วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ขนมเทียนแม่เอ๊ยส์


ถึงวันตรุษจีนทีไร เป็นต้องได้ร่วมลงไม้ลงมือหนุบๆ หนับๆ กับการทำขนมเทียนแสนอร่อยสูตรต้นตำรับของคุณย่าทุกปี... มีเสียงเรียกร้องจองจำนวนเข้ามาตั้งแต่ช่วงปีใหม่อยู่มิขาด ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้ๆ กันอยู่ว่าทำขายไม่ไหวดอก ทำแจกก็ไม่ทั่วถึงอย่างที่เคยๆ เสียแล้ว เพราะคนทำและคนช่วยทำทั้งหลายล้วนแต่ สว. ด้วยกันทั้งสิ้น ทำขนมเทียนแต่ละคราวมันช่างเข็ดเมื่อยหลังเอวไปหลายวันจนแทบจะสาปส่งไม่กงไม่กินมันแระ... ไหนจะต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาพุ่งพรวดๆ... ใบตองที่เคยมีคนเอามาให้ถึงบ้านอย่างมากมายโดยไม่ต้องซื้อหา เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นว่าหาซื้อแทบไม่มีขาย... อะไรกันหนอนี่หนอ พี่น้องไทยเจ้าเอ๋ย...

ย้อนไปก่อนหน้าสัก 5-6 ปี ขนมเทียนอันละ 2 บาทเท่านั้น... มีแม่ค้าทำมาวางขายกันเกร่อตามท้องตลาด อร่อยถูกใจมากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป... แต่บัดเดี๋ยวนี้ (พ.ศ. 2558) ณ ตลาดสดท่าอิฐ มีขนมเทียนขายหรอมแหรม สนนราคาอันละ 7-10 บาท ไม่รู้เหมือนกันว่ารสชาดเป็นจังได๋พ่อง... เง้อ!


ในเมื่อหลายๆ คนเอ่ยปากขอสูตร จะไม่ให้หรือก็กระไรอยู่... ม่ะ ดูดีๆ นะ... ขนมเทียนไส้เค็ม มันก็ไม่ยากไม่ง่ายเท่าไรนัก แต่ถ้าหากจะทำคนเดียวล่ะก็... ขอบอกว่าให้ไปซื้อเขากินเหอะ เชื่อฉันซี


ก่อนอื่นต้องไปหาใบตองสวยๆ มาเตรียมล่วงหน้าสักวันสองวัน... ได้มาแล้วก็ผึ่งแดดให้พอนิ่ม ฉีกส้วงกว้าง 12 ซม. แล้วตัดเจียนปลายทั้งสองด้านให้โค้งมนตามรูป โดยส่วนแข็งที่ติดก้านไม่ต้องโค้งมากนัก แต่ส่วนปลายอ่อนให้โค้งๆ เข้าไว้เพื่อเหลือปลายสอดสลัก... ไม่เข้าใจอ่ะดิ... ดูตามรูปเอาเต๊อะ ง่ายดี... เศษเล็กเศษน้อยที่ไม่ได้ขนาดก็อย่าทิ้งล่ะ เก็บตัดชิ้นเล็กๆ ราว 4x4 ซม. (อันนี้เป็นเคล็ดไม่ลับส่วนตัวเจ๋ยๆ) ไว้เยอะๆ แล้วเด๋วค่อยขยายความทีหลัง...


ตัดเจียนใบตองเสร็จ ก็ต้องเช็ดให้สะอาดด้วยนะ... ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำพอหมาดสองผืน วางบนโต๊ะหนึ่งผืน หยิบใบตองมาวางบนผ้านั่น แล้วใช้ผ้าอีกผืนเช็ดตามแนวเส้นใบ พลิกเช็ดบน-ล่างจนเกลี้ยงดี และก็ต้องหมั่นลุกไปซักผ้าขนหนูบ่อยๆ จะเห็นว่าน้ำซักผ้าดำปี๋เลยช่ะ เพราะทั้งฝุ่นทั้งนวลตองสกปรกเข้าขั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ค้าทั่วไปได้ทำเช่นนี้มั่งหรือเปล่า... มันกินเวลามากเป็นวันๆ เลยนะการเตรียมใบตองเนี่ย ขอบอก... บางคนจึ่งทำไปบ่นกะปอดกะแปดไปว่าซื้อเขากินคุ้มกว่าเป็นไหนๆ... ซะงั้น
  

ไอ้ฉันมันคนไม่โปรดของหวานสักเท่าไหร่ สมัยเด็กๆ ขนมเข่งขนมเทียนนี่ไม่ค่อยถูกกะฉันดอก มีแต่แจกกับแจกเท่านั้น จะหยิบใส่ปากบางบ้างก็ตอนที่เหลือๆ ตากจนแห้งแล้วเอามาชุบไข่ทอดนู่นแหละ... สำหรับฉันแล้วมันต้องไก่-หมูทอดกรอบๆ จิ้มส้มตำรสเด็ดเผ็ดจัด ซี้ดดส์!... คิดถึงแม่อีกแย้ว... ฮือๆ... อ่ะไปเข้าสูตรกันเลยดีกว่าเด๋วหาที่ลงไม่ได้...


ถ้าจะทำขนมเทียนปริมาณเยอะๆ จะต้องทำไส้ขนมให้เสร็จก่อนวันห่อขนมนะจ๊ะ... พอลงมือทำเข้าจริงๆ มันเพลินจนลืมเวลา กว่าจะเสร็จงานในมือก็รู้สึกหิวมื้อเย็นนู่นเลยทีเดียว... วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก็ไม่สลับซับซ้อนอะไรเลย มีแค่ถั่วทอง (ถั่วเขียวเลาะเปลือก) 1 ถุง, หอมแดง 300 กรัม, พริกไทยป่น 2 ชต., น้ำมันพืช 1 ถ้วย, น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย และเกลือป่น 1 ชต. กะห่อได้ราว 50-60 ชิ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะปั้นก้อนเล็กหรือใหญ่ ตามแต่ใจใครซีจ๊ะ...


วิธีทำก็ไม่ยาก... เริ่มจากล้างถั่วทองให้สะอาดสัก 3-4 ครั้งจนน้ำใสดี ก่อนแช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชม. แล้วนำไปต้มในกะทะใบโตๆ ใส่น้ำท่วมถั่วเพียงปริ่มหลังมือ เปิดไฟกลาง ปิดฝากะทะสักพัก พอเริ่มเดือดค่อยๆ ช้อนฟองทิ้งเรื่อยๆ ใช้ตะหลิวค่อยๆ ตะล่อมถั่วรอบๆ ขอบกะทะให้กลบพูนเข้ากลางกะทะ


จนกระทั่งน้ำงวดไปหมด ใส่เกลือ 1 ชต. ผัดไปมาให้ถั่วเนียนจนเห็นนวลถั่วติดก้นกะทะ... หรือหากชื่นชอบที่จะหม่ำใส้ถั่วแบบหยาบๆ มีเม็ดๆ ปนให้เคี้ยวมันเคี้ยวเพลินก็ไม่ต้องผัดให้เนียน นะจ๊ะ นะ


จากนั้น ปิดไฟ ปิดฝากะทะปล่อยให้อบจนแห้งสักพัก... ราวๆ 15 นาที


ช่วงนี้ ก็หันไปซอยหอมแดงบางๆ เตรียมไว้ (แสบตาน่าดู อร๊ากส์!) เสร็จแล้วตักถั่วออกจากกะทะให้หมด ขูดๆ นวลถั่วที่ก้นกะทะเท่าที่สามารถ... แล้วจึงเทน้ำมันพืชลงไปในกะทะ เปิดไฟกลางพอน้ำมันร้อนใส่หอมซอยลงเจียว หมั่นคนไปเรื่อยๆ จนเหลืองหอม...


จากนั้น ใส่ถั่วลงไปผัดเร็วๆ เติมน้ำตาลและพริกไทยลงไปผัดเรื่อยๆ (โอยโอ๊ยโอย มันเมื่อยแขนมากมายจ้า ขอบอก!)... ชิมรสดู ชอบรสไหนยังไงก็ปรุงเอาเท่าที่ใจปรารถนา จนได้รสชาดเหมาะเหมงเป็นที่ถูกปากถูกใจดีแล้ว ผัดต่อไปสักพักกระทั่งกะทะขึ้นนวลถั่วอีกนั่นแหละ (ยังไงๆ ก็ไม่ติดกะทะดอกน่าน้ำมันตั้งถ้วยนิ) จึงเป็นอันว่าใช้ได้ ปิดไฟ ตักใส้ขนมใส่ถาด เกลี่ยกระจายๆ ปล่อยไว้ให้เย็นตัวลง แล้วค่อยปั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดเหรียญห้าบาท...




ต่อไปก็ถึงตอนนวดแป้ง ถ้าจะให้ดีต้องใช้แป้งข้าวเหนียวตราช้างสามเศียร (คุณย่าบอกไว้ว่าอย่างนั้น ซึ่งฉันก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผลของท่าน) เอาเข้าจริงกลับใช้แป้งข้าวเหนียวดำมาผสมด้วย น่าแปลกใจไม่น้อยที่นิยมอะไรดำๆ มากกว่าขาวๆ... แล้วคนจมูกไวอย่างฉันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นแป้งหมักหน่อยๆ มิน่าล่ะ...


เทแป้งข้าวเหนียวขาว-ดำ อย่างละครึ่งถุงใส่กะละมัง คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วยลงไป ค่อยๆ หยอดน้ำสะอาดทีละน้อย คนๆ ขยำๆ ไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น อย่าให้แป้งจับกันเป็นเม็ดมันจะแก้ยาก... เติมน้ำเรื่อยๆ จนแป้งมีลักษณะเป็นอย่างที่เห็นในรูป...








นวดแป้งเสร็จแล้ว ให้ใช้ผ้าขาวบางหมาดๆ คลุมไว้ก่อน มิฉะนั้นจะแห้งและแข็งได้... ถึงกระนั้นก็ตาม เวลาปั้นแป้งห่อใส้ก็ต้องหมั่นพรมน้ำนวดๆ ให้แป้งนุ่มอยู่เสมอหล่ะ... อืมห์ เป็นรัยที่ต้องทำเองกะมือถึงจะเข้าใจสินะ... เอิ๊กส์ๆ!


ถ้าหากรอให้ทำเสร็จจนเก็บล้างเรียบร้อยแล้ว ค่อยเขียนเล่ารายละเอียดการปั้นแป้งใส่ไส้ขนมก็คงลืมๆ ไปเกือบหมด โชคดีว่าสมัยนี้มีกล้องถ่ายภาพง่ายๆ สะดวกที่จะเก็บภาพไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ลงมือทำ... แต่การจะให้อธิบายความโดยละเอียดว่าทำอย่างไรบ้างเพื่อให้คนอ่านสามารถนึกภาพได้ชัดเจนตามไปด้วยถึงขนาดทำตามได้นี่มันเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย... เอาเป็นว่า ให้ดูจากคลิปก็แล้วกันนะ... เห็นสั้นๆ อย่างนี้ก็เหอะ ใช้เวลาโหลดแต่ละคลิป หือม์ ยาวเลยนะจะบอกให้...


พอปั้นเสร็จแต่ละลูกก็หย่อนลงในภาชนะที่มีน้ำมันพืช... บอกตามตรงว่าฉันพยายามอย่างมากที่จะจำกัดการใช้น้ำมันให้น้อยลง (จนเจ้าของสูตรไม่ค่อยสบายใจนัก) จากที่เคยเทน้ำมันใส่ครึ่งชามก็เหลือแค่ก้นชาม เพียงแค่ช่วยหล่อลื่นนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องแช่ชุ่มโชกเลยนี่นา ทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แถมยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย... หากกลัวว่าจะแกะกินยากเพราะติดใบตองล่ะก็... เอาน่า เด๋วฉันอาสาแกะป้อนให้เองกะมือก็ได้ โธ่... หรือถ้าคิดว่าไม่มันไม่อร่อยก็ค่อยไปจิ้มน้ำมันเอาทีหลังเหอะ นะ นะ


สุดท้าย คือขั้นตอนการห่อ... ห่ออย่างไรให้สวยเหมือนนมสาว คุณย่าเกริ่นนำก่อนจะหยิบใบตองมาสองใบ ใบใหญ่อยู่ล่างใบเล็กกว่าคว่ำซ้อนข้างบนให้แนวไขว้กันเล็กน้อย
 
 

พึงเลี่ยงการวางแนวของเส้นใบขนานกันเช่นนี้ เพราะหากใบตองปริแตก ขนมก็จะย้วยออกมา


เดิมทีเดียว ใบตองชั้นในนั้น คุณย่าใช้บ้างไม่ใช้บ้าง... และพิถีพิถันขนาดว่าต้องตัดเจียนให้ได้รูปแบบโค้งคล้ายๆ กัน ต่างไปก็เพียงขนาดเล็กกว่าจนไม่สามารถใช้ห่อได้... ครั้นพอฉันได้ลงมือทำตามไปหลายๆ ห่อเข้า ก็จับทิศทางถึงบางอ้อ... จึงเอากรรไกรมาตัดเจียนใบตองให้เป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 4x4 ซม. ตัดมุมพอให้ดูดี... จากนั้นใช้ชิ้นเล็กนี่แหละเป็นส่วนยอดแหลมของนมสาว... ไม่เปลืองใบตองและห่อขนมที่เป็นฝีมือฉันมันจะมีขนาดกะทัดรัดคงรูป ยอดไม่ยุปทรงไม่ยวบ นี่ไงนมสาวฝีมือฉัน.


จุ๊ๆ... เด๋วจะหาว่าคุย
 เอามาให้ดูกันจะๆ เต็มลูกตา
มีคนชมด้วยแหละ 'สวยดี'
ตอนห่อเพลินๆ ก็ปากหนักไม่ได้ถามว่าชมอะไร? นม/ขนมหรือคนห่อ... เอิ๊กส์ๆ 

ก็แค่นี้เอง... คงไม่ยากเกินไปสำหรับใครที่สนใจจะลงมือทำบ้าง นี่ถ้าหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าเกิดไม่มีจะกินขึ้นมาจริงๆ เห็นทีต้องงัดวิชาเก่าแก่ทำขนมเทียนหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคงพอถูๆ ไถๆ ไปได้... ว่าแต่ว่าจะมีใครกล้าชิมฝีมือฉันรึเปล่าน้อ? จะอุดหนุนแม่ค้ามือสมัครเล่นเช่นฉันสักหน่อยมั้ย?... บอกหน่อยจิ.


วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

หนาวจัง... หมูหนาวจัง


ปีนี้อากาศหนาวกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา... ไม่ใช่เฉพาะแถบบ้านเราเมืองเราเท่านั้นดอก ดูเหมือนว่าที่ไหนๆ ก็หนาวกว่าก่อนทั้งนั้น โดยเฉพาะทางอเมริกายุโรป ซึ่งอุณหภูมิติดลบกว่าสามสิบองศาเลยทีเดียว ไม่รู้จะมีชีวิตรอดกันได้อย่างไร ธรรมชาติช่างโหดร้ายเอาเสียจริงๆ...



หนาวๆ อย่างนี้ ชวนให้นึกถึงช่วงชีวิตวัยเด็ก... เวลาเดินไปโรงเรียนต้องกระโดดโลดเต้นไปเรื่อยๆ ครั้นถึงเวลาเรียน คุณครูก็พาออกไปนั่งเรียนในสนามเพื่อให้ได้รับไอแดดอุ่นๆ สงสารก็แต่เพื่อนบางคนที่ไม่มีเสื้อกันหนาวต้องทนทานสะท้านลมตัวสั่นงั่กๆ ไม่รู้จะช่วยยังไง...

ตกกลางคืนหนาวจนสั่นต้องลุกขึ้นมาก่อไฟผิง และนั่นเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้วอดไปนักต่อนัก อนิจจา!... ที่บ้านฉันมักมีพวกผู้ใหญ่และพ่อกะพี่ๆ มานั่งล้อมวงเผาข้าวหลามกันอยู่เนืองๆ กอไผ่หลังบ้านถูกโค่นไปลำแล้วลำเล่า... ฉันก็อยากกินนะแต่รับมือกับความง่วงไม่ไหวซุกกายใต้ผ้านวมไปแต่หัวค่ำทุกคืน... ต่อให้หูได้ยินเสียงผู้คนคุยกันดังงึมๆ งำๆ หรือถูกเขย่าตัวเรียกให้ลุกขึ้นมาจัดการกับบ้องอุ่นๆ หอมๆ แต่มันลืมตาไม่ไหวจริงๆ อย่ามาป้อนซะให้ยากเลย... ขนาดว่าบางคืนก็มีคนแอบย่องไปจับไก่ในเล้ามาเชือดถอนขนย่างอย่างไม่เกรงใจเจ้าของไก่ตัวเปี๊ยกๆ ฉันยังไม่ยอมจับมือใครดม!

แม่ของฉันมีสูตรเด็ดเมนูหมูหนาวอร่อยสุดๆ... วิธีการคือ ต้องเอาขาหมูมาต้มจนเปื่อย เครื่องปรุงก็มีพวกกระเทียม พริกไทย รากผักชี เกลือ ซีอิ้วขาว... แม่ต้มครั้งละมากๆ ใช้หม้อใบโตสุด เริ่มลงมือต้มตอนช่วงเย็น กว่าจะได้ที่ก็มืดค่ำไม่ทันกินมื้อเย็นของวันนั้นเพราะต้องปล่อยให้ข้ามคืนไปก่อน รุ่งเช้าขึ้นมาจึงเห็นผลงานอันโอชะ น้ำซุปกลายเป็นวุ้นน่ากินมากถึงมากที่สุด... แม่ตักหมูหนาวให้คนละชามไม่ต้องแย่งกัน ฉันบอกแม่ว่าไม่เอาข้าวแต่ขอหมูหนาวสองชามแทน แม่บอกได้ๆ แก้พุงโร... อ้าม!


มาถึงสมัยนี้ อากาศหนาวไม่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาถ้าหากว่าอยากกินหมูหนาว เพราะมีตู้เย็นเป็นตัวช่วยอยู่ตลอดปีตลอดชาติไม่ต้องง้อหน้าหนาว... เพียงแต่คนที่ชอบกินหมูหนาวเหมือนฉันกลับหาได้ยาก ซะงั้น... เง้อ
 
 

ที่จริง หมูหนาวเป็นเมนูเด็ดของรายการอาหารว่างเรียกน้ำย่อยที่อร่อยลิ้น ซึ่งหาทานได้ไม่ง่ายนัก เคยเห็นร้านอาหารบางแห่งเซ็ทเป็นออเดิฟ เสิร์ฟพร้อมซอสเปรี้ยว... อื้มห์... ทานหมูหนาวแล้วต้องดื่มชาร้อนตามเยอะๆ ล้างไขมัน...แม่ย้ำนักย้ำหนา แต่ก็หาได้เคยหยิบยื่นถ้วยชาจีนให้ฉันไม่ คงเพราะกลัวจะเสียของ... ด้วยความที่ฉันเป็นคนกินยาง่ายแต่กินชายาก ไม่รู้ซี ตอนนั้นยังเด็กนี่นา...


แต่ตอนนี้... ทั้งหนาว ทั้งหิว และคิดถึงแม่อย่างที่สุด

 < แม่จ๋า >




นานเท่านาน น น น น...

How long will I love you?


How long will I love you?
 
 
 
อีกนานแค่ไหนที่ฉันจะยังรักเธอ?
ก็ตราบนานเท่าที่เหล่าดวงดารายังคงลอยอยู่เหนือหัวของเธอไง
และนานกว่านั้นอีกถ้าฉันทำได้

อีกนานแค่ไหนที่ฉันจะต้องการเธอ?
ก็ตราบนานเท่าที่ฤดูกาลต้องการจะ
เปลี่ยนผันไปตามแบบของมันล่ะมั้ง

อีกนานแค่ไหนที่ฉันยังจะอยู่กับเธอ?
ก็นานเท่าที่ทะเลยังคงซัดสาดน้ำ
ไปกระทบกับหาดทรายล่ะมั้ง
 
อีกนานแค่ไหนที่ฉันยังจะปราถนาในตัวเธอ?
ก็อีกนานเท่าที่เธอยังต้องการฉันนั่นล่ะ
และก็นานกว่านั้นอีก
 
อีกนานแค่ไหนที่ฉันยังจะโอบกอดเธอเอาไว้?
ก็นานเท่าที่พ่อของเธอจะบอกกับเธอ
ว่าอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ที่เธอจะกอดไหว

อีกนานแค่ไหนที่ฉันยังจะมอบใจให้เธอ
ก็คงนานเท่ากับการที่ฉันจะอยู่กับเธอไปตลอดเลยไง
จะยาวนานแค่ไหนก็ตามที่เธอจะกล่าว
 
 อีกนานแค่ไหนที่ฉันจะยังรักเธอ?
ก็นานเท่าที่เหล่าดวงดารายังอยู่เหนือหัวเธอไง
และก็คงนานกว่านั้นถ้าฉันอาจจะทำได้
 

How long will you love me?
How long will you love me?
How long will you love me?




วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ราตรีที่เงียบงัน

มืดค่ำแล้ว... เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อนนอนหลับกันตามปกติวิสัย บ้างก็กลับเร็วบ้างก็กลับช้าดึกดื่นค่อนคืน แต่ก็ยังดีกว่ารายที่ไม่กลับบ้านยันสว่าง... ปล่อยให้อีกคนรอคอยด้วยความเป็นห่วงวันแล้ววันเล่า... แล้วอย่างนี้ จะมีบ้านไว้หาพระแสงอะไร?... ฟระ!


ค่ำคืนนี้หากปราศจากเสียงกรีดร่ำระงมของหรีดหริ่งตัวเล็กๆ คงจะเงียบงันพิลึก ด้วยว่าหลายๆ คนในละแวกบ้านต่างพากันไปรวมตัวแสดงพลังกันเยิ้วๆ ที่บริเวณถนนราชดำเนิน หลายคืนติดต่อกัน มิมีหวาดหวั่น... แม้จะมีท่าทีอ่อนเพลียมาไม่น้อยหลังเลิกงานแต่ก็มุ่งตรงกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นัดหมายกันออกไปต่อ ดูท่าว่าจะทำเช่นนี้ไปได้อีกเรื่อยๆ ไม่มีเหนื่อยไม่มีท้อ นับถือจริงๆ...


เนื่องจากที่บ้านมีผู้สูงวัยอยู่ท่านหนึ่ง สมควรที่ลูกหลานต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ฉันจึงรับหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจขณะที่คนอื่นๆ ไปทำหน้าที่เพื่อชาติได้อย่างไร้กังวล... ฉันอดที่จะถามตัวเองไม่ได้ว่าถ้ามีคนชวนจะไปกับเขามั้ย... อืมห์ ชักกลัวเหมือนกันแฮะ ค่ำมืดออกอย่างนั้นไม่รู้ใครเป็นใคร หากเกิดความวุ่นวายโกลาหนขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่ ฉันคงวิ่งหนีไม่ทันแน่ๆ เลย... แล้วจะมีหน้าไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อย่างไร... เอาเป็นว่า ขอส่งกำลังใจไปเชียร์ก็แล้วกันนะจ๊ะ ท่านกำนัน... 

ขอบคุณ - YouTube.com

สำหรับความรู้สึกเงียบเหงาอันแสนคุ้นเคย ก็หาวิธีกลบมันซะด้วยเสียงเพลงเพราะๆ จากนักร้องสาวแสนสวยที่มองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เบื่อ คนอารั๊ยหน้างี้ว้านหวาน ตาโตคมซึ้ง ผมยาวเป็นลอนสลวย ยามที่เอื้อนเอ่ยเสียงดนตรีไม่ว่าจะสูงหรือต่ำก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมหาที่ติบ่มิได้... Hayley Westenra เธอสามารถตรึงสายตาและอารมณ์คนฟังได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องอาศัยการเผยเนื้อหนั่นไม่ต้องเต้นยึกยักยั่วยวนใดๆ เลย น่ารักจริงๆ... ลองหาฟังดูเองก็แล้วกัน

silent night  : by 'Hayley Westenra


Silent night, holy night!                     รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์
All is calm, all is bright.                     ทุกสิ่งสงบนิ่ง ทุกสิ่งสว่างไสว

Round yon Virgin, Mother and Child.   มารดาและบุตรผู้บริสุทธิ์ อยู่รอบกายคุณ
Holy infant so tender and mild,          ทารกศักดิ์สิทธิ์ผู้แสนบอบบางและนุ่มนวล
Sleep in heavenly peace,                   หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
Sleep in heavenly peace.                   หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
Silent night, holy night!                     รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์

Shepherds quake at the sight.           มองเห็นพระเยซูอยู่ไหว ๆ
Glories stream from heaven afar        ความรุ่งโรจน์สาดแสงลงมาจากสรวงสวรรค์อันไกลโพ้น
Heavenly hosts sing Alleluia,              ผู้ดูแลสวรรค์ที่เบื้องบนขับขานบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า
Christ the Savior is born!                   พระเยซูได้ประสูติขึ้นแล้ว
Christ the Savior is born.                   พระเยซูได้ประสูติขึ้นแล้ว

Silent night, holy night!                     รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์
All is calm, all is bright.                     ทุกสิ่งสงบนิ่ง ทุกสิ่งสว่างไสว
Round yon Virgin, Mother and Child.   มารดาและบุตรผู้บริสุทธิ์ อยู่รอบกายคุณ
Holy infant so tender and mild,          ทารกศักดิ์สิทธิ์ผู้แสนบอบบางและนุ่มนวล
Sleep in heavenly peace,                   หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
Sleep in heavenly peace.                   หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข



รักนะ... โว้ย

เพราะความที่คิดถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนหนึ่งซะมากมาย นานนักหนาแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวกันและกันบ้างเลย ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะโทรหาเค้าก่อน... เสียงเพลงรอสายดังอยู่ตั้งนานจนกระทั่งตัดไป เพื่อนตัวดีก็ยอมไม่รับสายฉันสักที... เอาน่า เพื่อให้สมกับที่คิดถึง ฉันกดเบอร์เก่าโทรหาเพื่อนอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง... ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม... เง้อ...

ชักคิดมากแระ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนรักของฉัน? เขาเป็นอะไรไปหรือเปล่าหนอนี่หนอ?


หรือว่าเพื่อนกำลังทำธุระส่วนตั๊ว-ส่วนตัวอยู่น้อ?  อ่ะ งั้นให้เวลาสักหน่อยก่อนก็ได้ อีกซักประเด๋วค่อยโทรหาใหม่ จะได้ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบให้คลายหายห่วง... พักยก 15 นาที ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อง เด๋วมา... นะจ๊ะ นะ...


เสร็จแระ หนาวๆๆ... ออกจากห้องน้ำปุ๊บ ปล่อยให้หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามผิวกายงั้นแหละ ช่างมันเหอะ... โทรหาเพื่อนก่อน ก็คนมันคิดถึงอ่ะ... มีสัณญานปลายสายว่างแต่ก็ไม่รับ เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ อยู่หลายครั้งจนฉันรู้สึกอ่อนใจ...

เอ นี่มันคือการแสดงออกถึงความต้องการพื้นที่ส่วนตัวหรือเปล่านะ... 

อืมห์ !!... เข้าใจแระ...



วูบหนึ่ง ฉันคิดถึงเพลงโดนใจเพลงนั้น... "เลือกที่จะเหงา" ขับร้องโดยคุณเอิ้น พิยะดา หาชัยภูมิ... เนื้อหาของบทเพลงช่างกระทบอารมณ์ความรู้สึกตอนนี้ได้อย่างดีที่สุด...

ฉันเลือกที่จะเหงา เพื่อรอคอยเขาคนนั้น
ฉันเลือกที่จะฝัน จนกว่าฉันจะได้เจอรักแท้

แม้การอยู่กับความเหงาจะทรมาน
แต่ว่าฉันไม่ต้องการความรักจากใคร

ในเมื่อคนนั้นไม่ใช่ ในเมื่อใจฉันยังรออยู่เสมอ
รอคอยคนรัก คนที่ฉันอยากบอกว่ารักเขาทุกวัน

คนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าวันนั้น ฉันจะเป็นเช่นไร
อยากจะบอกรัก เก็บคำนี้เอาไว้บอกกับคนที่ใช่

แต่ต่อให้เวลานี้จะต้องเหงาซักเท่าไหร่
ฉันมั่นใจว่าคุ้มที่จะรอคอย วันที่ได้พบเธอ

แม้ผู้คนมากมาย จะยืนรายล้อมฉันอยู่
ฉันก็เพียงแค่รู้ แต่ไม่เคยรู้สึกอุ่นในหัวใจเลยซักครั้ง

แม้การอยู่กับความเหงาจะทรมาน
แต่ว่าฉันไม่ต้องการความรักจากใคร

ในเมื่อคนนั้นไม่ใช่ ในเมื่อใจฉันยังรออยู่เสมอ
รอคอยคนรัก คนที่ฉันอยากบอกว่ารักเขาทุกวัน

คนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าวันนั้น ฉันจะเป็นเช่นไร
อยากจะบอกรัก เก็บคำนี้เอาไว้บอกกับคนที่ใช่

แต่ต่อให้เวลานี้จะต้องเหงาซักเท่าไหร่
ฉันมั่นใจว่าคุ้มที่จะรอคอย วันที่ได้พบเธอ

รอคอยคนรัก คนที่ฉันอยากบอกว่ารักเขาทุกๆ วัน
คนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าวันนั้น ฉันจะเป็นเช่นไร

อยากจะบอกรัก เก็บคำนี้เอาไว้บอกกับคนที่ใช่
แต่ต่อให้เวลานี้จะต้องเหงาซักเท่าไหร่

ฉันมั่นใจว่าคุ้มที่จะรอคอย วันที่ได้พบเธอ
แล้วเราจะพบกัน



เอาเถอะ... หากในยามนี้ เพื่อนเลือกที่จะเหงา ก็ตามสบายเลยนะ
เมื่อไหร่ที่คิดสะระตะหักอกหักใจได้บ้างแล้ว อย่าลืมว่ายังมีฉันอยู่ข้างๆ เสมอ
 แม้ว่าจะมองไม่เห็นกันเลยก็ตามที

รักนะโว้ย!