล ฉีดยา วัดปรอท วัดความดันโลหิตและจับชีพจร.... เขาทำอีท่าไหนไม่รู้ พอคุณครูมาจับชีพจรซ้ำอีกครั้ง ได้น้อยกว่าฉันตั้งเยอะ... ฉันโดนหยิกหมับในทันที... อ่ะ จร๊ากส์! การถูกลงโทษต่อหน้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่ไม่ได้ผิดอะไร... ทำเอาฉันอายแทบแทรกแผ่นดิน... ยามนั้น ไม่มีใครช่วยปกป้องได้... พระเจ้า... แบบนี้ ไม่ยุติธรรมสำหรับฉันเลย... ใครก็ได้ ช่วยด้วย.... แง้ๆ....


อืมห์... เวลาที่ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ กำลังใจถดถอย... มักกล่าวโทษพระเจ้าแบบนี้เสมอ... 
ที่สุดแล้ว ท่านคงจะรำคาญเป็นอันมาก... จึงส่งพระเอกขี่ม้าเขียวๆ มา... ฮ่าๆๆ... เอิ๊กๆ


คิดเรื่องเก่าๆ แล้วทำให้ยิ้มได้... อิอิ... มาฟังเพลงนี้กันดีกว่า... ฟังเล้ย ย ย ย... 


เพลง จากนี้ไปจนนิรันดร์  ศิลปิน: เอ๊ะ จิรากร สมพิทักษ์
อัลบั้ม: ใจกลางความรู้สึกดีดี

แค่ได้มองตาเธอในวันนั้น จากที่เราเจอกันแค่ครั้งเดียว 
เปลี่ยนชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวให้มีความหมาย 
ไม่ว่าฉันและเธอ ต่างคน ต่างมา ต่างกันเท่าไหร่ 
คำว่ารักจะผูกใจเราไว้ ไม่ให้ไกลกัน

จากที่เคยเย็นชาก็หวั่นไหว จากเป็นคนอื่นไกลก็คุ้นเคย 
สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจเลย เธอบอกกันให้รู้ 
เปลี่ยนชีวิตฉันไป อยากอยู่นานๆ เพื่อจะเฝ้าดู 
วันพรุ่งนี้รักเราจะเป็นอย่างไร....

ฉันไม่เคยรัก ไม่เคยรู้ ว่าชีวิตมันดีเช่นไร 
เมื่อได้มีบางคนข้างกาย เมื่อได้มีเธออยู่ข้างๆ กัน 
ฉันมอบชีวิต ต่อจากนี้ไปจนนิรันดร์ 
ทั้งหัวใจคือเธอเท่านั้น รักของเรา... จะอยู่จนวันตาย 

จะเป็นคนดูแลเมื่อเธอล้ม จะเป็นลมโอบเธอเมื่อร้อนใจ 
กี่ปัญหามากมายเพียงใด เรามีกันไม่แพ้ 
ต่อไปนี้สัญญา จะเกิดอะไรกับเธอแล้วแต่ 
คนๆ นี้ไม่มีวันจะหายไป 

*ฉันไม่เคยรักไม่เคยรู้ ว่าชีวิตมันดีเช่นไร 
เมื่อได้มีบางคนข้างกาย เมื่อได้มีเธออยู่ข้างๆ กัน 
ฉันมอบชีวิต ต่อจากนี้ไปจนนิรันดร์ 
ทั้งหัวใจคือเธอเท่านั้น รักของเรา... จะอยู่จนวันตาย *... 
(*___*)


งัยบ้าง.... เคลิ้มเลยล่ะเซ่... กิ้วๆๆๆๆ.... 
ฉันขอให้คุณๆ มีความสุข กันอย่างถ้วนหน้า... เช่นกัน... นะจ๊ะ นะ



วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

บุญบันดาล... สาธุ

วันนี้ เป็นวันอาทิตย์... และตรงกับวันพระ พอดี
อันที่จริง... วันว่างๆ ฉันชอบฟังธรรมบรรยาย... หาฟังได้จากคลิปในยูทูปมากมาย...
กำลังเปิดฟังเพลินๆ เขียนหนังสือไปด้วยอย่างตั้งใจ...
คุณย่ามาชวนไปวัด ทำบุญกัน... ที่วัดใหญ่สว่างอารมณ์... จ้ะ
ที่จริง เคยไปมาแล้ว... หลายครั้งแล้วด้วย... แต่ก็เนาะ... จะขัดใจได้อย่างไร... 
ฉันจำต้องรีบวางมือจากทุกอย่างตรงหน้า... แต่งตัวให้เหมาะสม... ไปกันเล้ย ย ย ย... 


พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก มีเจตนาทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
บ้างก็เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแห่งพิธีกรรมทางศาสนา ที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ...
หากจะถามว่า การทำบุญที่ถูกต้อง จะต้องทำกันอย่างไร? และทำบุญแล้วได้อะไร?
ฉันว่า... ผู้เป็นเจ้าของคำถาม มีสิทธิ "โดน"... ฮ่าๆๆ
ฉะนั้น... วันนี้... ฉันขอเขียนเรื่องบุญสักหน่อย... แค่พอหอมๆ ชื่นใจ... อิอิ

“บุญกริยาวัตถุ”  แปลว่า วิธีการทำบุญ เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าเป็นบุญและจะได้รับผลเป็นความสุข
สรุปย่อๆ มี ๓ ประการ ได้แก่ ทานมัย คือการให้ทาน, ศีลมัย คือการรักษาศีล และ ภาวนามัย คือการอบรมจิตใจ 

ให้ฉันเล่าแบบภาษาชาวบ้านเหอะ คงทำให้เข้าใจได้ดีกว่า... แบบฉบับของฉันเลยแระกัน นะ
"บุญ" เกิดขึ้นได้จากการกระทำ ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล และ ภาวนา... 

การทำทานนั้น  พี่น้องชาวไทยได้ทำสืบทอดกันมาตามประเพณี ที่คุ้นหูคุ้นตาที่สุดคือ "การตักบาตร" เชื่อกันว่าได้บุญยิ่งนัก... ต่อให้แยกแยะไม่ออกว่าเป็น "พระอริยสงฆ์" หรือ "อลัชชี" ก็ยังคงตักบาตรด้วยการน้อมกายน้อมใจตลอดมา... จะมีใครรู้บ้างว่า  เวลาบิณฑบาต พระคุณเจ้าจะต้องเดินตามลำดับ ไม่ยืนรออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งประจำ...  เพราะขัดต่อหลักพระวินัย... พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เวลาให้ทานต้องเลือกให้แก่บุคคลที่ควรให้ มันถึงจะได้บุญ... 

“การทำบุญ" ขึ้นอยู่กับจิตศรัทธาของใครของมันก็จริง แต่คงต้องมีสติใตร่ตรองถึงความควรไม่ควรด้วย... หากหลงยึดถือว่าต้องทำบุญตามคำชี้ชวน ทำมากได้มาก... คงเกิดปัญหาตามมาแน่ๆ... เค้าเรียกว่า "บุญกัด"... สาธุ...

การรักษาศีล ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป... หากมีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรมบ้าง จักซึมซับข้อควรปฏิบัติที่เรียกว่า "ศีลห้า" มาเป็นเครื่องเตือนใจให้ครองตนเป็นคนดีได้โดยอัตโนมัติ... 

ส่วนการภาวนา ฉันไม่ขอเอ่ยถึงจะดีกว่า... มันไม่ง่ายพอจะอ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้งแทงทะลุได้... เอาเป็นว่า ฉันขออธิษฐานจิต ให้คุณๆ ได้รับจัดสรรโอกาสอันเป็นมงคล เพื่อไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานด้วยตัวเองเถิด... สาธุ... สาธุ


หลายคน... เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคอันใหญ่หลวง แทบว่าจะขอจบสิ้นชีวิตไปเลย... หากแม้นบุญบันดาล นำพาให้ได้พบเจอกัลยาณมิตรผู้ผ่านการฝึกอบรมจิตใจตามวิถีแห่งวิปัสสนากรรมฐาน... ว่ากันว่า ความเมตตาที่แผ่ป้องมากระทบผัสสะของผู้จมอยู่ในห้วงทุกข์ มันฉ่ำเย็นอย่างอธิบายไม่ถูกเลยทีเดียว... และแล้ว... หลายเสียง ก็เล่าลือต่อๆ กันมาว่า... การปฏิบัติธรรม เป็นทางเดียวที่ช่วยให้พ้นทุกข์... อืมห์... ฉันเองก็สัมผัสมากับเค้าเหมือนกัน... โล่งเลย... ฮ่าๆๆ

ส่วนใครที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องทุกข์ทน ทนทุกข์... อาจไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกข์มาเยือนเสียก่อน จึงค่อยคิดจะเรียนรู้วิปัสสนากรรมฐานดอก... เริ่มได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศล... ไม่เชื่อ ก็ลองพิจารณาจากเรื่องราวของแม่ชีน้อยๆ นี้เองเถิด...

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : 

เพี้ยง !!!.... ขอกุศลผลบุญทั้งหลายทั้งปวงของฉัน
ดลบันดาลให้คุณๆ ทั้งหลาย ดื่มด่ำกับรสพระธรรม... ด้วยเทอญ...


วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ความสุขเล็กๆ ของฉัน

ในความคิดเห็นจากสมองเฉิ่มๆ ของฉัน...
ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง... ที่ยอมปลดระวางจากงานประจำ มาอยู่ว่างๆ ที่บ้าน
เพียงเพราะเหตุผลที่มิอาจอธิบายเป็นคำพูดให้กะจ่างแจ้งทุกอย่างได้
หลายคนออกอาการชัดเจนว่าเป็นห่วงฉันอย่างมากมาย...
พวกเค้ากลัวฉันจะเหงา เศร้าซึม... บ้างก็กลัวว่าจะคิดฟุ้งซ่าน...
อืมห์... ขอบคุณแระกันจ้ะ... เพื่อนๆ และผู้หวังดีทุกคน
ฉัน... ไม่เป็นไรจริงๆ... จ้ะ
ฉันจะไม่เป็นไรเสมอ... จำไว้นะ


ทุกเมื่อ ที่ฉันว่างๆ... จะรู้สึกได้ทันทีว่าสรรพสิ่งรายรอบตัวทั้งหลาย...
ล้วนแต่หยิบยื่นความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่า "ความสุข" ให้กับฉันเสมอ 
ทุกเวลา ทุกนาที... เลยก็ว่าได้


อาจมีบ้างที่บรรยากาศคล้ายจะเงียบงัน... จนเกินไป
ซึ่งทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงา... คงเป็นเพราะขาดความคึกคัก ครึกครื้นที่เคยคุ้น 
และฉันก็พยายามมองให้เห็นว่า... ยังมีความสุขเล็กๆ ที่งดงามอยู่ทุกหนแห่ง... 


ดูสิ... รอบๆ ตัวของฉัน... อย่าได้คิดมองข้าม ช่ะ
ฉันเก็บเกี่ยว ซึมซับ ให้ประทับรอยจาลึกไว้ในใจเสมอๆ
ถ้าทำได้... จะร่ายคาถา เสกให้สรรพสิ่งที่สวยงาม หมุนวนรายรอบตัวฉันเรื่อยไป
ราวกับกลไกของจักรวาล… ซ้อนจักรวาล... เง้อ....


ฉันไม่คิดว่า... ความสุขของฉันอยู่ที่คนอื่น... หรือต้องมาจากคนอื่น
มันอยู่ที่ความคิดของฉัน และมาจากความคิดของฉัน ต่ะหาก... จริงๆ นะ

หาความสุขของคุณให้เจอเหอะ... 
อย่างที่ฉันได้เจอะเจอมาแระ... นะจ๊ะ นะ....


เพลง "เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ"
ขับร้องโดย... น้องวันใส
ในคอนเสิร์ต "คุณพระช่วยสำแดงสด" 

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำไม... เพราะอะไร?

ฉันแต่งงานมาแล้วเกือบ 30 ปี โดยได้คบหาดูใจกันอยู่ปีกว่าๆ ก่อนแต่ง...
นับว่าฉันได้รู้จักคุ้นเคยชายคนหนึ่ง คนนี้ มากกว่าใครๆ... นานเกินครึ่งชีวิตเลยทีเดียวเชียว…


เรารู้จักกันในที่ทำงาน... พอเรียนจบปุ๊บ เขาก็รีบเดินทางไปรายงานตัว เข้าที่พักและทำความรู้จักคุ้นเคยกับบุคคล สถานที่และภาระงาน ก่อนกำหนดเป็นเดือน... ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขา พากันไปพักผ่อนคลายเครียด... และฉัน อยู่ที่นั่น...

ค่ำวันหนึ่ง... เขาขี่จักรยานผ่านไปแถวๆ หลังหอพักของฉัน แล้วคงได้ยินเสียงกีตาร์… เขาหยุด และมองหาที่มาของเสียง เพื่อนๆ ของฉันที่พากันยืนชมตะวันอยู่ริมระเบียงเห็นเข้า ก็ร้องบอกไปว่า มีคนนั่งเล่นกีตาร์อยู่บนหลังคาโน่น... เขาแหงนคอมองตามมือชี้ คงเห็นเพียงผมยาวที่ปลิวตามแรงลมเท่านั้น...


วันแรกของการเริ่มงาน... ทุกคนมาเช้ากว่าปกติ... รายล้อมอาจารย์... ฟังและจดๆ เร็วเท่าที่สามารถ... พวกเราทำงานกับชีวิต ความรู้สึกและสายตาทุกคู่เฝ้าจับจ้อง... ต่างก็ระวังตัวกันทุกย่างก้าว... ให้เกียรติผู้ป่วยเสมอ... ต้องอธิบายให้เป็นที่เข้าใจก่อนทุกครั้ง... อาจารย์ช่างย้ำนักย้ำหนาทุกทีไป... เช้านั้น ฉันเจอแจ็คพ็อต ได้รับมอบหน้าที่ให้เจาะเลือดก่อนใคร... ต้องกล้าๆ ไว้... ทั้งที่ใจเต้นรัวราวกลองเพล... เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ก็ถือไปที่เตียง พยายามพูดให้คนไข้เข้าใจ แต่กลับถูกซักไซ้ไร่เรียงเสียจนแทบหมดปัญญาตอบ... พอดี “เขา” เดินเข้ามา ช่วยอธิบายสั้นๆ ได้ใจความ ปัญหายุติลงได้โดยไว... ขอบคุณจังเลยแหละ... แว่บแรกที่เห็นเขา ฉันรู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน... แต่คิดไม่ออก... ส่วนเขา... บอกฉันภายหลังว่าตอนเจอกันวันนั้น เขาเห็นว่าฉันช่างไม่เป็นประสา... หนอยๆ...

วัน-เวลาผ่านไปเรื่อยๆ... ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่หาได้ทักทายพูดคุยไม่... ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองง่วนไป... วันแล้ววันเล่า... ฉันมีบทบาทเป็นหัวหน้าทีม... ปกติผู้นำมักจะได้รับมอบหมายภาระงานที่ไม่หนักมาก เพราะจะต้องบริหารทีมงานและช่วยเหลือลูกทีมทุกอย่าง แต่ช่วงนั้น... มันไม่ได้ปกติเลย... งานของฉันหนักกว่าใคร... ไม่มีใครช่วยได้... เหนื่อยสุดๆ... แต่ละวัน ฉันแทบหมดแรงเดินกลับหอ!

ครั้นพอถึงวันหยุด... เพื่อนๆ ต่างพากันออกไปดูหนัง ไปเดินห้าง ซื้อของกินของใช้... แต่ฉันแบกกีตาร์ไปเรียน... โรงเรียนดนตรีอยู่ข้างๆ ห้างสรรพสินค้านั่นเอง... พอเรียนเสร็จก็กลับเข้าหอเลย... มุ่งมั่นซ้อมเองบนหลังคาเช่นเคย... หารู้ไม่ว่า... มีเขามองอยู่... ชีวิตวัยเรียน... ฉันไม่มีเพื่อนชายเป็นพิเศษเหมือนเพื่อนๆ ไม่มีจดหมายหวานแหวว... ไม่มีชายหนุ่มมาขอพบที่โดมห้องรับแขก... ไม่มีแม้กระทั่งญาติมาเยี่ยม... นอกจากการอ่านตำราเรียนและนิยายแล้ว ฉันก็มีเพียงกีตาร์คู่ใจเท่านั้น... เพื่อนๆ หลายคนมีแฟนแล้ว... บางคนคบหาพร้อมๆ กันหลายราย แต่ก็ไม่ได้ปักใจรักจริงจัง... อ่ะ อ้าว... เพื่อนบางคนเคยอกหักมาแล้วหลายครั้ง... บางคนเข็ดขยาดกับความรักก็มี... ฉันได้แต่สังเกตความรู้สึกรักของเพื่อนๆ แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เสียใจกับความรักอย่างพวกเค้า... ฉันจะรักด้วยสมอง ไม่ใช่รักด้วยหัวใจ... จดบันทึกไว้ด้วยเลย... กันลืม... ฮ่าๆๆ...

 

สามีของฉันเป็นผู้ชายที่สุขุม เขาเป็นคนเก่ง คิดและวางแผนได้แยบยลก่อนลงมือทำเสมอ จึงมักประสบความสำเร็จในแทบทุกเรื่อง... ผิดกับฉันที่ออกจะกันเอง ซุ่มซ่ามหน่อยๆ แถมชอบลืมโน่นนี่ประจำ ที่แย่ที่สุด คือ ฉันขี้กลัวไปหมด... จึงเหมาะที่จะหลบอยู่ข้างๆ ค่อนไปด้านหลังของเขา ตลอดมาและตลอดไป อิอิ... ก็เคยสงสัยอยู่ครามครันว่าเขาแต่งงานกับฉันทำไม? ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน ฉันโดนรบเร้าถามอยู่นั่นแหละ "เมื่อไหร่จะแต่งงานสักที" ซ้ำๆ ซากๆ พ่อกะแม่ ก็พลอยไปกะเค้าด้วย... "เมื่อไหร่จะแต่ง เห็นเดินตามกันมาเป็นปี"... เอาละซิ ใครกำหนดหรา? ว่าห้ามเป็นแฟนกันนานเกินปี... "เรียนจบแล้ว น่าจะแต่งได้แล้ว"... อ่ะแน่ะ มีฝ่ายเร่งรัดด้วย มัยต้องรีบแต่งงานนัก... ตามประเพณีนิยมงั้นหรือ... เอาเถอะ ในที่สุด ฉัน ไม่สิ เราก็แต่งงานกันอย่างเรียบง่าย ถูกต้องตามประเพณีทุกประการ... ไม่ใช่งานพิธีการใหญ่โตเหมือนคู่พระ-นางในหนังซักนิด... ฉันเก็บความสงสัยที่ว่า "เขาแต่งงานกับฉันทำไม" ไว้ในใจตัวเองเงียบๆ ไม่กล้ากระโตกกระตาก...

อืมห์... ก็เคยมีบ้าง (นับครั้งถ้วน) ที่เขาพูดหวานๆ กับฉัน และเคยมอบสิ่งของมีค่าให้ฉัน... แต่ส่วนมากถึงมากที่สุดแล้ว เขามักเงียบงัน... จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงแต่งงานกับฉันเพราะเราทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะเจาะเป็นแน่แท้... หรือเพราะเขาต้องการลืมคนอื่น... ไม่ก็คงขี้เกียจรอคนที่ดีกว่าฉัน... หรือเพราะ เพราะ… ไม่รู้ซี คร้านจะเดาแระ... ในสมองของฉันไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าเพราะเขารักฉันหรอก... ทำไมน่ะหรา?  ผู้หญิงเราน่ะ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าเขารักเรามากแค่ไหน แต่หากเขาไม่พูดเองจากปาก ก็อย่าได้คิดเข้าข้างตัวเองช่ะ... มีใครคิดอย่างฉันบ้างไหมหนอ? ...


คืนหนึ่ง... เราดูทีวีด้วยกันจนดึก มีดารามาร่วมรายการ เธอเป็นนางเอกฝาแฝดที่ผ่านมรสุมชีวิตคู่มาได้อย่างยากเย็น... กว่าจะเข้าใจกัน ให้อภัยกันและกลับมาครองรักกันอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม... ดูแล้วซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึม... คืนนั้น เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ฉันถามเขาว่า… "ถ้าหากเลือกได้ ว่าระหว่างเราใครจะตายก่อน พี่จะเลือกอย่างไร?" เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนถามฉันว่า "แล้วน้องคิดยังไง" ฉันตอบไปว่า "น้องขอตายก่อนเหอะ คงทนเห็นพี่ถูกฌาปณกิจไม่ไหวหล่ะ" เขานิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วพูดว่า "พี่ก็คิดว่าน้องควรตายก่อน"... เง้อ! ดูสิ ฟังเขาพูดเข้าปะไร... น้ำตาฉันเอ่อด้วยความน้อยใจ... นี่เขารักฉันน้อยเดียวเท่านั้นเองหรือ... อนิจจา... แต่แล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า "พี่มั่นใจว่าพี่สามารถตามหาน้องจนเจอได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พี่จะหาทางตามน้องให้พบจนได้... แล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีก" พูดจบ เขาก็ยกแขนขึ้นโอบกระชับไหล่ ออกแรงโน้มให้อิงแอบเขา สีหน้ามีรอยยิ้มและสายตาอบอุ่นที่มองมา... ฉันปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น... "อ้าว ร้องไห้ทำไม"


 ฉันไม่ตอบ… 
แต่ฉันได้คำตอบที่คาใจมานานแล้วว่า... เขาแต่งงานกับฉันทำไม?
^_______^




วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

เรารู้จักกันดีหรือยัง... ตัวเอง

เมื่อครั้งยังเด็ก... ฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันออกบ่อย ว่าให้ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา... ตอนนั้น ไม่ได้เข้าใจความหมายของประโยคหรอก แต่ก็ให้นึกสนุกพอที่จะไปตักน้ำในตุ่มมาชะโงกดูเงาตัวเองเล่นๆ... เห็นหน้าตัวเองไหวระริกในระลอกคลื่นเล็กๆ... ก็อมยิ้มได้ มันดูงดงามอย่างประหลาด เพราะบูดๆ เบี้ยวๆ ไปมา... ด้วยมือน้อยๆ รับน้ำหนักของน้ำในขันใบโตๆ ไม่ค่อยจะไหว... ฮ่าๆๆ...



วันนี้... ว่างพอที่จะหลับตา นึกย้อนอดีต... ถ้าลองชะโงกดูเงาในน้ำเช่นเดิม... จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง... กี่มากน้อย... โอย... ไม่อยากจะคิดเลย... ฉันว่า คงไม่เหลือเค้าเดิมแระ... เอ้อระเหยเดินเลยไปยืนหน้ากระจก... สำรวจเงาตัวเองแบบจะๆ... อืมห์... มันหายไปไหนหมดนะ... ความสวยของฉัน... ยังดีหน่อย ที่รูปร่างไม่กว้างขวางกว่าเดิมสักเท่าไหร่... เอ... นี่เราหลอกตัวเองหรือเปล่าหนอ? ๕๕๕+...

สองวันก่อน... ไปจ่ายตลาด... มีคนรู้จักส่งเสียงทักหลายคน... บ้างก็ว่าอ้วนขึ้นหน่อย... คล้ำไปนะ... ผอมลงนิด... หน้าตาสดใสขึ้น... นึกว่าลูกสาว... เง้อ... ดูสิแต่ละคน สายตาที่พวกเขามองดูฉันแล้วสะท้อนภาพออกมาเป็นคำทักทาย ไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกันเลย... ถ้าฉันเออออไปตามคำพูดเหล่านั้น คงต้องหาหมอเพื่อขอยาแก้ปวดหัวแน่ๆ ...

พูดถึงเรื่องภาพสะท้อน... ทำให้ฉันคิดถึงภาพๆ หนึ่ง... ขึ้นมา

 

ภาพนี้... เคยมีคนนำมาให้ดู แล้วถามฉันว่า 
เห็นเป็นรูปอะไร และคิดอย่างไร หรือรู้สึกอะไรต่อภาพนี้บ้าง?
ตอนนั้น ฉันคิดๆ สักประเดี๋ยว แล้วตอบไปว่า... 
น่าจะเป็นภาพเสือหิว ที่กำลังก้มเลียน้ำ
เค้าถามอีกว่า... คิดอะไร หรือ รู้สึกอย่างไรจากการดูภาพนี้?
เออนะ... ก็มันเป็นแค่ภาพ... ฉันไม่รู้สึกกลัวสักนิดนี่นา เลยตอบไปว่า...
ฉันรู้สึกดีใจที่มันเป็นภาพ เพราะถ้าเป็นเสือตัวจริง... ฉันกลัวจะวิ่งหนีมันไม่ทัน
คำตอบของฉัน ทำให้เขาหัวเราะเสียงดัง... 
เขาบอกฉันว่า ที่จริงแล้วภาพนี้ เป็นเพียงแมวธรรมดาๆ เท่านั้น
แถมยัง เปรียบเปรยฉันเป็นเสมือนกวางระวังไพร อีกแน่ะ
จริงสิ... ฉันก็คิดไปซะไกล ตามประสาคนขี้กลัว ใช่อย่างที่เขาว่าเลย...
ไม่รู้ ทำไมภาพในใจฉันมันถึงดูน่ากลัวกว่าความจริงไปได้...
ฉันมองโลกแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าหนอนี่หนอ... ???

ถ้างั้น... ต้องวกกลับไปทำสมาธิ... ปลงซะใหม่ ซินะ... อืมห์...
สาธุ... กายเคลื่อนไหว ใจตั้งมั่น... สาธุ
กำหนดจิตรับรู้... ลมหายใจ ความคิดอ่าน ความรู้สึก
ใช่ว่าจะตามมันได้ทันซะทุกครั้ง... ใจนี่ ช่างว่อกแว่ก เสียจริงๆ...
เสียงเม็ดฝนหล่นจากชายคาดังเปาะแปะ ตลอดเวลา
สายลมเย็นพัดเอื่อยมากระทบผิวกาย... ขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที... เง้อ...
รีบบอกตัวเองว่า รู้หนอ ลมพัดหนอ เย็นหนอ... ซ้ำๆ ทุกครั้งที่ลมวูบๆ ผิว
ปล่อยให้จิตเป็นฝ่ายที่คอยเฝ้าดู… ความรู้สึกทางกาย... นั่ง... นิ่ง...
ไม่นาน ความรู้สึกหนึบเหน็บที่ปลายเท้าเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย
ซ่านซ่าไปเรื่อย... จนเกือบครึ่งขา... เผลอกัดฟันเบาๆ...
อยากให้หยุดชาแค่นั้น... เหมือนจะทนไม่ไหว... แล้ว
ท่องในใจ... เหน็บหนอ ๆ ๆ... จะทนไม่ไหวแล้วหนอ... ทนอีกนิดหนอ ๆ ๆ...
วูบนึง ขำตัวเอง...  ฝืนไปทำไม ไม่มีใครบังคับซักหน่อยนี่นา
แต่พอคิดจะขยับขา เท่านั้น... เอ๊ะ... แปลกใจจริง
ความปวดเมื่อย เหน็บชาที่ขา มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน... ไม่รู้ตัวเลยแฮะ
ดีจัง... เกิดความรู้สึกแช่มชื่นขึ้นในจิตใจ…คิดไปในแง่กุศล
ฉันได้รู้จักร่างกายและจิตใจของตัวเองมากกว่าเดิม... อีกนิด

ที่แท้... เขาต่างก็มีเกิด-ดับ ของเขาเช่นกัน...

สาธุ... สาธุ



วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

อยู่เดี่ยวเปลี่ยวดายสบายโก๋?

"ถ้าบุคคลไม่มีมิตรสหายเสมอหรือดีกว่าตน... พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด... ฉะนั้น"
ฉันอ่านเจอคำสอนสมัยโบราณ เปรียบเปรยไว้เช่นนั้น 
คงเป็นเพราะคุ้นเคยกับแรดอินเดียที่มีนอเดียว 
และมันสามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าตามลำพังได้

การที่ใครสักคนยังคงรักษาสถานภาพโสดเรื่อยมา จะด้วยความพอใจ-เต็มใจ หรือไม่ ก็ตามเถิด...
ชีวิตที่ไร้คู่ ไม่ได้แปลว่ามีปัญหาใดๆ... หากเจ้าตัวเขามีความรู้-ความสามารถ เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพได้ เป็นที่พึ่งแห่งตนได้อย่างสบายๆ... ไม่น่าจะต้องมีใครเป็นทุกข์เดือดร้อนไปกับเขาด้วย... ทุกคนสามารถรักตัวเองได้ ใส่ใจดูแลตัวเองได้ มีความสุขตามวิถีของตัวเอง มีอิสระเสรีภาพอย่างเปี่ยมล้น...  ทั้งยังมีเวลามากพอที่จะไปไหนมาไหนตามอำเภอใจปรารถนา... จะไปปฏิบัติธรรม ไปทำธุระ พบปะเพื่อนฝูง หรือไปสร้างคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมที่ไหน เมื่อไหร่ กับใคร... ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง กังวลกับภาระหน้าที่ต่อครอบครัว... อืมห์... ใช่เลย...

สัปดาห์ก่อน... ฉันจำเป็นต้องปฏิเสธที่จะไปงานศพพี่ชายของเพื่อนคนหนึ่ง...
พร้อมเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ และฝากเพื่อนอีกคนให้ช่วยจัดการเรื่องหรีดตามธรรมเนียม...
เพื่อนคนนี้บ้านอยู่ไกลมากทีเดียว ห่างจากบ้านเกิดฉันราวหกสิบกิโลเห็นจะได้ การเดินทางต้องใช้รถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์ หากไม่มีก็จะไปมาลำบาก... ถ้าฉันไปร่วมงานครั้งนี้... แน่นอนว่าคงต้องขอตัวกลับก่อน... และคงต้องขอรบกวนให้เพื่อนสักคนช่วยออกมาส่งอยู่ดี ด้วยไม่คุ้นเคยกับการนอนค้างคืนบ้านใครอื่น... ฉันบอกเพื่อนว่าต้องอยู่ดูแลคุณย่าที่ชรามากแล้ว ไม่สะดวกที่จะทิ้งให้ท่านอยู่ตามลำพัง... เหตุผลของฉัน อาจฟังไม่ขึ้นสำหรับเพื่อนที่ยังไม่มีครอบครัวอย่างฉัน... พวกเค้าบอกฉันว่า ทำไมต้องเอาตัวเองไปผูกไว้กับคนบางคนอย่างไม่เข้าท่าอย่างนี้... ทำไมต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านราวกับฝีเรือนฝีเย้า ทำนู๋นนี่นั่นเพื่อเขา... ราวกับทาส... เจร๊ย!!!... ป้าดโธะ เพื่อน...
นี่... เห็นฉันทำชีวิตหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ... หือม์?


จำได้ชัดเจนว่า เมื่อสองปีก่อน ตอนไปงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน... 
พวกแกทั้งหลาย ยังบอกอิจฉาฉันอยู่แหม่บๆ... นี่หว่า... ฮ่าๆๆ... เอิ๊กๆ

ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูล  :  dhammavariety.com

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ตาย... มันง่ายหรือยากเนี่ย?

หน้าฝนอย่างนี้... ต้นไม้ใบหญ้า งอกงามเขียวขจีขึ้นมาเร็วนัก... 
ไม่ใช่แต่เฉพาะพืชผักที่เราปลูกเท่านั้น... พวกวัชพืชต่างๆ ก็โตเร็ว เช่นกัน
ใครที่ชอบปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้า ไม้ดอก ไม้ใบ ผักสวนครัว ผลไม้ หรือไร่นา... ต้องหมั่นดูแลต้นไม้เหล่านั้นให้ถี่กว่าเดิม... ฉันเอง เป็นคนหนึ่งที่รักต้นไม้ แม้ว่าจะกลัวหนอน กลัวไส้เดือน เป็นที่สุดก็ตาม... วันนี้ เจอยุงลายตัวโตมาก... ก็เลยได้โอกาสเล่าเรื่องสำคัญ...

หลายปีก่อน... พี่ปิ่น พยาบาลอาวุโสผู้ใจดี สนิทสนมกับหมอเบ้ง อายุรแพทย์สาวหล่อคนหนึ่ง... ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ราวกับแม่-ลูกทั้งที่ไม่ใช่... พี่ปิ่นมีครอบครัวแสนอบอุ่น มีลูกโทน ซึ่งหล่อขั้นเทพและเพิ่งจบสถาปัตย์ เช่นเดียวกับคุณพ่อ... ชายหนุ่มสมัครงานไว้หลายแห่ง... รอเริ่มงาน ก็เลยไปเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตแบบสำรวจเชิงอนุรักษ์ มีเพื่อนๆ ไปกันหลายคน... ราวหนึ่งสัปดาห์กลับมาถึงบ้านด้วยสภาพอิดโรย ตัวร้อนจี๋ นอนซมอยู่ตามลำพังครึ่งวัน กว่าพ่อแม่จะกลับถึงบ้านในตอนค่ำ... พี่ปิ่นรีบเช็ดตัวลดไข้แล้วให้ทานยาพาราสองเม็ด คิดว่าแค่ไข้หวัดธรรมดา น่าจะรับมือไหว... รุ่งเช้าเป็นวันเสาร์... พี่ปิ่นต้องไปขึ้นเวรเช้า (8-16 น.)  ลูกชายก็ยังไข้สูง ตัวแดง เรียกไม่ยอมลืมตา... เธอแซวว่าลูกชายอ้อนแม่ราวกับเด็กๆ... จากนั้น ก็เตรียมยาและอ่างน้ำไว้ให้คุณพ่อช่วยจัดการแทน... ครั้นพอสิบโมง สามีโทรศัพท์มาบอกว่าลูกไม่รู้สึกตัว... ก็รีบนำรถพยาบาลบึ่งมารับตัวลูกไปโรงพยาบาลในทันที... หมอซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกระบบอย่างรีบด่วน... ไม่นานก็วินิจฉัยได้ว่าเป็นโรค "ไข้เลือดออก"... ทีมงานวิ่งกันพล่านเพื่อช่วยเหลือหลายอย่างตามที่หมอสั่งการทุกสิบห้านาที... แต่อาการคนไข้กลับแย่ลงอย่างรวดเร็ว... และแล้ว ชายหนุ่มก็จากไปอย่างสงบเมื่อเวลาตีสาม... ท่ามกลางความเศร้าโศกของทุกคน... รวมถึงแพทย์เจ้าของไข้... หมอเบ้ง!... พี่ปิ่นเองแม้ว่าจะเข้าใจดีเรื่องโรค อาการและการรักษา... แต่ด้วยความเป็นแม่ เธอปฏิเสธการสูญเสียและกล่าวโทษต่อความไม่มีประสิทธิภาพของหมอ... เรื่องราวลุกลามไปถึงขั้นฟ้องศาล... ยืดเยื้อนานหลายปีไม่มีฝ่ายไหนยอมรับการเกลี้ยกล่อมทั้งสิ้น... อนิจจา...

 

จากนั้นเป็นต้นมา... เมื่อใดที่มีคนโทรมาปรึกษาฉัน เรื่องไข้เลือดออกทีไร... อดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้... ฉันไม่อยากให้ใครต้องสูญเสียเช่นนั้น... ที่จริงแล้ว ทุกคนต้องตระหนักในการป้องกันโรคมากกว่ารับมือเมื่อป่วยไข้และไปกล่าวโทษว่าหมอไม่เก่ง ไม่ใส่ใจ... ทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันกำจัดยุงให้สูญพันธุ์ไปจากโลกด้วยซ้ำ... งานนี้ ฉันไม่กลัวบาปหรอก... จริงๆ นะ

 

ดูสิ... นี่แหละ คือ สาเหตุของโรคไข้เลือดออกจ้ะ... "ยุงลาย"
หากมีคนในบ้านเป็นไข้สูงลอย ข้ามวันข้ามคืน ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วน
เพื่อการวินิจฉัยโรคอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการตรวจเลือด ในวันที่ 2-3 ของอาการไข้ 
หากเป็นไข้เลือดออกจริง ก็น่าเป็นห่วงมาก เพราะอาจช็อคจนเสียชีวิตได้ง่ายๆ 
แม้ว่าทีมแพทย์-พยาบาล จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม

ช่วงหน้าฝนอย่างนี้... มักมีน้ำขังนิ่งอยู่ตามแอ่งหรือภาชนะต่างๆ ซึ่งยุงชอบวางไข่ 
จากนั้นอีกไม่นาน... ผู้คนก็อาจเริ่มทะยอยป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก... 
ฉันไม่อยากให้ใครสักคนต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยง... แบบนั้น 
วันนี้... จึงอธิษฐาน ขอให้มีคนอ่านเรื่องนี้กันเยอะๆ
และเกิดสำนึกในการป้องกันควบคุมโรคด้วยตัวเอง ทุกๆ ครอบครัว... สาธุ

 

ที่จริง หน่วยงานภารรัฐเขามีมาตรการควบคุมโรคไข้เลือดออกที่ชัดเจน คือ เมื่อพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาพ่นหมอกควัน (ใช้น้ำยา Cypermetrin ผสมน้ำมันดีเซล) เพื่อกำจัดยุงตัวแก่ ในพื้นที่รัศมี 100 เมตร รอบๆ บ้านของผู้ป่วย ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับรายงานการระบาดของโรค แล้วกลับมาพ่นซ้ำอีกครั้งหลังจากนั้น 7 วัน... พวกเขาดำเนินการอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว... หากเป็นมาตรการที่ได้ผลดีจริง สถิติการระบาดของโรคน่าจะหมดไปแล้ว... แต่ทำไมยังมียุง มีการระบาดของโรคอยู่อีก?... อย่ามัวสงสัยกันอยู่เลย... หามีประโยชน์อันใดไม่... แล้วก็ไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่มาช่วยกำจัดยุงหรอก... เพราะเขาเหนื่อยกันมามากแล้ว การพ่นหมอกควันอย่างนั้นมันทั้งหนัก เหม็น เวียนหัว ฯลฯ หากเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่ต้องทำหน้าที่พ่นหมอกควันเช่นนั้นบ้าง... ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้สักกี่ครั้งหรือทนทำได้กี่วัน... อย่ากระนั้นเลย ฉันว่าแต่ละครัวเรือนน่าจะคิดหาวิธีกำจัดยุงด้วยตัวเองแล้วทำบ่อยๆ ทุกๆ วันจะดีกว่า... ถ้ายังคิดไม่ออก ฉันจะบอกให้... นะ

๑. ใช้ไม้ช็อตไฟฟ้า... มีข้อเสีย คือ ไม่สะดวกนำไปใช้ในห้องน้ำ... 

๒. ฉีดสารเคมีกำจัดยุงและแมลง ที่มีขายทั่วไป... มีข้อเสีย คือ เหม็นและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

๓. ใช้น้ำยาล้างจาน แชมพูหรือสบู่เหลว อย่างใดอย่างหนึ่ง ในอัตรา ๑ ส่วน ผสมน้ำเปล่า ๔ ส่วน แกว่งเบาๆ พอเข้ากัน เทใส่กระบอกฉีดน้ำ แล้วนำไปฉีดพ่นฝอยละอองให้โดนยุงที่บินๆ หรือ เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ทั้งนอกบ้าน ในบ้าน ราวผ้า ชายผ้าม่าน ผนังห้องน้ำ หรือในภาชนะที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง... ได้ผลชะงัดนัก ทันทีที่ฝอยละอองโดนปีกหรือตัวยุง... รับรองตายแหงแก๋ ไม่มีหนีรอดไปได้สักตัวเดียว... อย่าว่าแต่ยุงเลย แมลงหวี่ที่ชอบตอมผลไม้หรือตอมน้องหมาก็ได้ผลเช่นกัน... ข้อสำคัญต้องพ่นไปที่เป้าหมาย จะโดนเฉี่ยวๆ หรือโดนจังๆ ก็ได้ผล... ไม่ต้องพ่นเป็นบริเวณกว้างให้สูญเปล่า ยิ่งพ่นบ่อยๆ ทุกวี่วันได้ยิ่งดี... ยุงตัวแก่จะได้หมดโอกาสไปวางไข่ที่ไหนๆ อีก... แค่นี้ ก็ตัดตอนวงจรชีวิตยุงได้อย่างไม่ยากเย็นเลย... ลองทำดูสิ !

 

กระบอกฉีดน้ำ อย่างดี ราคา 30-35 บาท
กับน้ำยาล้างจาน แชมพู หรือสบู่เหลว ที่มีใช้ตามบ้านอยู่แล้ว
มันยากเกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองตรงไหนหนอ?
ทำไมยังปล่อยให้ยุงขยายพันธุ์ได้เรื่อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่อีก
หรือว่าอยากจะลองป่วยดูก่อน... เพื่อทดสอบว่าหมอไทยมีฝีมือแน่แค่ไหน งั้นรึ?... ชิ


วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

คำอธิษฐาน

หากเรามีความหวังกับอะไรสักอย่าง
แรกทีเดียว คงแน่ใจไม่ได้หรอกว่าจะสมหวังหรือเปล่า?
อาจเป็นแค่... ความคาดหวังแบบ ลมๆ แล้งๆ ก็ได้...
แน่นอนว่า ผู้ที่มีความหวังเกือบทุกคน... น่าจะเคยทำแบบนี้... 


"อธิษฐาน"
ขอพรต่อพระเจ้า เทพยดา ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์... ฯลฯ
สาธุ... ข้าแต่... ขอให้............ ด้วยเทอญ... สาธุ!
แม้ว่า... มันอาจไม่ใช่หนทางที่จะช่วยให้สมหวังได้ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม

หากจะถามว่า คนเราอธิษฐานขออะไรกันบ้าง?... 
ฉัน... ไม่รู้ซีนะ อาจจะขอให้สมหวังในความรัก 
ขอให้ร่ำรวย... ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง หายจากเจ็บป่วย 
ขอให้หน้าตาดูดี หุ่นดี ในสายตาคนอื่น หรือขอให้ได้เจอคนดีๆ 
ขอให้ทำการงานได้สำเร็จ ลุล่วง ไร้ปัญหาอุปสรรค
ขอให้สามารถเอาชนะศัตรูคู่แค้น...  
ขอให้มีอนาคตที่ดี ฯลฯ


แต่... สำหรับฉันแล้ว... ฉันขออธิษฐานให้คนอื่นดีกว่าจ้ะ

แม้ว่าฉันมิใช่... นางฟ้า
แต่มีใจปราถนาให้เธอฝัน
เว้าวอนอ้อนดาวและดวงจันทร์
ขอของขวัญล้ำค่า... ให้เธอ
ให้รู้ว่าห่วงใยเป็นที่ยิ่ง
มีรักจากใจจริงให้เสมอ
จะวันนี้วันไหน ใจละเมอ
รักแต่เธอเท่านั้น... นิรันดร 


นี่คือ... ดอก "แดนดิเลี่ยน (Dandelion)" 
สัญญลักษณ์ของการอธิษฐานขอพรพระเจ้า... 
เป็นดอกไม้แห่งความสุข ความร่าเริงสดใสรับรุ่งอรุณและความหวัง เกสรดอกแดนดิเลี่ยนที่ปลิวบนท้องฟ้ายามเช้าถือเป็นภาพที่สดใสที่สุดภาพหนึ่ง... ที่มีตำนานเล่าขานมานานว่า... 
ครั้งหนึ่ง ได้มีเทวดาตัวน้อยออกตามหาว่าดอกไม้ชนิดใดน่าจะเป็นดอกไม้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด... กุหลาบ ลิลลี ทานตะวัน... ฯลฯ เทวดาตัวน้อยพูดคุยกับดอกไม้แต่ละดอกที่ตัวเองพบเจอไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่พบดอกไม้ที่มีความสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งวันหนึ่ง เทวดาตัวน้อยได้มามาพบกับเจ้าดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่งที่ริมทาง จึงถามไปว่า เจ้าชื่ออะไรและปรารถนาที่อยู่ที่แห่งหนใดบนโลกใบนี้... ดอกไม้ดอกเล็กๆ ตอบเทวดาว่า เราชื่อ "แดนดิเลี่ยน” เราปราถนาที่จะอยู่ที่ใดก็ได้ ขอเพียง ณ ที่นั้น มีเด็กๆ ที่สดใส แม้จะเป็นข้างถนนเราก็มีความสุขได้ เราอยากให้พวกเขามีความสุขและปราถนาที่จะให้พวกเด็กๆ หยิบเราและนำไปมอบให้แม่หรือใครก็ได้ที่เขารู้สึกดี... เมื่อเทวดาตัวน้อยได้ยินดอกแดนดิเลี่ยนพูดเช่นนั้น ก็ได้ให้พรแก่ดอกแดนดิเลี่ยน... ตามที่ดอกไม้เล็กๆ ปรารถนา... ให้ปลิวกระจายไปทั่วโลก เป็นดอกไม้แห่งความสุขของเด็กๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


เมื่อใดก็ตาม... ที่เห็นละอองดอกไม้ปลิว... 
จงคิดไว้เสมอ.... ว่า... 
นั่น... ฉันกำลังอธิษฐาน
ขอให้ทุกคนมีความสุข
นะจ๊ะ นะ


วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ช่วยด้วย... ช่วยหนูด้วย

วันนี้... ฉันได้ฉุกคิด... เออหนอ...


ในโลกแห่งความเป็นจริง สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง... เสมอ
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป... ทั้งนั้น!!!
"ความรัก" ของทุกคู่รัก... ก็เช่นกัน
วันหนึ่ง... รักกัน มากมาย...
จนไม่อาจทนต่อการไม่ได้เห็นหน้าแม้เพียงเซี้ยวนาที
แต่แล้ววันหนึ่ง... รักกัน น้อยลง...
จนไม่อยากเห็นหน้ากันเลย... แม้เศษเซี้ยวของวินาที
น่าเจ็บปวดหัวใจมิใช่น้อยสำหรับ... ผู้ที่ถูก... สลัดรัก


เนื้อเพลง: ครึ่งหนึ่งของชีวิต
อัลบั้ม: May Love Remain
แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร

เมื่อความรักมันพังลง เราเหมือนคนไม่เต็มคน 
เหมือนครึ่งหนึ่งชีวิตนี้หล่นหาย 
แบ่งชีวิตให้เขาแล้ว เขาก็พามันจากไป 
ไม่มีทางจะทำใจได้เลย 

ไม่เคยหันมองดูตัว มัวเสียดายวันเวลา 
ฝันว่าอาจจะคืนมาเหมือนเคย 
เพิ่งจะรู้ว่ารักแท้ มันไม่ไกลไม่ห่างเลย 
แค่เพียงกลับมาสนใจตัวเอง 

ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราทำหายไป 
ต่อให้นอนเสียดายไปจนตายมันก็เท่านั้น 
เหลืออีกครึ่งชีวิต ที่มันยังต้องการ 
ความรักตัวเองกลับมา ชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้ 

นั่งดูแขนมองดูมือ ดูหน้าตามองตัวเอง 
จ้องกระจกดูสักครั้งนั่นใคร 
เก็บชีวิตที่เหลือๆ ทำให้ดีจะได้ไหม 
แล้วไม่นานจิตใจจะเต็มเหมือนเดิม 

ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราทำหายไป 
ต่อให้นอนเสียดายไปจนตายมันก็เท่านั้น 
เหลืออีกครึ่งชีวิต ที่มันยังต้องการ 
ความรักตัวเองกลับมา ชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้ 

นั่งดูแขนมองดูมือ ดูหน้าตามองตัวเอง 
จ้องกระจกดูสักครั้งนั่นใคร 
เก็บชีวิตที่เหลือๆ ทำให้ดีจะได้ไหม 
แล้วไม่นานจิตใจจะเต็มเหมือนเดิม 

เก็บชีวิตที่เหลือๆ ทำให้ดีจะได้ไหม
 แล้วไม่นานจิตใจจะเต็มเหมือนเดิม


ฟังเพลงนี้แล้ว... นึกเปรียบเทียบกับตัวเอง...
ถ้าหาก... ชีวิตฉัน... เหลือเพียงอีกครึ่งหนึ่ง เท่านั้น 
ฉันจะทำยังไง?... ต้องทำไง?


ยามนี้... ฉันไม่อาจปฏิเสธความจริงบางอย่างได้
 บางครั้ง เหมือนฉันจะรู้ตัวดีว่าทำอะไรลงไป
 เหมือนว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้และเจ็บปวดได้
 แต่บ่อยครั้ง ที่ต้องตกอยู่ในสภาวะหม่นหมอง 
ร้องไห้... และ... โหยหา




เมื่อไหร่หนอ... จะหลุดพ้นซะที... ความทุกข์


วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เพรียกหากันจริ๊ง... ความรัก

เคยบ้างไหม? สักครั้งหนึ่ง... 
ที่จู่ๆ... ก็มีใครบางคน... ผ่านเข้ามาใกล้ๆ ชีวิต...


ทำให้รู้สึกเตะตา สะดุดใจ... จนต้องแอบถามตัวเองอยู่ตลอด...
คนนี้ใช่ไหม?... คนนี้สินะ... ใช่เค้า หรือเปล่า?


แล้ว... อะไรล่ะ ที่พอจะใช้เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจวัด?
ว่าเค้าหรือเธอคนนั้น... ใช่ หรือ มิใช่... คนที่ฟ้ากำหนด
นั่นหล่ะ ที่ใครๆ ก็อยากจะรู้เสียนัก


ความจริง... มีหลายคนที่ปล่อยหัวใจให้ร่ำร้องโหยหาคนอื่น อยู่บ่อยๆ
จนตัวเองต้องจมอยู่กับความเจ็บปวด ร้าวราน เป็นนานสองนาน
สุขภาพกาย สุขภาพจิต พลอยเสื่อมเศร้า เหงา เหม่อ
ขาดความสดใส ร่าเริง อย่างที่ควรจะเป็น
สำรวจตัวเองดูบ้างเถิด... เป็นอย่างนั้น หรือเปล่า?



ความจริง (อีกนั่นแหละ) ผู้คนในยุคสมัยนี้... กำลังขาดแคลนความรักเป็นที่สุด
ทั้งชายและหญิงจำนวนมาก ต่างก็โหยหาซึ่งรักแท้... กันอยู่เสมอ
เฝ้ารอคอยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน... อย่างไม่รู้จุดหมาย
และ ต่างฝ่าย ต่างก็... ไม่รู้ ว่า... รอใครอยู่
หรือ จะต้องรอไปอีก... นานแค่ไหน?...
รู้แค่ว่า ที่เจอๆ มาแล้วนั่น... ไม่ใช่!... ยังไม่ใช่ซะที!
หรือที่เจอ ทำท่าว่าจะใช่... ก็ยังไม่ยอมปักใจเชื่อ... ซะงั้น
บ้างก็เอาแต่คร่ำครวญ... ตามเนื้อเพลง... ที่ว่า
โปรดส่งใครมารักฉันที... มีสักคนไหมที่รักกันจริง...
เขา / เธอ คนนั้นอยู่ที่ไหนน้อ?


ในเมืองหลวง หรือเมืองใหญ่ๆ ที่มีผู้คนมากมาย
แม้ว่าจะเดินสวนทางกันอย่างเนืองแน่น... ก็ใช่จะได้หยุดทักทาย
เกือบทุกคนมีแต่เร่งรีบ ร้อนรน กระฉับกระเฉง...
แต่ลึกๆ แล้ว ในใจกลับมีแต่ความรู้สึกเหงา - อ้างว้าง...
เหมือนว่า ชีวิตนี้ ขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่งที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก
บางคน แอบฝัน... วาดวิมานในอากาศ
หวังว่า คงมีสักวัน ที่ฟ้าเบื้องบนคงจะส่งเนื้อคู่ตุนาหงันมาให้
แน่นอนว่าเขาหรือเธอ ผู้นั้น ต้องสุดหล่อ หรือ สุดสวย ยิ่งนัก...
เพ้อๆๆ... ฝันๆๆ... ได้แต่รำพันกับตัวเอง...
ตาลอย... ใจลอย...
เคยมั้ย?... คิคิ


ครั้งหนึ่ง... ฉัน... ก็เป็นแบบที่ว่ามาทั้งหลายนั้น...เช่นกัน
ณ วันนี้... ถ้าถามฉันว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ จะเป็นเช่นเดิมหรือไม่?
อืมห์... แน่นอน... แม้จะรู้แก่ใจดีว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์(ปนสุข) ก็เหอะ
สำหรับฉัน การมีความรักและมีคนรัก มันไม่ยากเลย
แต่การประคับประคองความรักให้มั่นคงยืนยงนี่สิ... ท้าทายยิ่งนัก
การบอกรักก็ง่ายนิดเดียว... แต่จะให้คนฟังเป็นปลื้มเมื่อได้ยินเราบอกนั้นยาก เช่นกัน
สุดท้ายแล้ว... ฉันต้องหัดเรียนรู้วิธีคิดเสียใหม่... ตั้งหลายอย่าง
เพื่อให้รู้สึกทุกข์น้อยๆ หน่อย... จะได้รู้สึกสุข มาทดแทน...
นอกจากนี้... ฉันไม่พยายามพิสูจน์ความรักแท้...
แค่เพียงหยิบยื่นความรักและน้ำใจ... ให้คนรักอย่างเต็มใจ... ก็พอ
ที่เหลือ... ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาส และ การเกื้อกูลกัน...
ตราบจนชีวิตจะหาไม่ หรือ จนกว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง... จะมาถึง