วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฟังเสียงหัวใจตัวเอง@ซะบ้าง



แปลกดีนะ... 

พวกเราเกิดมา ต่างก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น... 
ใครบ้างล่ะอยากมีความทุกข์... จะมีที่ไหนกัน 



แปลกอีกนั่นแหละ... 

ที่มนุษย์พยายามเรียนรู้วิชาการแขนงต่างๆ 
ล้วนแต่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนา
ให้สังคมเกิดความศิวิไลซ์ ในเกือบทุกเรื่อง อย่างไม่มีหยุดยั้ง... 
แต่มีอยู่วิชาหนึ่งที่ไม่ยักมีการเรียนการสอนอย่างจริงจังซะที 
นั่นคือวิชา... "ความสุขที่แท้จริง" 


จะว่าไปแล้ว มีใครบ้างที่ปฏิเสธ 'ความสุข'... ไม่มี๊ 
ถึงแม้ว่าเจ้า 'ความสุข' จะไม่มีรูปร่างหน้าตาชัดเจน 
แต่มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ และแสวงหาไม่มีหยุดหย่อน 
อืมห์... สุดแท้แต่ใจคน... ใจใครเถิด 
เพราะแต่ละคนต่างมีความคิดฝันที่ผิดแผกแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง 


บ้างก็ฝันใกล้เคียงความจริง บ้างก็ฝันเกินเอื้อมอย่างมากมาย 
โชควาสนา รวมทั้ง พรหมลิขิต ก็ของใครของมันเช่นกัน
ฝันดี ฝันหวาน ฝันสลาย... หามีวางขายที่ไหนในโลกรึก็เปล่า


โอม... ถ้าใครได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว

ขอให้ฝันของคุณเป็นจริงขึ้นมาในเร็ววันด้วยเทอญ... สาธุ

เพี้ยง!... เพี้ยง!... เพี้ยง! 




วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รักนะจ๊ะ@คนดีของฉัน


ตั้งแต่ส่งลูกไปเรียนซะไกลพ้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงตลอดจนเพื่อนบ้าน ต่างพากันอิจฉาสองตายายวัยโจ๋ที่มีโอกาสอยู่กันตามลำพังโดยปราศจาก กขค.  วันหยุดพิเศษ ก็พากันไปนู่นมานี่ เป็นการพักผ่อนไปในตัว... บ่อยครั้งเลือกที่จะติดดินโดยการนั่งรถตู้ รถไฟใต้ดิน ขี่จักรยานชมสวน... วันก่อนนู้น ก็ไปสยามพารากอน เดินชมของสวยๆ งามๆ จนขาลาก... พอบ่ายแก่ๆ ท้องร้อง จึงพากันแวะฟู้ดเซ็นเตอร์ หาที่นั่งพักประเดี๋ยว ให้พอทุเลาเมื่อยขาแล้วค่อยเดินสำรวจของกิน... ไม่นานนักก็มีหญิงสาวสองคนในชุดเครื่องแบบอะไรสักอย่าง คนหนึ่งผมยาวขาวอวบ ส่วนอีกคนคมเข้มแบบสาวหล่อ ทั้งคู่ถือถาดอาหารมานั่งที่โต๊ะข้างๆ ก่อนจะเริ่มการสนทนากันขึ้น...


“ใจเย็นน่าเธอ กินไปคุยไปแระกัน ยังไงซะ ฉันก็เข้าข้างเธอวันยังค่ำแหละ” คนขาวเอ่ยเอาใจเพื่อน

“ขอบใจมากนะเพื่อน มีแต่เธอเท่านั้นที่เข้าใจ และฉันพอจะปรับทุกข์ด้วยได้“ คนเข้มเปิดใจ สองสาว นั่งทานอาหารไปเรื่อยๆ... การสนทนาก็ออกรสมากขึ้น...

“ฉันละเหนื่อยใจกับสามีของฉันจริงๆ เขาช่างไม่เอาไหนซะเล้ย" อูย แค่เริ่มต้นก็เล่นเอาฉันหูผึ่ง...
“เขาชอบกลับบ้านช้า แถมเอางานกลับมาทำที่บ้านอีก หนังละครก็ไม่ดู จะดูแต่ข่าวการเมือง ดูกีฬาแล้วก็ดูหนังแผ่น บ้านรกหน่อยเป็นไม่ได้ กินเผ็ดๆ ก็ไม่เป็น ที่ร้ายที่สุดคือ เขาไม่สนใจฉันเลย... โอ๊ย เบื่อๆๆ เฮ้อ!” เธอถอนหายใจเสียงดังหลังพ่นจบ เพื่อนสาวเอื้อมมือมาลูบต้นแขนเบาๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำให้ดื่มดับร้อนในใจ...

“ของเธอล่ะ แต่งงานก่อนฉันตั้งสองปี ไม่เห็นบ่นบ้างเลย คงจะโชคดีมากๆ สินะ” ชักอิจฉาเพื่อนแระ

“เฮ่ยใครว่าล่ะ ฉันเองก็เคยเป็นอย่างเธอนี่แหละ สามีฉันเสน่ห์แรงออกจะตาย... อกฉันงี้แทบระเบิด... วันหนึ่งฉันเกือบทนไม่ไหว ก็เลยเขียนๆๆ ระบายลงไปในไดอารี่ เชื่อมั้ยว่าความห่วยของสามีฉันมีตั้งสามสิบแปดข้อแน่ะ เท่ากับรอบเอวของเขาพอดี” ฮ่าๆๆ... ฮิ้ว!... สาวเจ้าขำกันเองอย่างสะใจ

“แล้วไงต่อล่ะ? เล่ามาซิ กำลังฟังเพลินๆ”... อืมห์ ฉันก็ด้วย...

“ฉันงอนเขามาก ก็เลยแอบหนีไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด กะว่าซักสองสามวันจะกลับ มาถึงแล้วค่อยอ่านให้เขาฟังอย่างชัดๆ ไปเลย” เธอเล่าอย่างได้อารมณ์ “แต่เผอิญว่าฉันต้องรุดไปช่วยงานศพลุงก่อน ... ลุงของฉันอายุเพิ่งย่างห้าสิบ เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ทิ้งให้ป้าวัยเดียวกันต้องอยู่เผชิญโลกตามลำพัง... ป้าเสียใจอย่างหนัก ทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนและไม่พูดจากับใครๆ อีกด้วย” เธอหยุดซับน้ำตาที่เอ่อนิดๆ


“พอฉันไปถึง ป้ายื่นกระดาษให้สองสามแผ่น ฉันรับมาอ่านดู มันคือบันทึกจากใจของป้าเค้า” น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่น... “ป้าเขียนว่า 'ยอดรัก... วันนี้ทั้งวันฉันคิดถึงคุณตลอด สามสิบปีที่เราอยู่ด้วยกันมานั้น ฉันเอาแต่บ่นว่าคุณเสียๆ หายๆ จนกระทั่งถึงวันที่เราพรากจากกัน ฉันเพิ่งได้สติว่าฉันมองข้ามสิ่งดีๆ ของคุณไปอย่างไม่น่าให้อภัย'...” น้ำตาของเพื่อนเริ่มทะลัก จนอีกคนต้องขยับตัวเข้าไปโอบ...

“ตอนท้ายในกระดาษโน้ตนั้น ป้าบรรยายคุณความดีของลุงไว้เกือบร้อยข้อ ฉันอ่านไปร้องไห้ไปอย่างไม่อายใคร” เธอกำลังร้องไห้จริงๆ ทั้งสองคน...

ฉันกันพี่ชายได้ยินเรื่องราวนั่นเต็มสองหู... โอ คุณป้าท่านนั้น คงเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้บอกสิ่งดีๆ ให้สามีผู้เป็นที่รักได้ยินได้ฟังด้วยตัวเองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่... เธอทำได้ก็แค่เพียงจารึกคุณความดีไว้ที่หลุมฝังศพหรือพิมพ์หนังสือแจกให้กับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานฌาปนกิจศพเท่านั้น... นี่คือความจริงอย่างที่สุด...


วันนั้น ฉันไม่ใส่ใจว่าสองสาวนั่นจะคุยกันต่อไปอย่างไรบ้าง... แต่พอกลับมาถึงบ้าน ฉันกอดพี่ชายแน่นเลย แถมหอมแก้มซ้ายขวาอีกหลายฟอดจนหนำใจ... คืนนั้นก็ถือโอกาส สาธยายคุณความดีต่างๆ ให้เจ้าตัวเขาฟัง พร้อมกับบอกว่าฉันรักเขา... แรกทีเดียวเขามีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ยิ้มๆ รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนและอบอุ่นกว่าที่เคย... พอฉันพูดจบ เขาก็เผยความในใจถึงข้อดีของฉันตั้งมากมายที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน... นับแต่นั้นมา “เรา” เข้าใจแล้วว่ารักคืออะไร...


จากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะมีเวลาให้กันอีกสั้นหรือยาวสักแค่ไหน... เราจะไม่เก็บงำความคิด ความรู้สึกในด้านดีต่อกันไว้เฉยๆ หากแต่จะพูดและจะแสดงออกให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง ว่าเรา ♥ 'รักกัน' 


รักนะจ๊ะ ... คนดีของฉัน



วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ที่นั่งวีไอพี@บาทเดียว



ก่อนหน้านี้ราว 10 ปี (พ.ศ. 2545) การสื่อสารโทรคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน...
จำได้ว่าตอนนั้น ฉันมีโทรศัพท์มือถือ ระบบ 800 Mhz.  ใช้รับ-ส่งสัญญาณได้ในพื้นที่จำกัด...
ครั้งหนึ่ง ฉันไปจัดสัมมนาห้าวันที่โรงแรมนอกตัวเมือง ระยะทางไกลเกิน 10 ก.ม. คนที่บ้านต้องคอยรับ-ส่ง ทุกวัน... ตกตอนเย็นมักมีฝนฟ้าคะนองแบบไม่ลืมหูลืมตา ผู้ร่วมสัมมนาต่างก็ยังกลับบ้านไม่ได้ นั่งคอยหน้าม่อยนานนับชั่วโมง...


พอฝนซาเม็ดลง ฉันรีบกดมือถือหาคนที่บ้าน แต่สัณญานไม่มี จำเป็นต้องไปต่อแถวใช้บริการตู้โทรศัพท์ในโรงแรม โชคดีที่พกเหรียญไว้ในกระเป๋าถือบ้าง... ยืนรอจนเมื่อยขากว่าจะถึงคิวของฉัน... รีบบอกพี่ชายสั้นๆ ว่า “ออกมารับได้จ้ะ” แล้วก็วางสายเดินเลี่ยงออกไปในทันที ได้ยินเสียงใสๆ ของน้องคนถัดไปร้องเรียกให้กลับมารับเงินที่ร่วงจากตู้ด้วย... ฉันเพียงแต่ยิ้มแล้วบอกว่า... “ยกให้จ้ะ”


ช่วงบ่ายของวันถัดมา... วิทยากรมอบใบงาน ให้ทุกคนนำเสนอเรื่องราวสุดประทับใจ คนละ 2 นาที... วิทยากรหยิบฉลากชื่อคนแรกที่ได้ออกไปพูดหน้าห้อง เป็นสาวน้อยน้องใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งบรรจุเข้ารับราชการได้ไม่ถึงสามเดือน...


เธอเล่าว่าบ้านเธออยู่อำเภอที่ติดเขตจังหวัดอื่นซึ่งไกลกว่าใครเพื่อน ณ ที่นี้... พ่อขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆ มาส่งและรอรับกลับทุกวัน ขณะที่เข้าร่วมสัมมนา พ่อก็ไปรออยู่ที่บ้านญาติห่างๆ คนหนึ่ง... กว่าทั้งคู่จะกลับถึงบ้าน ต้องบึ่งไปในความมืดที่คดเคี้ยวและลาดชันเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง... เมื่อค่ำวานนี้ หลังฝนกระหน่ำ เธอมีเหรียญบาทติดกระเป๋าอยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น และไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากขอยืมจากใครๆ ด้วยยังไม่เป็นที่รู้จักคุ้นเคย ในใจนึกภาวนาขอให้พ่อรับสายแล้วคุยกันรู้เรื่องก่อนที่ตังค์จะหมด... เดชะบุญที่บังเอิญมี “ใครคนหนึ่ง” เมตตายกเหรียญให้โดยมิได้ร้องขอ... ยังความซาบซึ้งใจในยามยากเป็นอย่างยิ่ง... เธอสรุปจบสั้นๆ ท่ามกลางความเงียบงันของผู้ฟังทั้งห้อง ท่านวิทยากรสาวเท้าไปยืนเคียงข้าง โอบกระชับเธอไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้กำลังใจ... จากนั้น ก็เชิญให้ใครคนหนึ่ง ออกไปแสดงตัวหน้าห้องเพื่อนำเสนอเรื่องของตัวเองเป็นลำดับถัดไป...


โอ... พระเจ้า... มันเป็นไปได้หรือนี่...

ฉัน... มีโอกาสได้เข้าไปนั่งในใจคนๆ หนึ่ง

ด้วยน้ำใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

น่าทึ่งจริงๆ... ว้าว!!



วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โอ้ว่าอนิจจา... ความรัก


คืนหนึง... ฉันได้ดูทีวีช่วงดึก... ยังจำได้ดี... มันติดตา-ติดใจ ยิ่งนัก
มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาเล่าเรื่องราวชีวิตด้วยน้ำตานองหน้า... เขาไม่มีชื่อ-นามสกุลจริง ไม่มีบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้าน และไม่ได้เรียนหนังสือ... เขาเติบโตมากับพ่อแม่ที่มีฐานะยากจน อาชีพขอทาน มีพี่น้อง 4-5 คน ซึ่งต่อมาต่างก็หนีเอาตัวรอดเพราะความทารุณของพ่อ... ชีวิตผ่านการต่อสู้ดิ้นรนจนเติบใหญ่... ปัจจุบันมีอาชีพเลี้ยงตัว มีครอบครัวและกำลังจะมีลูก... เหตุที่มาออกรายการก็เพื่อวิงวอนผ่านสื่อให้พ่อแม่ที่แท้จริงช่วยตามหาเขาหน่อย... จะได้มีหลักฐานความเป็นคนไทยเสียที เขาแค่ต้องการจดทะเบียนรับรองบุตรของเขาที่จะถือกำเนิดในไม่ช้า... อนิจจา... เขายอมเปิดเผยอดีตที่แสนขมขื่น เพราะความรักลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลก... พระเจ้า... นี่หล่ะ คือความรักที่ยิ่งใหญ่!!


A son feeds his mother the way she fed him when he was a child

ส่วนเขาคนนี้... ชายสูงวัยที่ใช้อุปกรณ์ช่วยอุ้มแม่ไว้แนบอกตลอดเวลา... เห็นแล้วแทบน้ำตาไหล... ที่จริงฉันเคยเห็นแต่เฉพาะอุปกรณ์ช่วยอุ้มเด็กซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่แบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน... มันมีขายด้วยหรือ?... จะมีใครสักกี่คนที่สามารถทำได้อย่างเขาคนนี้?
ภาพนี้ ถ่ายจากหน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในไต้หวัน... สะท้อนให้เห็นความรักความผูกพันของลูกชายที่มีต่อแม่บังเกิดเกล้า... บางคนเห็นแล้วถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ด้วยสังเวชใจว่าแม่คงจะอึดอัดไม่น้อย เพราะอยู่ในท่าที่ไม่สบายตัว ร่างกายของเธอมีขนาดโตเกินกว่าจะห้อหุ้มอุ้มรัดเช่นนั้น น่าจะเหมาะกับเก้าอี้นุ่มๆ หรือรถเข็นนั่งของโรงพยาบาลมากกว่า ไม่จำเป็นต้องโอบอุ้มด้วยวิธีนี้ให้ต้องปวดเมื่อยหลังไหล่เลยสักนิด... แต่อนิจจา... ผู้เป็นลูกกลับต้องการแสดงออกซึ่งความรัก และปรารถนาจะปรนนิบัติแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนเช่นที่แม่เคยทำให้เขาตั้งแต่เล็กจนโต... god bless!



ส่วนคลิปที่ลิงค์มาให้ได้ชมกันนี้... ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เป็นความรักความผูกพันของสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ผู้ใดก็มิอาจพรากเขาไปจากกันได้

ถ้าหากใครสงสัยอยู่ว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่? คงหาคำตอบได้ยาก
แต่เมื่อได้ดูคลิปนี้แล้ว... ก็ควรต้องเตรียมใจไว้เยอะๆ เหอะ
ไม่มีเกจิชื่อดังหรือแพทย์ดูท่านใดบังอาจมารับประกันได้ดอกหนา
ว่าชาติหน้าใครจะได้เกิดเป็นอะไร ที่ไหน เจอใคร ยังไงบ้าง?
ที่กำลังเบ่งๆ อยู่จะเกิดมาครบสามสิบสองไหม? ยังต้องลุ้นแทบตายนิ


สำหรับฉัน ขอแค่ได้พบเจอพระธรรมคำสอนดีๆ เช่นที่ผ่านมา
ต่อให้ต้องมีการเดินทางข้ามภพข้ามชาติ อีกกี่ครั้ง
ก็คิดว่าน่าจะพอเอาตัวรอดได้ ทุกครั้งไป
สาธุ... สาธุ... สาธุ


วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อมทุกข์มาพูด


ห้าโมงเย็นวันหนึ่ง ฉันรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากลิฟต์ สองมืออุ้มตะกร้าเอกสารกองโตมาด้วยเช่นเคย กวาดสายตามองหาคนคอยด้วยใจประหวั่น ฉันมาช้ากว่านัดหมายปกติเป็นชั่วโมง เขาคงโกรธอีกเป็นแน่ เฮ้อ!...  แปลก ที่ฉันหาเขาไม่เจอ และกลับกลายเป็นฉันที่ต้องนั่งคอย หลังจากที่พี่คนหนึ่งเดินมายื่นจดหมายน้อยให้... “ไปผ่าตัด... รอแป๊บนึงนะ”... อืมห์... ค่อยยังชั่ว... 

ฉันวางสัมภาระลง เอ่ยปากฝากพี่เวรบ่ายแถวๆ นั้น ก่อนจะเดินตัวปลิวออกไปข้างนอกเพื่อช้อปฯ ฆ่าเวลา... เลือกซื้อของโปรดให้เขาได้หลายอย่างเลย มีทั้งไก่ทอดหาดใหญ่ ลองกอง มังคุด ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เพียงเท่านี้ก็ต้องงดมื้อเย็นแล้วล่ะ... อ้อ ยังมีของฝากให้เจ้าตัวขาวปุยอีกด้วย... ข้าวโพดต้ม... คงถูกใจไม่น้อย... ทั้งตัวโตๆ ยันตัวเล็กๆ...



โทรศัพท์มือถือสั่นพรึ่ดๆ ฉันรู้ได้ในทันทีว่าเขาเสร็จธุระแล้ว จึงรีบข้ามถนนกลับไปเอาข้าวของ... พรีอุ๊สคันงามเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเที่ยบที่บันใดพอดี... ฉันยิ้มให้นิดนึงแล้วถามเบาๆ “หิวมั้ยจ๊ะ” เขาพยักหน้าหงึกๆ “น้ำๆ”.... ตายจริง ฉันลืมไปเสียสนิทเลย ได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็แกะลองกองตันหยงมัสป้อนให้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้าน...


คืนนั้น... ฉันได้ยินเสียงถอนใจเฮือก ก่อนจะเอ่ยปากบอกเหนื่อย... ฉันโอบแขนไปรอบตัวเขาแล้วโยกตัวไปมาอย่างช้าๆ... ไม่นานก็ได้รับฟังความหนักใจบางอย่าง ซึ่งนานๆ ทีจะหลุดปากเล่า... ชีวิตความเป็นหมอนี่ช่างหารอยยิ้มได้ยากยิ่ง วันๆ เจอแต่คนอมทุกข์ ทั้งทุกข์กาย ทุกข์ใจ... แต่ละคนมาพบหมอด้วยปัญหาหนักอกและมีสีหน้าหนักใจด้วยกันทั้งนั้น... ฟังข้อมูลจากปากคนไข้แล้ว จะยิ้มหรือหัวเราะก็ใช่ที่ เดี๋ยวดีไม่ดีจะถูกหาว่ายิ้มเยาะไปซะนี่... อืมห์ มันก็จริงแฮะ...

บางรายไม่ได้เป็นอะไรมาก ผลการตรวจทุกระบบก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ลึกๆ แล้ว ปัญหาอยู่ที่ความวิตกไปล่วงหน้า กลัวจะมีอันเป็นไปเช่นเดียวกับคนรู้จัก... ซะงั้น

บางราย โรคและอาการน่าเป็นห่วง แต่หลังจากได้รับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับโรคที่ป่วย แผนการรักษาและการปฏิบัติตัวต่างๆ จบลงแล้ว กลับมีท่าทีเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร ยังความหนักใจตกที่หมอเสียสิ้น จะพูดยังไงให้เขาเข้าใจได้ดีล่ะ?... ตรงข้ามกับบางรายที่ไม่ป่วยแต่ต้องการยา ขอให้หมอช่วยสั่งยานั่นยานี่ให้หน่อย ราวกับเป็นหมอเสียเอง โดยหาใส่ใจต่อฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์แต่อย่างใดไม่...

บางรายก็ป่วยเรื้อรังมานาน ทนทรมานจนรู้สึกเหนื่อยหน่ายท้อแท้กับชีวิตที่ไม่ยอมตัดขาดจากโรคและไม่ยอมลาโลกไปง่ายๆ ทำให้ญาติๆ ต่อว่าต่อขานหมอซะยกใหญ่ หาว่าฝีมือไม่เก่งพอที่จะดูแลรักษาให้หายเป็นปกติดีได้... อ้าว... หาหมอเทวดาดีกว่ามั้ย?

บางรายปกปิดข้อมูลสำคัญส่วนตั๊ว-ส่วนตัว จนเป็นมูลเหตุให้การวินิจฉัยโรคคลาดเคลื่อน เสียเวลา เสียทรัพย์และเกือบต้องเสียใจไปตามๆ กัน... บ้างก็ขอให้หมอช่วยปิดเป็นความลับให้ด้วย ห้ามบอกทุกคนแม้กระทั่งญาติสายตรง... ใครที่ไหนรู้เข้า (อายเค้า) ตายแน่ๆ... เง้อ...


บางราย รักษาจนหายป่วยไข้ดีแล้ว ขอบอกขอบใจร่ำลากลับบ้านไปแล้ว... รู้สึกนิยมชมชอบ ถึงขนาดแอบจดจำชื่อเสียงเรียงนามหมอ เอาไปตั้งเป็นชื่อลูกหลาน... เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย

บางรายหนักข้อเอ๊ยหนักใจหมอเป็นที่สุด... เมื่อเห็นถึงความพยายามแวะเวียนมาขอตรวจอยู่บ่อยๆ เพียงเพื่อจะได้พบ ได้พูดคุยกันบ้างให้หายคิดถึง... แน้!!... ถึงตรงนี้ ฉันรู้สึกรับไม่ไหวแล้ว (โว้ย)... 

อ่ะ แฮ้ม... จึงจัดการปิดปากซ้าาาา..... อิอิ



ครั้งหนึ่งเคยรักกัน



อาจมีใครสักคน ที่เราใส่ใจเขาได้มากกว่าตัวเอง
ใครคนนั้น... มีความสำคัญสำหรับเรามากที่สุด
ใครคนนั้น... มีอิทธิพลต่อความรู้สึกสุข-ทุกข์ของเราทุกเวลานาที
ทำให้เราหัวเราะ หรือร้องไห้ได้ในเรื่องราวต่างๆ... ร่วมกับเขา
เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของใครคนนั้น... โลกก็พลันสว่างสดใสขึ้นมาทันที
แม้ว่าเพิ่งจะมีพายุพัดซัดกระหน่ำมาก่อนหน้านี้ ก็ตาม
อาห์... อำนาจอันใหญ่หลวงแห่งความรู้สึก "รัก"
มันทำให้คนๆ หนึ่งหลบอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่ยิ้มและร้องไห้ราวกับคนบ้า
ป่านนี้... ใครคนนั้น ที่เป็นสาเหตุแห่งเรื่องราวทั้งมวล
อาจอยู่ที่ไหนๆ สักแห่ง... กับใครสักคน... ที่เขารักมากที่สุด
แต่ที่แน่ๆ... ไม่ใช่ "เรา" คนนี้... ทั้งที่เราอยากให้ใช่แทบตาย
ช่างเถอะ... ขอแค่ได้รับรู้ว่าใครคนนั้นมีความสุขกายสุขใจ
เราก็ "ดีใจด้วย" อย่างที่สุดแล้ว
นี่กระมัง คือ ความสุข ที่เกิดจากการได้รัก...อย่างบริสุทธิ์ใจ



ฉันปิดไดอารี่เล่มเล็กในมือลงด้วยความรู้สึกหดหู่... เปิดอ่านคราใดก็ให้หวนคิดถึงผู้เป็นเจ้าของ...
สาวน้อยชุดดำคนนั้น ถูกพาตัวมาพบฉันด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ตาบวมเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ฉันกล่าวสวัสดี แล้วพาเธอไปนั่งที่โซฟาข้างหน้าต่าง ก่อนจะเดินไปกดล็อคประตู...
เธอผินหน้าออกนอกหน้าต่าง น้ำตารินไปตามร่องแก้ม... ฉันเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ หัวเข่าเกือบประชิด วางมือบนเข่าของเธอเบาๆ... มืออีกข้างเลื่อนกล่องทิชชูมาใกล้ๆ... ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ฉันต้องพูดคุยกับเธอคนนี้เพื่อปลอบขวัญให้สบายใจขึ้น ช่วยให้เธอได้ระบายความทุกข์ หรือชี้แนะให้เธอได้ทบทวนปัญหาหนักอกของตัวเองอย่างชัดเจน ว่ามีอะไรที่ต้องเร่งรีบแก้ไขให้บรรเทา...


กว่าเธอจะไว้ใจฉัน ผู้ซึ่งเป็นเพียงคนแปลกหน้าและเพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรก... ฉันไม่ได้เร่งเร้า... เราพูดคุยกันเหมือนพี่น้องไปเรื่อยๆ... ในที่สุด เธอก็แย้มพรายทุกข์ในใจให้ฟัง... มันน่าเศร้ามาก... เธอเพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปไม่ถึงเดือน ด้วยโรคร้ายที่ใครๆ รังเกียจ... แม่ของเธอเป็นอดีตนางงามทำหน้าที่แม่บ้าน ส่วนพ่อทำธุรกิจตลาดนัด ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย... เธอมีพี่ชายสองคน เกเรทั้งคู่และเสียชีวิตไปตั้งแต่วัยหนุ่มคะนองด้วยโรคเชื้อราขึ้นสมองเหมือนกัน... แม่ผิดหวังและทุกข์ใจอย่างมาก ได้แต่พร่ำวอนให้พ่อรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ... 

วันหนึ่ง แม่ท้องเสียและอาเจียนมาก ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน... ญาติๆ ที่มาเยี่ยม ต่างก็ทักว่าแม่ผอมไปเยอะ... หมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดเกรงว่าแม่จะเป็นมะเร็ง... ที่สุดแล้ว ผลการตรวจแจ้งว่าแม่ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง แต่มี 'เลือดบวก' ข้อมูลจากคุณหมอทำให้แม่แทบช็อคและเปลี่ยนไปเป็นคนละคน... คำแนะนำอื่นๆ ที่ตามมา หาได้เข้าหูแม่ไม่...
"พวกเราทำผิดอะไรนักหนา ถึงได้ถูกพระเจ้าลงทัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นนี้?" เธอสะอื้นน่าเวทนา
แม่ของเธอปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการรักษา... นอนซมกับเตียง นัยน์ตาเลื่อนลอย... น้ำตารินตลอดเวลา... หมอต้องให้ยาลดภาวะซึมเศร้าผสมน้ำเกลือหยดช้าๆ อย่างต่อเนื่อง... ข่าวของแม่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึงหูพ่อที่อยู่ตลาดนัดของอีกจังหวัดหนึ่งไม่ไกลนัก... พ่อเองก็เสียใจไม่น้อยและยอมรับกับลูกสาวว่าเขาคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด พ่อลงโทษตัวเองด้วยการดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย... แน่นอนว่าเธอคือคนที่แบกทุกข์หนักหนาที่สุดตอนนั้น


พ่อไม่กล้าโผล่หน้าเข้าไปเยี่ยมแม่... เมื่อเมาสิ้นสติไปหลายครั้งหลายหนจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ขาดสง่าราศีแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา พ่อจึงไปที่โรงพยาบาล นั่งคอตกอยู่หน้าห้องพิเศษที่แม่นอนป่วยอยู่ข้างใน... ทุกวัน...
"เชิญข้างในสิคะ คุณลุง... คนไข้เรียกหาอยู่บ่อยๆ นะคะ... " พยาบาลแจ้งให้เขาทราบ เขาพยักหน้าขอบคุณ แต่ก็มิได้ขยับตัวเข้าไปข้างใน... เขาขบกรามจนเป็นสันนูน เงยหน้าขึ้นเพื่อมิให้น้ำตาของลูกผู้ชาย หยดลงมา... จากนั้นไม่นาน แม่ก็ทรุดหนัก... หมอขอเชิญญาติไปคุยเป็นการส่วนตัว แจ้งให้ทราบว่าอาการน่าเป็นห่วง เพื่อญาติจะได้ทำใจแต่เนิ่นๆ... พ่อไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่อออกจากห้องหมอแล้ว สาวน้อยก็คุยกับพ่ออย่างเปิดอก...
"แม่ฝากบอกว่ารักพ่อมาก ให้อภัยพ่อทุกอย่าง และอยากเจอหน้าพ่อมากค่ะ" เธอบอกอย่างชัดเจน
พ่อพยักหน้าซ้ำๆ น้ำตาของพ่อทะลักขอบตา หยดแหมะๆ... แม้จะยกหลังมือเช็ดเท่าไหร่ก็ยังไหลรินออกมาไม่อย่างขาดสาย... 
"พ่อขา เข้าไปหาแม่เถอะค่ะ นะคะพ่อ นะ..." เธอวิงวอนทั้งคำพูดและสายตา พ่อส่ายหน้าเบาๆ...
"พ่อไม่รักแม่แล้วหรือ?" คำถามของเธอทำให้พ่อถึงกับสะอื้นฮัก ก่อนจะปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น...

อนิจจา... ในคืนนั้น แม่จากไปอย่างสงบ... ยังความโศกเศร้าแก่ทุกคนโดยเฉพาะ... "พ่อ" 
ชายเดียวในดวงใจที่... "ครั้งหนึ่งเคยรักกัน"



การใช้ชีวิตบนความประมาท

ไม่เพียงแค่จะทำให้ตัวเองทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น 

หากแต่ได้ส่งผลกระทบไปถึงบุคคลอันเป็นที่รักอีกด้วย

ดำรงสติให้มั่นคงนะ... เพื่อนเอ๋ย

รักษาตนให้พ้นภัยทั้งสิ้นเถิด

สาธุ... สาธุ... สาธุ

น่ารัก@น่าชังเป็นบ้า


 
หวาน กับ ดล เป็นเพื่อนคู่ใจกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทั้งคู่เรียนคณะเดียวกัน... หวานไม่ใช่สาวสวย เธอเพียงแต่นิ่งๆ และจริงใจ ใครได้อยู่ด้วยใกล้ๆ มักมีแต่ความสบายใจ อบอุ่นใจ... ขณะที่หนุ่มดล เป็นคนท้วม เขาเสน่ห์แรงตรงที่เล่นกีตาร์ได้เพราะมาก... ข้อด้อยของดลคือความรู้สึกอ่อนไหวต่อถ้อยคำดูถูก เขามักเดือดดาลเป็นไฟฟืนหากมีใครจี้จุดว่าเขาไม่รับผิดชอบหรือไร้ความสามารถในเรื่องใดๆ ก็ตาม...


เมื่อจบการศึกษา ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็จัดงานมงคลให้เป็นรางวัล... หวานกับดลเลือกที่จะทำงานอยู่ที่เดียวกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเตรียมเก็บหอมรอมริบแต่เนิ่นๆ ไว้เผื่อมีทายาทตัวน้อย... หากแต่วันคืนล่วงเลยไปเกือบห้าปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้อุ้มเจ้าตัวเล็กเหมือนคู่อื่นๆ ทำให้ดลถูกเพื่อนแซวอยู่ตลอดว่า “ไม่มีน้ำยา” บ้างล่ะ “ไม่ทำการบ้าน” บ้างล่ะ “กระสุนหมด” หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ “ตายด้าน” อ้าว เฮ้ย...

หวานเข้าใจดีว่า คนรักของเธอต้องอดทนกับคำแซวหมิ่นเชิงชายของเพื่อนๆ มาตลอด... เธอพยายามหาวิธีปลอบใจเขา ไม่ให้คิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง... แต่เธอก็พูดไม่เก่ง จึงเลือกสื่อสารด้วยท่าทาง... อะไรที่แสดงออกว่ารักแทนคำพูดได้ เธอทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจน ตลอดมา... เพียงแค่มองสบตา ทั้งคู่ก็เข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี...


และเมื่ออยู่กันตามลำพังสองต่อสอง... หวานมักหยอดคำพูดให้กำลังใจสามี...
“ฉันรู้ว่าคุณเก่งในเรื่องอย่างว่า และอีกหลายๆ เรื่อง... คุณทำได้ดีที่สุดแล้ว เพียงแต่พระเจ้าทรงเมตตาให้เราได้มีเวลาสวีทกันนานไปหน่อย” บางครั้งเธออาจก็พูดว่า

“ฉันรู้สึกว่าคุณเยี่ยมมาก ฉันไม่กล้าชมคุณให้ใครๆ ฟังหรอก ว่าคุณแน่แค่ไหน... แต่ก็อยากให้คุณจำใส่ใจไว้สักนิดว่า... ฉันเหนือกว่า”... อ้าว... ซะงั้น...

“ฉันทราบดีค่ะว่าคุณพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติมั่นคง ทุกครั้งคุณทำได้ดีทีเดียว ยกเว้นก็แต่ตอนที่ไม่พูดไม่จากับฉัน”... นั่น... กำลังงอนอะไรกันอยู่หนอ?

“ฉันเข้าใจดีว่าคุณแคร์ความรู้สึก ความต้องการของฉันเสมอ ขอบคุณที่ใส่ใจกันเรื่อยมา… แต่ฉันสังเกตมาหลายคืนแล้ว ที่รัก... คุณไม่ได้หยอดตังค์ใส่กระปุกที่หัวเตียงอย่างเคยค่ะ”... เง้ยส์ 

  

ดลเป็นคนฉลาด ยิ่งเมื่ออยู่กินกับหวานไปนานวันเข้า เขาก็ยิ่งซึมซับเอาความฉลาดเป็นกรดของภรรยามาด้วยเต็มๆ... “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนน่ารัก แต่ที่กำลังทวงค่าบริการจากสามีเหย็งๆ แบบเนี่ย มัน... มันน่ารักน่าชังเป็นบ้าเลยนะคะ” 


วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พูดไทย@ให้เข้าหู




ทุกครั้งที่ฉันอาบน้ำให้เด็กแรกเกิด... ฉันคิดว่าเด็กๆ แต่ละคนหน้าตาคล้ายกัน เดาไม่ออกว่าโตขึ้นจะเหมือนไปทางพ่อ แม่ หรือปู่ย่า ตายาย ตรงไหนบ้าง... ตอนเกิดมาใหม่ๆ ทุกคนมีคิ้วคาง ปากนิดจมูกหน่อย นิ้วน้อยๆ หรือแม้กระทั่งกล่องดวงใจ ขนาดจิ๋วๆ ด้วยกันทั้งนั้น... พอบรรดาญาติๆ มาเห็นเข้า ก็มักจะออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่ารักน่าชังเป็นบ้า”.... และมันทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อย ยิ้มปลื้มกันหน้าบาน...


ไม่เหมาะที่จะพูดคำนิยมว่า น่ารักน่าชัง... อิอิ

ภาษาไทยนี่ก็แปลกไม่น้อย มีหลายประโยคทีเดียวที่เมื่อได้ฟังแล้วคิดตรงไปตรงมา บางทีก็ทำให้ปวดหัวหนึบๆ... ที่จริงแล้ว คำว่า “น่ารักน่าชังเป็นบ้า” น่าจะหมายถึง ‘น่ารักน่าเอ็นดู อย่างมาก’ อย่าได้บังอาจแปลตรงตัวเข้าเชียวล่ะ โดยเฉพาะคำว่า ‘น่าชัง กับ เป็นบ้า’ เดี๋ยวดีไม่ดี พ่อเด็กได้ชกปากเข้าให้... ช่วยไม่ได้... เง้อ...

น่ารักอ่ะ

แต่หากจะเอ่ยชมเด็กโต เด็กหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่ มักจะไม่มีใครใช้คำว่าน่ารักน่าชังเป็นบ้าหรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร หรือมีใครออกกฎเกณฑ์นี้ไว้หรือเปล่า... ลองหลับตานึกภาพดูเถิด ถ้าหากมีหญิงสาวโสภาสักคนถูกชมแบบที่ว่า... เธอจะรู้สึกยินดีหรือโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ... ฮ่าๆๆ... 


อร๊ากส์ !!


ลมหายใจเหนือดวง

ถ้าพูดคำว่า "ปาฏิหาริย์" หลายคนคงคิดไกลไปถึงเรื่องภูติผี  เอเลี่ยน หรือโชคดวง... ฯลฯ
แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงเรื่องความจริงอันแปลกพิศดารเกินคาด เช่นนี้...


ดูกันให้ชัดๆ... นี่คือเจ้า "ไมค์" ไก่ปาฏิหาริย์ สายพันธุ์ Wyandotte
เจ้าของชื่อ Lloyd Olsen  มีอาชีพเป็นชาวไร่อยู่ที่รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา นู่น...
เจ้าไมค์ โด่งดังเป็นพลุแตก หลังจากที่มันถูกขวานคมกริบสับหัวขาดกระเด็น แต่ไม่ยอมตาย 
ลอยด์ เห็นดังนั้นก็ตัดสิ้นใจไม่ซ้ำ เขาเฝ้าดูแลรักษา ให้อาหารมัน โดยใช้ที่หยอดตาหยดน้ำผสมนม และมีเสริมด้วยเมล็ดข้าวโพดเล็กๆ ให้มันกินเป็นอาหาร... ไมค์สามารถมีอายุยืนยาวไปได้อีกถึง 18 เดือน  และสาเหตุที่ทำให้มันเสียชีวิตลง เกิดจากอาหารติดคอ!!... ว้าว... ไม่น่าเป็นไปได้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว จริงๆ... คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเถิด หากต้องการแหล่งอ้างอิง ก็ดูได้จากที่นี่  http://wowboom.blogspot.com/2010/06/mike-headless-chicken.html



ปาฏิหาริย์อีกเรื่องหนึ่ง ต้องรีบบอกก่อนว่า... น่าสพึงกลัวยิ่งนัก
ถ้าเป็นคนขวัญอ่อน ฉันต้องขออภัยเป็นอย่างสูง... นะจ๊ะ นะ

Peng Shulin คือชื่อของชายวัยกลางคนชาวจีน ที่รอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่ร่างของเขาจะถูกรถบรรทุกชนขาดสองท่อน ในปี 1995... วันนั้น ภาพเขานอนโชกเลือดอยู่ข้างๆ ถนน ลำตัวท่อนบนขาดจากท่อนล่าง ที่ใต้สะดือพอดี... สะโพกและขาแน่นิ่งอยู่ข้างๆ ไม่ไหวติง... แต่เขาก็ยังมีสติดีพูดจาตอบโต้ได้ แขนขยับไปมา มือสองข้างคลำเปะปะไปที่ท้องของตัวเอง ศีรษะของเขาสวมหมวกกันน็อคเอาไว้  เขาพยายามจะกระดกตัวขึ้นนั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ... เวลาผ่านไปกว่าห้านาที ความช่วยเหลือใดๆ ยังมาไม่ถึง... ท่ามกลางสายตาของเหล่าคนมุง เขาไม่ได้ร้องโอดโอยสักคำ ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากขอให้ใครช่วย... เขาทำได้แค่เพียงยกสองแขนขึ้นก่ายหน้าผาก... รอนาทีสุดท้าย... ถ้าคุณไม่พร้อมจะดูก็จงปิดตา... นะจ๊ะ นะ


หรือหากใจแข็งพอ ก็ชมคลิปได้ที่นี่ http://www.liveleak.com/view?i=832_1250780068 

ในการช่วยชีวิต Peng Shulin นั้น ต้องระดมทีมแพทย์กว่า 20 นาย มาช่วยเร่งมือทำผ่าตัด ตกแต่งบาดแผล ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ปรับความสมดุลของสารน้ำและเกลือแร่ รวมถึงการให้เลือด อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย... ลำตัวท่อนล่างนั้นไม่สามารถเยียวยาให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้เลย ดังนั้น เขาจึงเหลือความสูงเพียง 78 ซ.ม. เท่านั้น... ทีมแพทย์ต่างไม่คาดหวังว่าเขาจะรอดมาได้... แต่เขาก็ทำให้บรรดาแพทย์อัศจรรย์ใจได้ทุกที... วันเล้ววันเล่า... ด้วยการหายใจอย่างต่อเนื่องอยู่กับร่างกายเพียงครึ่งหนึ่งของที่เคยมี... เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมตายเท่านั้น แต่การตอบสนองต่อการรักษาของเขามักเป็นที่น่าพอใจเสมอ... ในที่สุด เขาได้รับการ ปลูกถ่ายชิ้นเนื้อจากศีรษะมาปิดที่ลำตัว ซึ่งต้องทำซ้ำอยู่หลายครั้งจนเป็นที่พอใจ... เขาอดทนอย่างที่สุดกับความเจ็บปวด รวมถึงการต้องนอนเฉยๆ เป็นเวลาหลายปี... เขาไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค กลับพยายามออกกำลังสองแขนอยู่เสมอๆ จนแข็งแกร่งพอที่จะช่วยตัวเองได้ราวกับคนปกติทั่วไป ทั้งยังช่วยเหลืองานบ้านเป็นประจำอีกด้วย หาได้ทำตัวให้เป็นภาระของใครๆ ไม่... 



นับว่าฟ้ามีตาจริงๆ เมื่อทีมแพทย์จาก China Rehabilitation Research Centre ในกรุงปักกิ่ง ได้ทราบเรื่องราวของเขา ก็ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ โดยคิดหาทางให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง ด้วยการสร้างฐานรับช่วงลำตัวเป็นรูปถ้วยทรงไข่ แล้วติดตั้งขาอิเล็คทรอนิคส์สองข้าง พร้อมกลไกช่วยเดินขนาดเล็ก... มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับเขา... เขารักเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มาก เพราะมันได้หยิบยื่นโอกาสให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้งนั่นเอง... ในที่สุด ปาฏิหาริย์ ก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ว่าเขาจะมีบุญหนุนหรือบาปนำ แต่คนอย่างเขาสมควรได้รับการปรบมือเป็นกำลังใจจากพวกเรา... ทุกคน... นาย... แน่มาก!