วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

พี่สาวครับ @_@



ในที่สุด ชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นเจ้าของเสียงเพลงซึ้งๆ ที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองคนนั้น ก็ได้เปิดใจชี้แจงกับสื่อมวลชนแล้วว่าเขามีความสุขดีกีบวิถีชีวิตในรูปแบบที่ตัวเองเลือก คือ 'ชายรักชาย'... ชัดเจนไปเลย ไม่ต้องให้ผู้คนคอยกังขาหรือซุบซิบนินทาอีกต่อไป... อืมห์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดทุกคนที่เกี่ยวข้องเอ๋ย อย่าได้ร้องไห้ฟูมฟายเสียดายมาดแมนของเขาอยู่เลย... ปล่อยให้เขามีเสรีภาพการเพศทางเลือกอันขาวสะอาดเช่นนั้นเถิด... อาเมน!


ส่วนคุณ "คมสันต์" ชายหนุ่มเชื้อสายจีนหน้าตาหล่อเหลา ผู้เป็นบุตรชายคนเล็กของครอบครัว เขามีพี่สาวสามคนที่ล้วนแต่ครองความโสด... ครอบครัวนี้หัวดี เรียนเก่งกันทุกคน แม้ว่าป๊ากับม้าจะเป็นคนรุ่นเก่าที่ไม่ได้เล่าเรียนก็ตามที ป๊าของเขาหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจับเสือมือเปล่าในแผ่นดินสยามด้วยธุรกิจซื้อขายเล็กๆ น้อยๆ ประสบความสำเร็จเรื่อยมาจนถึงขั้นขยับฐานะเป็นเจ้าสัวใหญ่... บรรดาพี่ๆ ต่างช่วยกันบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวอย่างลงตัว ในขณะที่คมสันต์ หันไปเอาดีในอาชีพรับราชการเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ตามประสงค์ของผู้เป็นบิดา...

วันหนึ่ง มารดาเจ้าเนื้อไม่สบายมาก ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ให้นอนพักรักษาตัวซะหลายวัน... โทษฐานมีอันจะกินนัก จึ่งได้โรคเรื้อรังติดตัวมาหลายอย่าง ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมัน และเส้นเลือดในสมองตีบ... อาการที่ยังแก้ไขไม่เรียบร้อยคือแขนขาอ่อนแรงไปครึ่งซีก... จำเป็นต้องมีใครสักคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด จึ่งเลือก "แก้วตา" พยาบาลสาวหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งมาเป็นพี่เลี้ยงประจำตัว... แรกทีเดียวทุกคนต่างก็เอ็นดูเธอยิ่งนัก เห็นตรงกันว่าเธอช่างปรนนิบัติเอาใจเก่ง พูดจาก็ดี กิริยามารยาทอ่อนหวานน่ารัก ไม่นานนักตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ก็ลอยมาตรงหน้า... เธอกังวลใจกับความไม่เท่าเทียมหลายๆ อย่าง แต่ในที่สุดแล้ว ก็มิอาจทัดทานใครๆ ได้ โดยเฉพาะใจของตัวเอง...


ผ่านไปเร็วเหมือนโกหก สามปีเต็มที่มุ่งมั่นอยู่กับภาระงานบริการทั้งต่อสมาชิกครอบครัวและหน่วยงาน... นั่นทำให้แก้วตาไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร เธอมิเคยเอ่ยปากบ่นถึงความยากลำบาก ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด... แต่ก็มิวายมีเรื่องขึ้นจนได้... สุดท้ายก็จำต้องถอนตัวถอนใจที่เจ็บช้ำออกไปจากตระกูลดัง... เพียงเพราะไม่สามารถปั๊มทายาทสืบสกุลได้สำเร็จอย่างที่ทุกคนคาดหวัง... น่าอนาถใจแทนเสียจริงๆ...


"คมสัตน์" ผู้โอนอ่อนตามคำบงการของผู้ใหญ่เสมอมา เขาสามารถตัดใจลืมแก้วตาลงได้อย่างง่ายดาย  แล้วเข้าวิวาห์รอบสองอย่างรวดเร็วกับ "กุลญา" สาวสวยรวยเสน่ห์ ทายาทสาวคนเดียวของเจ้าสัวร้านทอง... เขาพยายามฟิตแอนด์เฟิร์ม หวังให้อาม้าได้อุ้มเจ้าตัวเล็กสมใจไวๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววซักที... ฝ่ายสาวเจ้า "กุลญา" รู้สึกไม่ปลื้มกับครอบครัวขนาดใหญ่เอามากๆ เธอต้องการความเป็นส่วนตัวแบบสองต่อสอง... ไม่สนใจงานบ้านงานเรือน และไม่มีแม้น้ำใจจะไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของใครทั้งสิ้น... งานนี้ ทำเอาป๊ากับม้าทุบอกตัวเองผางๆ... อยากย้อนวันเวลาไปคว้าตัวสะใภ้คนเดิมกลับมาซะให้ได้... โดยเฉพาะพี่สาวทั้งสามที่คอยพร่ำบอกแต่ความไม่ดีไม่เหมาะสมของแก้วตามาก่อนหน้า... ถึงตอนนี้ ต่างก็รู้สึกชิงชังกุลญาสาวสวยรวยเริดเชิดโก้โอหังอย่างมากมายเหลือที่จะกล่าว... บรรยากาศในบ้านคุกรุ่นสะสมนานวัน คมสันต์ฟังเสียงสวดของพี่สาวจนขี้หูสะเทือนแล้วสะเทือนอีก... เค้าอึดอัดคับข้องใจเป็นที่สุด คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว... อร๊ากส์!!


ในที่สุด เขาก็เอ่ยปากพูดอะไรออกมาบ้าง... 
"อาจต้องพากันไปเปลี่ยนเลนส์แก้วตาหรือไม่ก็ส่องกระจกเยอะๆ หน่อยนะครับ พี่สาวครับ" 
อูยส์!! ไม่เบาเลยนะ... น้องชาย...


"ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"  นี่เป็นบางส่วนในธรรมบรรยายของหลวงปู่ชา สุภัทโท  ท่านให้ข้อคิดไว้อย่างโดนใจจริงๆ... แน่นอนที่สุด ผู้คนมักเฝ้าดู/จ้องจับแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น  คิดแต่จะแก้ไขคนอื่นอยู่ตลอดเวลา... น้อยคนนักที่จักรู้สึกตัว มองย้อนเข้าไปในใจตน เพื่อทบทวน สำรวจตรวจตรา ว่าสิ่งใดที่ยังไม่ดี ไม่ควรทำ แล้วรีบแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือระมัดระวังมิให้กระทำสิ่งที่แย่ๆ นั้นซ้ำๆ ซากๆ... อืมห์...


อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่นให้เสียเวลาเลย
ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ เทอญ... 

อย่าเครียดกับเรื่องราวต่างๆ ของชาวบ้านนักเลย
ความทุกข์ จะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนกับแผ่นกระดาษ
ถึงจะบางๆ เบาๆ แต่ถ้าถืออยู่เป็นเวลานาน ก็เกร็งจนเมื่อยมือได้
รู้จักปล่อย หรือวางลงเสียได้ ก็หายเมื่อยหายทุกข์ในทันที
สาธุ... สาธุ... สาธุ

  




พี่สาวครับ : จรัล มโนเพ็ชร
เพลงนี้ นักศึกษารุ่นน้อง เคยร้องให้ฟังอยู่บ่อยๆ... ไม่ยักซึ้งแฮะ
แต่มาวันนี้ ได้ฟังจากรายการมะจัง... รีบหาคอร์ดมาหัด... หนุกดี
เด๋วจาร้องให้พี่สาวฟังด้วยหล่ะ... คริ คริ...

  

ยัยตัวเล็ก บินกลับมาบ้านเพื่อให้กำลังใจคุณย่าที่เกิดอาการเส้นเลือดในสมองอุดตันเมื่อไม่นานมานี้... และอีกไม่กี่วันก็จะได้ร่วมทำบุญเนื่องในโอกาสพิเศษของครอบครัวดังเช่นทุกปีที่ป่านมา... ช่วงนี้ จึงออกไปเดินสวนจตุจักร เพื่อเลือกซื้อของฝากจากไทย... เวลาผ่านไปเร็วมาก เราเดินกันจนเหนื่อยเมื่อยล้าขาแข้ง อากาศร้อนอบอ้าว ยัยตัวเล็กเอ่ยปากบ่นว่ากระหายน้ำจังเลยค่ะแม่... ฉันก็เลยแวะซื้อน้ำส้มคั้นจากพ่อค้าตัวจิ๋ว อายุอานามน่าจะยังไม่พ้นเด็กชาย... เขามองหน้าแล้วถามเราสองคนว่า พี่ครับ พี่สองคนเป็นพี่น้องกันหรือเปล่าครับ... อ่ะเจร๊ยส์!


  

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

จะ(ให้)รอไปถึงไหน?


มีหนุ่มสาวสองคน... ทั้งคู่ต่างก็เคยบอกกับตัวเองอยู่ตลอดมา ว่าจากนี้ไปจะไม่ขอรักใครอีกแล้ว... คนหนึ่งเคยเจ็บช้ำเจียนตายเพราะรักคนผิด ถอนตัวถอนใจเกือบไม่ไหว... ส่วนอีกคนก็สูญเสียคนที่รักสุดชีวิตไปอย่างแสนเศร้า มันทรมานแทบบ้าซะให้ได้...

หลังจากกลับมาใช้ชีวิตโสดแบบแสบๆ อยู่เป็นนาน... วันหนึ่ง จะด้วยโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตก็มิอาจรู้ได้... ทั้งคู่โคจรมาเจอกัน แว่บแรกที่ได้สบตาอย่างบังเอิญ... ก้อนเนื้อน้อยๆ มันสั่นไหว กระตุกเต้นรัวเร้าขึ้นมาอีกครั้ง เกินกว่าจะควบคุมอยู่... ดีนะ ที่ยังได้เจอ ไม่สายจนเกินไป...


ออกจะฟังเอ๊ยอ่านดูเหลือเชื่อไม่น้อย ที่จู่ๆ พวกเขาก็ได้ข้ามขอบฟ้ามาพบกัน... และกำแพงหัวใจที่เคยเข้มแข็งมานานก็พังทลายไปได้ง่ายๆ อย่างไม่ต้องคำนึงถึงเหตุและผล... วาว... อยากให้หลายๆ คน เป็นเช่นนี้บ้าง... คงจะดีที่สุด

โดยปกติแล้ว คนเราแทบทั้งนั้นอยากมีรักแท้... แต่กลับรู้สึกกลัวการมีความรัก ว่ามั้ย?... หลายคนกลัวว่าจะต้องผิดหวังเสียใจ อีกครั้งหรืออีกสองครั้ง คือครั้งแล้วครั้งเล่า... บ้างก็กลัวที่จะรักใครคนหนึ่งจนหมดหัวใจและไม่ยอมรับความสูญเสียทุกรูปแบบที่ธรรมชาติกำหนด... บ้างก็กลัวการหลอกลวงจากอีกฝ่ายทั้งที่เค้าก็กลัวเราเช่นกัน อ้าว... ใครน่ากลัวกว่าใครหนอนี่หนอ?... ฉันว่านะ ทั้งนี้ทั้งนั้น น่าจะมีพื้นฐานมาจากบุคลิกเดิมที่ไม่ไว้ใจคนอื่น... หรือรักตัวเองไม่เป็น... เชื่อป่ะ?... นี่ฉันเขียนความจริงจากตำราเชียวนะ  อย่าเคืองล่ะ... อิอิ


โบราณว่า ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว... บางที บทประพันธ์ซึ้งๆ ที่เราอินไปกับมัน ก็ให้แง่คิดดีๆ ได้เหมือนกัน... และถ้าใครอยากรู้ อย่างที่ฉันรู้ ก็ไปหาดูเองเน้อ... ดูแล้ว เก็บอะไรได้ก็เอามาแบ่งปันกันบ้างล่ะ... อย่าปล่อยให้ฉันเพ้อเจ้อคนเดียว... มันไม่ยุติธรรมนะเออ... บาปๆ รู้ป๊ะ?


แล้วก้อ ลองถามใจตัวเองดูบ้างซี... ว่าพร้อมที่จะให้โอกาส "ความรัก" หรือยัง ?

ถ้าตอบว่า 'ยัง'... ก้อแล้ว จะ(ให้)รอไปถึงไหน?

ตอบได้ป๊ะ?


ขอบคุณที่รักกัน : โปเตโต้

ไม่เคย... ลืม@-@


เช้าแล้ว นกตัวเล็กๆ มาคลอคู่ส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างตั้งแต่ยังไม่สว่าง... เสียงแหลมเล็กของพวกมัน ฟังเพลินดีทีเดียว แม้จะรู้สึกตัวตื่นแล้ว ก็ยังอยากจะอ้อยอิ่งอยู่กับไออุ่นไปอีกเรื่อยๆ... ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นซะก่อน...


"สวัสดีจ้ะ..." ฉันทักทายด้วยสำเนียงเรียบๆ แม้ใจออกจะขุ่นนิดๆ...
"หนูหลี นั่นแกตื่นยัง?" เสียงเพื่อนสนิทจอมแสบรุกเข้าเต็มรูหู
"ยัง" ก็มันจริงนี่นา... ฉันยังหลับตาพริ้มช่ะ
"เฮ้ย มีงี้ด้วย... ตื่นเหอะน่า... นะ นะ... ฉันยังไม่ได้นอนเลยเพื่อน หลายคืนแระ..."
"นาย มีอารายก็ว่าม่ะ ฉันให้เวลาแค่กลิ่นตดจางเท่านั้น" ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาตะหงิด ๆ ...
"ช่วยบอกทีสิ ตอนที่แกเริ่มมีความรักใหม่ๆ มันเป็นยังไง?" อูย... เล่นยิงคำถามพิเรนๆ แต่เช้าช่ะ แล้วฉันจะจำได้ไหมล่ะเนียะ มันนานมากแล้วหนา เพื่อนเอ๋ย...


"ถามทำไม? ฉันจำได้ไม่หมดหรอก แกอยากรู้เกี่ยวกับอะไรรึ?"... ฉันพยายามถ่วงเวลา เพื่อทบทวนเรื่องราวของตัวเอง โอย... ขืนเล่ามากไป เด๋วมันเอาไปล้อ ฉันอายตายเลย...
"ฉันอยากรู้ทุกเรื่อง แกจงเล่ามาให้ละเอียด อย่าทำเป็นไขสือ" แน้ ไอ้เพื่อนบ้า... ฉันต้องมีเรื่องส่วนตัวที่พึงสงวนไว้ในจิตใต้ตำนึกบ้างซี... น๋อยๆ...
"ว่าไงล่ะ อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สิ... ฉันไม่โทรจิกแกตั้งแต่เมื่อคืนก็บุญแล้ว รู้ป่ะ?" มันคาดคั้นจังแฮะ...
"ฉัน... ฉัน... "
"ใครโทรมาแต่เช้า มีอะไรมั้ย?" พี่ชายลืมตาใสแง้วอยู่ใกล้ๆ เอ่ยถาม... และสบตารอฟังคำตอบ...
"ฉัน... ฉัน... "
"อ้าว ใบ้กินซะแระแก"... เสียงเพื่อนยั่วเข้าหู... ฉันรู้ดีว่าทั้งเพื่อนและพี่ชาย คงพอได้ยินเสียงที่คุยกันไปคุยกันมาอยู่หละ... ก็เลยไม่รู้จะตอบใครยังไงดี... จึ่งยกนิ้วชี้ขึ้นจุ๊ปากพี่ชายไว้ เป็นนัยว่าขอร้องแกมบังคับห้ามส่งเสียง นะจ๊ะ นะ... ทำเอางอนไปเลย... เง้อๆ


อืมห์... ที่จริงก็อยากจะเขียนเล่าต่อให้ละเอียดยิบอยู่หละ... แต่ก็เกรงใจจังแล้ว... เด๋วได้มีเพิ่ลมาเมนต์ว่าตาร้อนผ่าวๆ อีก... ฉันรู้ดีว่ามันบาปอ่ะจ้ะ... จริงป๊ะ? ก็เลยสื่อออกมาเป็นเพลงนี้... หวังว่าคงจะเข้าใจ อย่างที่เพื่อนของฉันมันก็ถึงบางอ้อ เช่นกัน...


ก่อน   ศิลปิน : โมเดิร์นด็อก

ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด
ก่อนดอกไม้จะผลิบาน ก่อนความฝันอันแสนหวาน

ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา
ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด
จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป
บนโลกที่โหดร้าย เหลือเกิน

ก่อนดวงดาวจะเต็มฟ้า ก่อนชีวิตจะรู้คุณค่า
ก่อนสิ้นศรัทธาจากหัวใจ ก่อนที่คนอย่างฉันจะหมดไฟ

ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา
ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด
จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป
บนโลกที่โหดร้าย เหลือเกิน

ทั้งวิญญาณและหัวใจ ให้เธอครอบครอง
ทั้งชีวิตให้สัญญา จะอยู่ จะสู้เพื่อเธอ

ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา
ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด
จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป
บนโลกที่โหดร้าย เหลือเกิน 



เอ๊... ใครเคยมีประสบการณ์หวานแหวว ก็น่าจะแชร์กันบ้างเซ่... ซุ่มอ่านเรื่องเล่าของฉันอย่างเดียว มันเอาเปรียบกันน้อยไปซะที่ไหนเล๊า... เง้อๆ...

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดูดีๆ ด้วย @♥@



หากย้อนเวลากลับไปในช่วงวัยเด็ก คงพอจะจำกันได้... เด็กทุกคนต้องผ่านการเรียนการสอนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งนั้น (ยกเว้นโดยปริยายสำหรับรายที่พิการถึงขั้นไม่สามารถสื่อสารได้ หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) ทั้งนี้ เป็นไปตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า เด็กทุกคนมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานฟรีไม่น้อยกว่าสิบสองปี... โดยที่ผู้พิการหรือผู้ด้อยโอกาสมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ... (จริงแค่ไหนหนอ?)


แว่บแรกที่เห็นภาพนี้ คงพอมองออกว่าเด็กๆ วัยเดียวกัน กำลังตั้งใจเรียนอย่างมีสมาธิกันทุกคน ไม่น่าจะมีอะไรแปลกแยกหรือผิดสังเกตเลยแม่แต่น้อย... 

http://hilight.kapook.com/view/76355

ส่วนภาพนี้... ดูแล้ว บางคนอาจคิดไปว่าวิสัยเด็กซุกซน หกคะเมนตีลังกากลางถนน แต่เปล่าเลย...
เด็กชายชาวจีนคนนั้น มีร่างกายช่วงล่างผิดปกติตั้งแต่อายุราวสิบขวบ หลังจากไข้สูง เขาไม่สามารถใช้สองขาเดินได้อีกต่อไป แต่ก็ยังมุมานะที่จะเดินทางไปโรงเรียนทุกวัน ด้วยการตีลังกาบ้าง เดินด้วยมือบ้าง ซึ่งเค้าสามารถทำมันได้เร็วกว่าการใช้ไม้ค้ำยันซะอีก...

ด้วยความที่ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เขาจะรีบตื่นตั้งแต่เช้าๆ เพื่อเผื่อเวลาในการเดินทางทุกวัน เขาต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ วันละราวสามชั่วโมง โดยมีน้องสาวคอยถือกระเป๋าให้... มีบ้างเหมือนกันที่ยายแบกเขาขึ้นหลังแทนหากเห็นว่าเขาเหนื่อยมากเกินไป... เมื่ออยู่ที่โรงเรียน จะมีเพื่อนใจดีช่วยแบกเขาขึ้นหลังรับส่งไปห้องน้ำ... เขาเองซาบซึ้งใจมาก จนถึงกับทนอดกลั้นมิให้เพื่อนต้องลำบากบ่อยๆ... อีกนานเท่าไหร่ความช่วยเหลือจากภาครัฐจะไปถึงเขาบ้าง?... น่าเวทนาจังเลย...


ในชีวิตจริง ยังมีคนที่สังคมควรหยิบยื่นความช่วยเหลือเกื้อกูลเช่นนี้อยู่ไม่น้อยเลย... หากแต่ความเชื่อและการกระทำในเรื่องบุญทาน มักมุ่งตรงไปที่พระสงฆ์องค์เจ้าซะมากกว่า เห็นได้ชัดเจนตามตลาดสดในตัวเมือง... ทั้งๆ ที่ ผู้รับมักไม่มีมูลเหตุให้ต้องสงเคราะห์ แต่ก็ได้รับเสียจนเกินจะรับไหว ผู้ให้เองก็ยินดีให้โดยคิดไม่เสียดายกันสักนิด... นั่น ส่งผลให้ภาพลักษณ์บางอย่างของสถาบันไม่น่าศรัทธาเลยจริงๆ... และถ้าเลือกได้ ฉันยินดีที่จะเสียสละเพื่อบำเพ็ญทานกับผู้ที่ควรแก่การสงเคราะห์มากกว่า... อย่าให้บาปเลย... สาธุ... สาธุ... สาธุ... 


บ่อยครั้ง ที่ฉันแอบคำนวนมูลค่าของดอกไม้ธูปเทียนที่ผู้คนซื้อหามาใช้ในพิธีการ พิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อที่มีมาแต่ดั้งเดิมในแต่ละที่แต่ละวัน รวมๆ กันเข้า... ถ้าหากสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเงินสงเคราะห์ผู้พิการที่มีพลังใจสู้ชีวิต... คงได้หลายตั้งค์เลยทีเดียว 


อาจเพียงพอสำหรับคนด้อยโอกาสอีกหลายคน... ว้าว... 
 แต่ทว่า จะมีใครคิดพิเรนอย่างฉันบ้างไหมนะเนี่ยะ... เง้อๆ...


สำหรับฉัน... ชอบดอกไม้ที่อยู่กับต้นเสมอ... ยังจำได้อยู่หรือเปล่า?

"รัก" สร้างยากทำลายง่าย

ค่ำคืนแห่งการพักผ่อน... พ่อบ้านคนหนึ่ง ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้จนล่วงเข้าสู่โมงยามของวันใหม่... อาการพ่นลมหายใจแรงๆ ทางจมูกเฮือกยาวๆ หลายๆ ครั้ง ทำให้แม่บ้านฉงนสนใจและอาทรความกังวลของผู้เป็นที่รัก จึงเอ่ยปากถาม...
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ได้ยินเสียงถอนหายใจบ๊อย บ่อยๆ"
"เปล่า" คนอมทุกข์มักเอ่ยปฏิเสธไว้ก่อนเสมอ... นี่คือเรื่องจริง...
"แล้วทำไมถึงนอนไม่หลับล่ะ มีเรื่องกังวลแน่ๆ เลย เล่าให้ฟังได้ไหม ฉันอาจช่วยคุณได้นะ"
"อืมห์ ก็เงินค่าผ่อนแบงค์งวดนี้น่ะซี ตั้ง 12 ล้าน ผมหมุนไม่ทันจริงๆ จะไม่ให้กลุ้มยังไงไหว"
"อ๋อ... ค่ะ นึกว่าคุณทุกข์เรื่องอะไร... เด๋วฉันจัดการให้นะคะ" เธอลุกขึ้นเปิดไฟ คว้าโทรศพท์มากดเลขหมายที่ต้องการ... รอสักพัก ก็มีคนรับสาย...


"ฮัลโหล ผู้จัดการแบงค์... เหรอคะ คือว่าคุณยอดบุญ สามีของดิฉันเค้าหมุนเงินไม่ทันค่ะ เอาเป็นว่าเงิน 12 ล้าน งวดนี้ขอบายก่อนนะคะ หวังว่าคงเข้าใจ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ" พูดจบ เธอก็วางสาย ย้ายก้นนวยนาถมาขึ้นเตียงนอนเคียงสามีด้วยท่าทีสบายอกสบายใจราวกับย้ายภูเขาทั้งลูกไปโปะไว้ที่ศีษะของผู้จัดการแบงค์ได้อย่างลุล่วงแล้วกระนั้น... เธอเอื้อมแขนอันอวบอูมไปโอบกระชับรอบพุงคนรัก บรรจงยิ้มให้กันอย่างสุขใจในความสลัว แต่ทว่าพอใกล้จะเคลิ้ม... กริ๊งส์ ๆ ๆ...
"อ้า สวัสดีครับ คุณผู้หญิง... ขอโทษด้วยที่รบกวนยามดึกดื่น ผม ผู้จัดการแบงค์... นะฮะ เมื่อตะกี้ผมลืมบอกข้อมูลสำคัญบางอย่างให้คุณทราบ... คือว่า... คุณยอดบุญ สามีของคุณ เพิ่งซื้อบ้านจัดสรรหลังมหึมาให้หญิงสาวคนหนึ่งไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ยังไงซะ พรุ่งนี้คุณเช็คดูอีกทีนะครับ ขอบคุณฮะ".... อร๊ากส์!!... คิดต่อเอาเองนะว่าผลลัพธ์จะประมาณไหน... คริ คริ...


ในความเป็นจริงแล้ว ทุกข์สุขอยู่ที่ใจคิด การจะลบความรู้สึกทุกข์ให้หมดไปจากใจได้ต้องรู้จักวิธีคิดอันชาญฉลาด... แบบมุขตลกที่ฉันจำมาเล่าข้างบนนั่น อาจทำให้ถึงตายได้นะ... ฮ่าๆๆ เอิ๊กส์ๆ ... ฉันก็ว่าไปนู่น... ตัวเองทำเป็นซะก็ดีสิ...

ว่าแต่ว่า คุณจะเชื่อมั้ยนะ ถ้าฉันบอกว่าเราทุกคนสามารถเรียนรู้ศาสตร์ในการสร้างความรักและความอบอุ่นที่แท้จริงสำหรับคนทุกระดับ ทุกเพศและวัย...

อ๊ะๆ...  อย่าเพิ่งร้องยี้สิ มันมีจริงๆ นะ... นี่ไง...


อูย... อย่าๆ อย่าคิดมากคิดไกลไปหน่อยเลยน่า ฉันเอง เคยเข้าอบรมหลักสูตรที่ว่านี้ซะก็เปล่า... เพิ่งอ่านเจอในเว็บเมื่อเร็วๆ นี้เอง เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ก็มาแง้มๆ ซะหน่อย... ใครที่คิดสงสัยว่าตัวเองมีเสน่ห์ติดลบก็เชิญไปศึกษาเอาเองเถิด เผื่อว่าชะตารักจะบันดาลดลให้พบเจอเนื้อคู่ หนังคู่ กระดูกคู่... กับเค้าบ้าง... 


คำพูด บางคำ แม้จะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แต่ความหมายดีๆ ก็โดนใจจังเบ้อเร่อ... อาจถึงขั้นบันดาลใจให้ผู้ฟังเกิดแนวคิดเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างคาดไม่ถึง...


เช่นเดียวกับคนบางคน ที่ดูธรรมดาๆ ไม่ได้เริดเชิดประเสริฐศรีมาจากไหน แต่ก็สามารถสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบสำหรับคนบางคนได้มากกว่าที่ใครจะทันคาดคิด... เรียกง่ายๆ ว่า "ถูกชะตา" ไปซะทุกอย่าง ทุกย่างก้าว ประมาณนั้น... อ่ะฮ้า... หลงเสน่ห์แง๋มๆ... ชิมิ ชิมิ...


คนเรานี่ก็น่าฉงนฉงาย กว่าจะรักและลงเอยกันได้แต่ละคู่ ไม่ใช่ง่ายอย่างปอกกล้วยส่งเข้าปากเลย... มีขั้นตอนและปัญหาอุปสรรคให้ต้องฟันต้องฝ่า เปลืองเวลาไปไม่ใช่น้อยๆ... รูปแบบของการบริหารความรัก มันไม่ได้เถรตรงสำหรับทุกคู่จะนำไปใช้ได้อย่างง่ายดาย... การที่จะประคับประคองให้รักยืนยงต้องพึ่งพาทั้งศาสตร์และศิลป์หลายอย่าง อีกทั้งต้องลดละความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้... บางคนอาจคิดว่าเพราะรักมากจึงให้ความสำคัญมากและตามมาด้วยอารมณ์หวงหึงมากจนเป็นประเด็นร้อนระอุคุกรุ่นแทบทนไม่ไหว หรือไม่ก็เลิกทนมันซะเลย... ส่วนคนที่เฉยๆ ชาๆ เช่นฉัน ใช่ว่าจะไม่รักไม่หวง แต่เพราะไม่อยากมีปัญหา เท่านั้น... ก็แล้วทำไม ความไม่แน่นอนจึ่งบังเกิดขึ้นเสมอไม่รู้ซี... คงต้องเตรียมความพร้อมของหัวใจไว้ให้มั่น มีข้อยกเว้นสำหรับใครซะที่ไหนกัน...


ยิ้มให้กับความผิดหวัง  :  นิโคล เทริโอ

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

อยากจะเป็น @_@

เฮ้อ วันจันทร์อีกแระ ใครๆ ก็รีบร้อนออกจากบ้านกัน ยกเว้นคนไม่มีงานทำอย่างฉันงั้นรึ ชิ... 

เช้านี้ อากาศเย็นผิดปกติแฮะ... เมื่อวานอยู่ดีๆ ก็มีฝนเทลงมา เก็บผ้าแทบไม่ทัน ดีว่าไม่ต้องไปลงเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เหมือนคนอื่นๆ ... วันนี้ ก็น่าจะตกอีก สายป่านนี้แล้วตะวังยังไม่โผล่มาทักทาย... หรือเทวดาจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งให้หนอนี่หนอ... ฉันเลยพลอยได้ล้างตาสบายแฮ... อืมห์... พอได้เป็นแม่บ้านเต็มตัวหลังจากยุติบทบาทการทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนที่คุ้นเคยมาร่วมสามสิบปี ฉันถูกมองว่าเป็นคนไม่ใช้ศักยภาพของตัวเองซะงั้น... โห นี่ถ้าลาออกเสียตั้งแต่ตอนแต่งงานใหม่ๆ อย่างที่พี่ชายต้องการ ฉันมิกลายเป็นคนงอระยางไปเลยหรือ? โชคดีที่ยังพอมีเบี้ยหวัดบำนาญใช้เอง... มิต้องพึ่งพิงให้อายใคร... ~• (••) •~

เสียงเด็กทารกร้องจ้า อุแว้ๆ... เพื่อนข้างบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่นาน มีสมาชิกใหม่ ดีจัง...
สักพักนึง ดนตรีบรรเลงเพลงช้างก็ดังขึ้น เป็นเสียงอิเลคโทนเล่นเมโลดี้ง่ายๆ ในทำนองเพลงที่คุ้นเคยสมัยเด็กๆ ฉันร้องถอยหลังได้สบาย... ช้างๆๆๆๆ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า...


คิดๆ ไป เป็นช้างนี่น่าจะดีสำหรับฉันเนอะ คงอดทนทนอดทนอึดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อิอิ...


ถ้าแม้นเลือกเกิดได้ดั่งใจฝัน     เป็นช้างป่าก็แล้วกัน... ว่าไหม
จะหนักแน่นมั่นคงองอาจไง     และหันหลังจากไปไม่อาวรณ์


"ช้าง" แม้ว่าจะเป็นสัตว์ป่าตัวใหญ่มหึมาน่าเกรงขาม แต่ถ้าหากได้รับการฝึกให้ดี พฤติกรรมเรียบร้อย ก็อาจได้เป็นถึงช้างพระที่นั่ง ตัวไหนที่มีนิสัยขี้เล่นนัก ก็มักได้ไปแสดงละครโชว์หารายได้ ตัวที่ออกจะดุดันหรือดื้อดึง ก็ยังพอมีประโยชน์ในการใช้ลากซุง


ส่วนฉันน่ะหรือ... ตอนนี้ คงเป็นได้แค่เนี้ยะ... 

ตึ้มมมส์ !?!