วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

อะไรของฉัน... แล้วไง?

มีคำพูดประโยคหนึ่งที่คุ้นๆ หู แต่หากฟังแล้วคิดวิเคราะห์ความหมายดีๆ เป็นได้ค้อนขวั่บแน่ นั่นก็คือประโยคที่ว่า..."คุณทำอะไรของคุณ?" หรือไม่ก็ "เธอทำอะไรของเธอ?"... คล้ายๆ จะชวนทะเลาะยังไงไมรู้เนอะ

หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันถูกถามข่าวคราวความเป็นไป จากผู้คนที่เคยรู้จักมักจี่ ทั้งคนที่เคยชื่นชอบและ/หรือ(อาจ)ชิงชัง ว่าไปนั่น... อ้าว ก็มันจริงนี่นา... ยังไงก็ขอขอบคุณนักแล ที่ยังสนอกสนใจฉันอยู่แม้จะจงใจหลุดพ้นจากวงจรไปได้นานแล้ว... เรื่องของฉันมันเกี่ยวอะไรกะพวกเขานัก ไอ้ฉันก็ไม่ได้อยากจะรู้เล้ยยยย...

โธ่! ที่ถามๆ เนี่ย เป็นเพราะอยากรู้จริงหรือว่า "วันๆ ฉันทำอะไร?"


อืมห์... เนาะ... คนอย่างฉันจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ยังไง...ฯลฯ ถ้าได้รับรู้แล้วจะเป็นสุข ๆ มากกว่าเดิมหรือเปล่าน้อ? หรือว่ามันจะเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของใครคนไหนหรือไม่ เพียงใด? ฉันไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ บอกตรงๆ... แล่วกันดิ... อิอิ

ไม่ว่าจะถามด้วยความอิจฉาที่เข้าใจไปเองว่าฉันแสนสบายไม่ต้องดิ้นรนทำงานตัวเป็นเกลียวหัวฟู น่องทู่หูตาเหลือกลาน ซี่โครงบาน (เหมือนเมื่อก่อนหรือเหมือนหลายๆ คนในตอนนี้ อุ๊ปส์!)... ไม่ว่าจะถามด้วยความห่วงใยเกรงว่าฉันจะเฉาเศร้าหดหู่อ้างว้างจนฟุ้งซ่านเพราะขาดเพื่อนซี้... ไม่มีซะหละ... ถ้าใครคิดแบบแรกก็ออกตามมาเลยดิ และถ้าใครคิดแบบหลังก็จงทนอยู่ต่อไปเหอะ... เล่นไม่ยาก... หุหุ


คำตอบของคำถามก็เหมือนเดิมแหละ คือฉันยังมีความเป็นอยู่ปกติดี ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ทุกข์เดือดร้อน พอใจมั้ย? ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่สิ ไม่ท้าพิสูจน์หรอกนะ ขี้เกียจเลี้ยงดูปูเสื่อเพราะฉันเหลือบำนาญแค่พอดีกิน เข้าใจบ้างซี... ครั้นจะยอมให้หิ้วฉันออกไปเลี้ยงก็ดูจะไม่เข้าท่า ฉันไม่ใช่เพื่อนกินนะ ไม่เอาอะ เด๋วอ้วน... ขี้เกียจต้องไปกัดฟันรีดน้ำหนัก ถ้าไม่ลงง่ายๆ ปวดเข่าแย่รุย...

เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แระ... อุตส่าห์หลุดเข้ามาเสพอักษรของฉันได้กะเค้าสักครั้ง เด๋วจะว่าไร้สาระเกิ๊น... อีกหน่อยจะมีใครแวะเข้ามาล่ะ?... อย่ากระนั้นเลย... เก็บเกี่ยวความประทับใจจากเรื่องเล่าดีๆ ไปซักหน่อยก็แล้วกัน ฉันอ่านเจอจากเว็บอื่น มันโดนใจซะจนอดไม่ได้ที่จะจิ๊กมาเล่าต่อในสไตล์ของฉัน... เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า


พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อทำสวนผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบ เขาเป็นเด็กดีมีมารยาท เรียนเก่งจนเป็นที่รักของครู เพื่อนๆ และผู้คนทั่วไป

เย็นวันหนึ่ง พ่อเห็นลูกกลับมาบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธแค้นใครมา จึงคุยกันอย่างเปิดอก

"ลูกรัก วันนี้ดูหน้าตาไม่แฮบปี้นะ เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า" พ่อเริ่มอย่างไม่อ้อมค้อม ฝ่ายลูกชายนั้นเดิมทีไม่อยากกวนใจพ่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเข้าใจดีว่าพ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว แต่เมื่อพ่อเปิดประเด็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องเล่าความจริงทั้งหมด...


"เพื่อนใหม่คนหนึ่งครับพ่อ เป็นลูกคนรวยแต่นิสัยแย่ เมื่อผมสอบได้คะแนนดีและครูชม เขาเลยเกลียดขี้หน้าผม มักพูดถากถางและกลั่นแกล้งอยู่เรื่อย" ระบายให้พ่อฟังอย่างอัดอั้น

"แล้วลูกทำอย่างไร" พ่อถาม

"ผมพยายามไม่สนใจแต่เขาเล่นไม่เลิก สักวันหนึ่งผมคงทนไม่ไหว อาจจะเสยปลายคางสักหมัดเรียกเลือดชั่วกบปากมอมๆ จะได้หายซ่า" กล่าวจบค่อยได้คิดว่าเผลอโหดมีสิทธิ์โดนพ่อโกรธชัวร์... ก็ที่ผ่านมาพ่อพร่ำสอนเสมอว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ให้พาลหาเรื่องใครๆ ... แต่คราวนี้พ่อกลับนิ่ง...

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมอยากให้เขารู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง" ลูกพ่นไฟอีกชุดใหญ่... พ่อมองหน้าลูกแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันเหความสนใจ

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้พ่อมีของขวัญพิเศษจะให้ลูก" ฟังไอเดียแปลกใหม่ของพ่อด้วยสีหน้างงๆ แต่ก็ลิงโลดใจเป็นอันมาก เริ่มนับถอยหลังให้วันเกิดมาถึงเร็วๆ ทีเถิ้ดดด...


เอาเข้าจริงๆ ในวันเกิด พ่อก็มอบของขวัญให้ลูกชายตามสัญญา... เป็นกล่องกระดาษ 2 กล่อง กล่องหนึ่งสีขาวและอีกกล่องหนึ่งสีดำ

"พ่อครับ ให้ของขวัญผมแค่ชิ้นเดียวก็พอ ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองให้สองชื้น" จนแต่เจียมนะเนี่ย

"ลูกรัก พ่อตั้งใจจัดเต็มให้ลูกน่ะ รับไปเถิด" พ่อยืนกราน... ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อพร้อมกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะลงมือแกะของขวัญด้วยใจระทึก กล่องสีขาวถูกแกะเป็นลำดับแรก แต่กลับไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย... เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงถาม พ่อกลับพยักพเยิดให้เปิดกล่องที่เหลือแทนคำตอบ เขาจึงคว้ากล่องสีดำมาแกะด้วยมือสั่นๆ แต่แล้ว ก็พบเพียงความว่างเปล่าอีกเช่นกัน จะมีแปลกก็ตรงที่มีรูขนาดใหญ่ตรงก้นกล่องเท่านั้น... ว้าาา!...

"พ่อครับ ในกล่องทั้งสองไม่มีอะไรเลยนี่ครับ" ลูกชายเอ่ยกับพ่ออย่างผิดหวัง 'พ่อต้องลืมใส่ของลงไปในกล่องสีขาวแน่ๆ หรือไม่อีกที ของนั้นอาจร่วงไปจากรูรั่วก้นกล่องดำแล้วก็เป็นได้'... เด็กน้อยคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ... ในขณะที่พ่อยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกแล้วพูดขึ้นว่า

"พ่อหาของขวัญให้ลูกได้แค่กล่องสองใบนี้ แต่ของขวัญล้ำค่าที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ฉะนั้น นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้จิตใจเป็นสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ อะไรก็ตามที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ โกรธแค้น ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ ทำเช่นนี้เป็นประจำไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจความคิดอ่านและแผนการของพ่อ แต่เด็กน้อยก็ทำตามที่พ่อบอกทุกอย่าง... เขาเขียนบันทึกหย่อนลงในกล่องทั้งสองทุกวัน โดยมีสายตาของพ่อจับจ้องพฤติกรรมอยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก... เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนโครมและรีบร้อนจะออกจากบ้านไปอีกครั้ง หากว่าพ่อไม่รวบตัวเอาไว้เสียก่อน "เกิดอะไรขึ้น ลูกรัก" พ่อกอดเขาไว้แนบอกแล้วถามอย่างอ่อนโยน

"ผมจะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้ เอาให้มันเข็ดจนวันตายที่บังอาจมาดูถูกพ่อว่ายากจนต่ำต้อย แถมยังขโมยหนังสือของผมไปทิ้งถังขยะด้วย" เขากราดเกรี้ยวใส่หูพ่อ... ยามนั้น พ่อมิได้ขุ่นเคืองใจเฉกเช่นลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า

"วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุขและทุกข์ใส่กล่องสองใบนั้นหรือยัง"
"ผมจะไปจัดการไอ้หมอนั่นก่อน ให้รู้กันไปเลยว่าเราจะไม่ยอมให้มันดูถูกเราได้อีก" ลูกประกาศกร้าว
"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเข้ม "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ ฮื่ยส์!... ความที่ไม่เคยดื้อแพ่งมาก่อน จึงพยายามข่มใจระงับอารมณ์โกรธลงชั่วขณะแล้วทำตามที่พ่อต้องการ... หลังจากหย่อนกระดาษสุข-ทุกข์ลงในกล่องขาว-ดำเรียบร้อยแล้ว พ่อจึงบอกให้ลูกยกกล่องสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ไม่คิดเลยว่าจะหนักซะขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง พ่อยิ้มกว้างแล้วบอกให้ลูกไปยกกล่องดำมาวางใกล้กัน

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่าครับ เพราะผมใส่เรื่องไม่ดีของไอ้งี่เง่าคนนั้นเอาไว้เยอะเลย"

แต่ในทันทีที่ยกกล่องสีดำขึ้น เศษกระดาษมากมายก็ร่วงพรูออกมาจากรูรั่วที่ก้นกล่องจนเกลี้ยง ส่งผลให้กล่องดำเบาหวิวในพริบตา... ลูกชายตกใจหันไปมองหน้าพ่อแล้วพูดขึ้นว่า

"ผมลืมไปว่ากล่องดำมีรูรั่วรูใหญ่ เดี๋ยวผมจะปิดรูก่อนแล้วเก็บกระดาษพวกนี้ใส่เข้าไปใหม่นะครับ" พ่อหัวเราะร่าพลางส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่า

"ไม่ต้องหรอกลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ลูกจงหยิบไม้กวาดมากวาดมันทิ้งเสีย นั่นทำให้กล่องแห่งความทุกข์ของลูกว่างเปล่าเท่ากับได้ขจัดความขุ่นข้องหมองใจไปสิ้น ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวดีๆ ให้ลูกได้เบิกบานใจตลอดไป" เด็กชายอึ้งกับบทเรียนนอกหลักสูตรที่พ่อถ่ายทอดให้... บัดนี้เขาเก็ตแล้วในความหมายของกล่องสองใบ! ของขวัญล้ำค่าจากพ่อ... ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนใหม่จางหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้... หัวใจดวงน้อยผ่อนคลายเบาสบาย ไม่บีบรัดอัดแน่นเหมือนเมื่อครู่...

อาห์... เพราะกล่องแห่งความทุกข์มันว่างเปล่าแล้วนั่นเอง!


หวังว่าจะได้สาระไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขกันนะจ๊ะ นะ... ทิ้งๆ ไปเหอะไอ้เจ้าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ... อิ่มเอมแต่กับความสุขความพอใจในวิถีที่เรียบง่ายและพอเพียงเถิด... สาธุ
 

(ขอขอบคุณต้นเรื่องจาก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เมื่ออ่านจบแล้ว เมนต์หน่อยดีมั้ย? อะไรก็ได้ที่อยากให้ฉันได้รับรู้... จากคุณ!