วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ส้ม... อเมซิ่ง



ส้มสายน้ำผึ้ง เป็นผลไม้ที่มีขนาดย่อมๆ ผิวเรียบเนียน เปลือกบางสีเหลืองปลั่ง
รสชาดดีหวานซ่อนเปรี้ยว เวลาปอกมีกลิ่นหอมชื่นใจจากน้ำมันที่เปลือก
เนื้อในมีสีเข้มน่ากิน... ปอกง่าย ไม่ค่อยมีกาก ราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นที่นิยม...



นี่แน่ะ สมมติว่าฉันเป็นแว็กซ์... ที่เคลือบติดผิวส้มแต่ละลูก...
จะเกิดอะไรขึ้นกับส้ม? จะได้เห็นอะไรยังไงบ้าง?... ลองตามไปดูกันดีกว่า... เนอะๆ



ส้มผลแรก... มีหญิงอ้วนคนหนึ่งซื้อมา แล้วหยิบให้ชายขอทานขาด้วนที่หน้าตลาดไป...
ขอทานคนนั้นปอกส้มกินเพียงครึ่งลูก... แล้วขว้างส่วนที่เหลือทิ้งไปอย่างไม่แยแส...
พร้อมกับเสียงตำหนิ... "เค็มชิปห... ให้มาได้งัย กะอีแค่ส้มลูกเดียว... เชอะ"



ส้มผลที่สอง... หญิงอ้วนคนเดิมส่งให้ลูกสาววัยเยาว์...
เด็กน้อยรีบปอกทานในทันที ด้วยท่าทางน่าเอร็ดอร่อย...
พอเคี้ยวกลืนกลีบสุดท้ายเรียบร้อยดีแล้ว... เธอก็พูดว่า
"ส้มนี้อร่อยมากๆ ค่ะ คราวหน้า...ซื้อมาฝากอีก นะคะ ขอบคุณค่ะ"
เธอไม่พูดเปล่า ยกสองมือไหว้และโปรยยิ้มให้แม่... อย่างอ่อนหวาน...



ส้มผลที่สาม... หญิงอ้วนมอบให้กับแม่บังเกิดเกล้าของเธอ...
คุณแม่ก็ได้นำส้มไปคั้นเป็นน้ำส้มสด... แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้
พอตกตอนบ่ายๆ รู้สึกกระหายน้ำ... เธอหยิบน้ำส้มมาดื่ม...
แล้วก็เปรยอย่างยินดีว่า "น้ำส้มนี้ ดื่มแล้วชื่นใจดีจริงๆ"




ส้มผลที่สี่... เจ้าของร้านขายของชำซื้อไป...
เค้านำไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิดหน่อย เติมน้ำตาลทรายพอประมาณ...
ชิมรสตามชอบใจ... พอได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่...
เมื่อมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นเข้า ก็ส่งซื้อ...
"น้ำส้มคั้นแก้วนึง... เท่าไหร๋จ๊ะ?"
"12 บาท ครับ"... เจ้าของร้านเก็บตังค์และแก้วเปล่า...



ส้มผลที่ห้า... อยู่ที่พ่อค้าขายน้ำผลไม้...
เค้านำส้มเหล่านี้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เติมเกลือ และน้ำเชื่อมลงไป เยอะหน่อย...
ปรุงรสให้ได้ที่... จากนั้น นำไปกรอกใส่ขวดพลาสติก แช่เย็นจัด...
พอถึงเวลา ก็เอาขึ้นมาจัดเรียงในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น... ออกเดินเข็นขายไปเรื่อยๆ...
คนผ่านมาเห็นเข้า ก็เรียกให้หยุดรถและสั่งซื้อ... ชี้ไปที่ขวดน้ำส้มคั้น...
พร้อมถามราคาก่อนจ่าย..."เท่าไหร่จ๊ะ?"... "25 บาทครับ"



ส้มผลที่หก... อยู่ที่ร้านอาหาร บนห้างสรรพสินค้าชั้นนำ...
เจ้าของร้านนำส้มไปคั้นเป็นน้ำส้มสด...
เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วรินใส่แก้วแช่ไว้ในตู้เย็น
จนเย็นเจี๊ยบ... เป็นเกร็ดน้ำแข็งที่ละเอียดเนียนนุ่ม ซึ่งเรียกว่า "วุ้น"
ครั้นพอมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา... ฝ่ายหญิงก็สั่ง...
"ขอน้ำส้มแก้วหนึ่งค่ะ" ขณะที่ฝ่ายชายเลือกรับกาแฟร้อน....
เจ้าของร้าน นำน้ำส้มที่คั้นไว้นั้น มาเทใส่แก้วใบใหม่... เป็นแก้วทรงสูง บางใส...
มีดอกกล้วยไม้สด น่ารักๆ เสียบที่ปากแก้วด้านหนึ่ง ใกล้ๆ หลอดพลาสติก...
สาวหน้าตาน่าเอ็นดูคนนึงมาเสิร์ฟ... ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาว กระโปรงดำ คล้ายนักศึกษา...
เมื่อทั้งคู่ทานเสร็จ... เรียกเช็คบิล... น้ำส้มแก้วนี้สนนราคา 89 บาท...



ส้มผลที่เจ็ด... ไปอยู่ที่ภัตตาคารชื่อดัง แถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...
ที่นั้น มีบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง... เค้าคั้นน้ำส้ม ปรุงแต่งรสชาด แล้วเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดี...
รอเวลา... กระทั่งมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในภัตตาคาร...
แจ้งความประสงค์จะล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย...
สักพัก ฝ่ายหญิงก็ส่งเสียงหวาน... "น้องๆ ขอน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งค่ะ"...
ไม่นาน... บริกรหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ก็นำน้ำส้มคั้นมาเสิร์ฟ...
ว้าว... นำส้มคั้นในแก้วทรงสูงก้านยาว... มีน้ำแข็งหลอดก้อนเล็กๆ ...
โดดเด่นด้วยชิ้นส้มฝานบางๆ และลูกเชอรี่แดงแช้ด เสียบที่ขอบปากแก้วนั้น...
ดูหรูหรา งดงามเตะตาซะยิ่งนัก...
ครั้นเมื่อเรือล่องกลับใกล้จะเข้าเทียบท่า... บริกรมาโค้งส่งถาด... ขอเช็คบิล
ข้อมูลที่ปรากฎ... 120 บาท... คือ ราคาของน้ำส้มแก้วนั้น...



ส้มผลที่แปด... ไปอยู่ที่คลับเฮาซ์สุดหรูแห่งหนึ่ง...
ถูกปรุงเป็นน้ำส้มคั้นโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง และเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดีเช่นกัน
ในค่ำคืนนั้น มีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง
และแล้ว สาวสวยนางหนึ่งในนั้นก็สั่งขึ้น... "น้ำส้มคั้นหนึ่ง"
บริกรหนุ่มหน้าตาคมสัน มาในชุดทักซิโด้ บนฝ่ามือของเค้า คือถาดสีเงิน
แก้วน้ำส้มคั้นตั้งเด่นอยู่กลางถาด... น้ำส้มดูเข้มข้นไปด้วยเนื้อส้ม
บรรจุในแก้วทรงสูง ที่สั่งทำเป็นพิเศษ... ตรงขอบปากแก้ว
มีมะนาวฝานบางๆ เสียบอยู่ที่ปากแก้วนั้น... มีหลอดพลาสติกงอได้
บนถาดใบนั้น... มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย... 300 บาท
... ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป

ส่วนผลที่เก้า... อยู่ที่โรงแรมสุดหรู ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...
ถูกปรุงโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง ให้กลายเป็นน้ำส้มคั้น... เช่นกัน...
ค่ำคืนนี้ ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับหนุ่มสาวชาวต่างประเทศคู่หนึ่ง
ทั้งคู่มาเมืองไทยเพื่อฉลองสมรส และเลือกดินเนอร์ที่โรงแรมนี้
เพราะมีวิวทิวทัศน์รอบด้านที่สวยงาม... มีทั้งเกาะรัตนโกสินทร์ สายน้ำเจ้าพระยา...
และสะพานแขวนที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟตระการตา...
หลังจากพักผ่อนอิริยาบทสักพักหนึ่งแล้ว ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า
"Orangeade"... ขณะที่ฝ่ายชายบอกว่า... "American Expresso... please"
ไม่นาน... บริกรในชุดไทย มาเสิร์ฟกาแฟร้อน และน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง
โอมายกอด... นั่นเป็นแก้วคริสตัลอย่างดี 
ฐานแก้วและขอบปากแก้วเคลือบด้วยทอง 18 เค
เมื่อกระทบแสงไฟ จึงเห็นเป็นประกายแวววับ... สวยงามจนน่าตะลึงมอง
มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่ตรงกลางแก้วด้วย...
หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส... ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว 
ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า "ช้างเผือก" เสียบอยู่... 
ซึ่งพอถูกแสง Black Light ส่องจะเกิดเป็นสีขาวเรืองๆ ขึ้น... สวยงามไร้ที่ติ...
บริกรโค้งคำนับอย่างสุภาพ ทั้งก่อนเสริฟและหลังเสริฟ อีกหน...
ที่สุดแล้ว เมื่อพร้อมจะกลับออกไป... 
ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรว่า... "Cash please"
บริกรโค้งคำนับก่อน ที่จะเดินไปที่แคชเชียร์...
Ticket ที่ออกมา ... Orangeade 500 Baht ...

 
 
อาห์... ส้ม... ทำไมถึงได้แตกต่างกันซะมากมายนัก...
ทั้งที่อาจเป็นส้มจากต้นเดียวกัน... ช่อพวงเดียวกัน...
ดูเถิด จังหวะเวลา สถานที่ สถานการณ์... ที่แตกต่าง... 
มูลค่าของส้มหาได้ทัดเทียมกันไม่...

คงพอจะเปรียบได้กับโชควาสนาของคนเรา ด้วยกระมัง...
หลายคนรู้สึกอับโชค เหนื่อย ท้อ เบื่อ เซ็ง ทั้งเรื่องงาน ผู้คนรอบข้าง ครอบครัว...
ขณะที่ก็ยังมีอีกหลายๆ คน ที่รู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน... 
มีความสุขกับทุกสิ่งรอบกาย แม้มิได้เป็นเจ้าของสิ่งใดๆ...
 
... อืมห์ ...


อย่าให้กิเลสมันพอกพูนทับถมมากนักเลย... เพื่อนเอ๋ย
คนเรา... อยู่ได้แค่ประมาณสองหมื่นกว่าวันเท่านั้นดอกหนา
จะมีเวลาอีกสั้นหรือยาว... ก็ไม่มีใครรู้แจ้งเลยสักคน
อย่าคิดแต่จะเอา จะได้ จะมี จะเป็น... ในสิ่งที่เกินกำลังไปเลย... นะ เชื่อฉัน!!!

ขอบคุณ แหล่งที่มา... : http://atcloud.com/stories/84148
 

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16 ตุลาคม 2555 เวลา 21:34

    จริงแล้ว ส้ม เค้าอยู่ที่ไหน.เค้ายังคงรสชาติเดิม แต่มนุษย์ทำให้ ค่าของ.ส้ม.เหลื่อมล้ำกัน มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ.ตัวฉกาจ แต่จากการอ่านเรื่องนี้.ยังได้แง่คิดเพิ่มอีกว่า..มนุษย์ไม่ได้ทำลายธรรมชาติเท่านั้น ยังทำลายตัวเองอีกต่างหาก..เพราะกิเลส..แท้ๆ.ขูดๆกันบ้างนะ เผื่อจะได้บางลง..*ผู้ปรารถนาดี* ^pmp^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อืมห์... จัดการกะตัวเองยังไม่ง่ายเลย... จ้ะ
      ธรรมชาติของมนุษย์ มักเพ่งมองไปที่ผู้อื่น คาดหวังว่าคนนี้ควรต้องอย่างนี้ อย่างนั้น คนนั้นควรต้องอย่างนั้น อย่างนี้... แทบจะตลอดเวลา... น้อยคนนักที่จะตระหนักรู้ว่าควรมองย้อนเข้าไปในตัวตน สำรวจใจให้ถ่องแท้ว่าใจต้องการอะไร จะจัดการให้ดีที่สุดได้เช่นไร โดยมิเป็นบาป... อิอิ

      ลบ

เมื่ออ่านจบแล้ว เมนต์หน่อยดีมั้ย? อะไรก็ได้ที่อยากให้ฉันได้รับรู้... จากคุณ!