วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

วันนี้เมื่อก่อนนู้น


ผ่านไปอีกรอบแล้วสินะ "วันเด็ก" วันที่น้องๆ หนูๆ หลายคนจากหลายครอบครัวรู้สึกเป็นสุข อิ่มเอม สนุกสนาน เหน็ดเหนื่อยและง่วงนอนมากมายหลังจากตะลอนไปทั่วหัวระแหง เท่าที่จะอดทนเดินลากขาเที่ยวชมงานหลายแห่ง... วันที่มักเวียนวนมาบรรจบตรงหรือเกือบตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฉันอยู่ร่ำไป เฮ้อ!... หากแต่ถัดมาวันรุ่งขึ้น 12 มกราคม 2557... มันคือวันโลกาวินาศหรือยังไงนะ ถึงได้รับแต่ข่าวร้ายกระหน่ำหูตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยทีเดียว นั่นก็คือข่าวการจากไปของพ่อเพื่อนที่โคราช พ่อเพื่อนที่ระนอง และยังเพื่อนรุ่นพี่ที่กระทรวงอีกราย โอ เศร้าสุดๆ เลยฉัน...

R.I.P.


บอก ตรงๆ ว่าฉันไม่ชอบวันนี้เลยจริงๆ ด้วยยังคงจดจำการจากไปของพ่อได้ดี ภาพสุดท้ายของพ่อติดตาอยู่เสมอราวกับว่าพ่อยังคงนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงเฉก เช่นทุกครั้งที่แวะเวียนไปดูแล ทั้งเช้าเที่ยงบ่ายและหัวค่ำของทุกๆ วัน เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มในห้องไอซียูศัลยกรรมของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็น ที่ทำงานของฉันเอง... รูปกายที่สูงใหญ่ของพ่อ นอนราบลงในเตียงคนไข้ได้พอดี แทบไม่เหลือที่ว่างหัวเตียงปลายเตียง... ผมของพ่อสีขาวเทาดกเต็มรูปศีรษะทุย คิ้วหนาเป็นปื้น หนวดและเคราดกเป็นแนวครึ้มจนต้องโกนให้ทุกเช้า... วันไหนรีบมากหากต้องออกเยี่ยมบ้านในชุมชนแต่เช้า ก็จะโกนหนวดเคราให้พ่อได้แค่ซีกเดียวก่อน กะว่าตอนบ่ายๆ กลับมาถึงค่อยแว่บมาพลิกตะแคงตัวแล้วโกนอีกซีกที่เหลือให้... เอาเข้าจริง น้องๆ พยาบาลก็ช่วยจัดการให้เสร็จสรรพ ดูสะอาดเอี่ยมอ่องเรี่ยมเร๊เรไรทุกวี่วัน แถมพากันชมเปาะว่าอากงช่างหล่อไม่เกรงใจใคร แม้จะอายุ 91 ปี ก็ยังคมเข้มชวนมอง... พ่อใครน้า?


11 มกราคม 2550 ฉันตั้งใจไปเยี่ยมพ่อเช้ากว่าปกติ ก่อนถึงเวลาเปิดให้ญาติรายอื่นๆ เข้าเยี่ยมได้... ทันทีที่ฉันปรากฎตัวตรงหน้าประตูด้วยจิตใจที่ห่วงใยจนสุดบรรยาย ยังมิทันได้เอื้อมมือแตะหรือเคาะประตู ก็มีคนจากข้างในเปิดประตูให้ซะก่อน ใครคนนั้นคงทันได้เห็นหยาดน้ำรื้นที่เอ่อทะลักล้นขอบตาพอดี... ฉันพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วปรี่ไปยังเตียงที่พ่อนอนอยู่อย่างรวดเร็ว ประคองมืออุ่นๆ ของพ่อให้วางทาบลงบนกะหม่อมของตัวเอง หลับตาลงและปล่อยให้สายน้ำไหลรินอาบสองแก้มพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ อย่างสุดกลั้น... คำพูดที่ไม่สามารถหลุดจากปากได้ตอนนั้น... พ่อจ๋า วันนี้ ช่วยอวยพรวันเกิดให้หนูหลีของพ่อเข้มแข็งด้วยนะจ๊ะ และได้โปรดอย่าเพิ่ง ทิ้งหนูไป...


ด้วยความรับผิดชอบในโครงการที่มีแต่ผู้คนปฏิเสธ... จำต้องเช็ดน้ำตาและกล้ำกลืนความห่วงใย ปรับสีหน้าให้ปกติแล้วเดินกลับออกไปยังตึกใหญ่เพื่อเริ่มงาน สมาธิทั้งมวลมุ่งมั่นจรดจ่อเพื่อมิให้มีข้อผิดพลาด อีกไม่เท่าไหร่แล้วสินะที่ภาระในมือจะเสร็จสิ้นเสียที ฉันเตรียมร่างเอกสารประเมินผลไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเดินไปเก็บข้อมูลสำคัญจากแหล่งอ้างอิงต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์และรวบรวมสรุป เติมเต็มไปเรื่อยๆ คงจะสมบูรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้ จากนั้น จะได้ขอลาพักร้อนดูแลพ่อจริงๆ จังๆ สักหน่อย...

วันถัดมา ฉันทำงานตามปกติ วางใจว่าพี่สาวเฝ้าพ่ออยู่มิห่าง... วันนั้นเดินประสานงานจนขาลากจากตึกนี้ชั้นนี้ ไปอีกหลายตึกและหลายชั้น... การทำงานกับผู้คนระดับหัวกะทินี่มันช่างไม่ง่ายเลยพับผ่าซี... นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือด้วย ฮื่ยส์!... มิน่า ถึงไม่มีใครสักคนยอมรับผิดชอบต่อโครงการนี้ แม้จะมีบทบาทหรือวัยวุฒิ-คุณวุฒิเหนือกว่าฉันก็ตาม... จะมีก็แต่ 'ผู้ใหญ่' ที่คอยแต่จะเรียกไปซักไซ้ไล่เรียงเอาความคืบหน้าจากฉันเป็นระยะๆ เท่านั้น... เฮ้อ!

ตื๊ดๆๆๆๆๆ... มือถือสั่นพรึ่ดๆ ในกระเป๋า พอควักออกมาก็เห็นชื่อพี่สาวหรา!

"คุณหมอขอพบญาติด่วน ที่องค์กรแพทย์ ชั้น 7 " พี่สาวพูดเสียงเครือ ทำเอาใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม รอบกายคล้ายจะหมุนคว้างในบัดดล ไม่นะ อย่าเพิ่งวูบตอนนี้สิ... หนูหลี

"จ้ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย" ฉันพูดสั้นๆ กับพี่สาวที่ทิ้งครอบครัวมาอยู่เป็นกำลังใจให้ฉันและคอยดูแลพ่อด้วยกันตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา... ก่อนจะออกเดินแกมวิ่งไปยังที่หมาย ลืมไปเลยว่าตัวเองเคยลื่นล้มเข่าหักและกลัวพื้นหินขัดอย่างที่สุด... เมื่อไปถึงที่หมาย คุณหมอเจ้าของไข้มองหน้าตาตื่นๆ ไร้สีสันของฉันนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า 'ให้ทำใจ' ฉันอึ้งไปนานเท่าไรไม่รู้ หูก็ไม่ได้ยินว่าคำอธิบายอื่นๆ มีอะไรอีกบ้าง... ตอนนั้นในหัวของฉันอึงอลไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จะขอคำตอบจากใคร...พ่อหลับสบายอยู่ดีๆ มิใช่หรือ ไออุ่นจากมือของพ่อที่วางบนหัวเมื่อวานยังไม่จางไปเลยนี่นา... เกิดอะไรขึ้น? ทำไม?


ผ้าเช็ดหน้านุ่มๆ ที่ยื่นมาซับน้ำตาเรียกสติของฉันคืนมา... ก่อนจะโผเข้าหาอ้อมอกที่คุ้นเคยซึ่งไม่รู้ว่ามาอยู่นี่ได้ยังไงตั้งแต่ตอนไหน... "ไปหาพ่อกันเถอะ" พี่ชายเอ่ยปากชวนพร้อมกับจูงมือให้ก้าวตามไปช้าๆ คงรู้ดีว่ายามนั้นฉันมองไม่เห็นทางเดินหรอก เพราะน้ำตาไหลพรากออกอย่างงั้นใช่ว่าจะหยุดมันลงได้ง่ายๆ... "พี่มีคนไข้รอตรวจอีกหลายคน คืนนี้อยู่เวรใน ถ้ามีอะไรก็โทรหานะ" เขาส่งฉันถึงมือพี่สาวชิดขอบเตียงของพ่อ แล้วขอตัวไปทำงานต่อ... วิชาชีพของพวกเรายังไงซะหน้าที่ต้องสำคัญและมาก่อนเสมอ ละทิ้งไม่ได้...

สองคนพี่น้องเรา ได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดีจึงมีโอกาสอยู่กับพ่ออย่างใกล้ชิดเต็มที่ มือหนึ่งเกาะกุมมือของพ่อไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งวาดแขนโอบกอดพ่อแทนคำพูดว่ารักหมดดวงใจ... พ่อจ๋า... ทูนหัวของลูก หลับให้สบายนะจ๊ะ... หนูรักพ่อและจะมีพ่ออยู่ในใจตลอดไปจ้ะ


นับแต่พ่อจากไปแล้ว ช่วงหลังปีใหม่ทีไร ความรู้สึกเศร้ามันรุมเร้าในใจยากจะอธิบาย... หลายคนถึงกับออกปากว่าทำไมดูหม่นหมองนัก... ก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันจบไปแล้ว แต่ความรู้สึกสูญเสียมันยังฉายชัดอยู่ในใจ จะต้องลบด้วยอะไรก็ไม่รู้ซีนะ... หรือถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่อยากให้มีวันที่ 12 มกราคม เลย... ให้ตายซี!



3 ความคิดเห็น:

  1. เกิดแก่ เจ็บตาย หลีกหนีไม่พ้น
    เสียใจด้วยครับคุณหนูหลี สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำบุญ และตรวจน้ำไปให้ท่านครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12 มกราคม 2557 เวลา 18:41

    อ่านแล้วซึมเลย และรับรู้ถึงความรู้สึกสูญเสียเช่นเดียวกัน
    มันแปลกนะสิบกว่าปีมาแล้วภาพก็ยังติดตาอยู่เหมือนเดิม คงเหมือนกับเจ็ดปีของผู้เขียนและคิดว่าไม่น่ามีอะไรมาลบได้เพราะเป็นความผูกพัน
    หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเถอะนะ เป็นสิ่งที่อาจช่วยคลายความคิดถึงได้บ้าง / ขอให้มีความสบายใจกับสิ่งที่ทำอยู่นะ คนดี
    miz u

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ13 มกราคม 2557 เวลา 19:40

    สังขารทั้งหลายมีความสิ้นสลายเป็นธรรมดา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้
    จากกันแบบนี้เป็นสัจจธรรมจริงๆ ธรรมะช่วยบรรเทาเรื่องจิตใจได้ดีทีเดียว
    แต่การจากกันทั้งยังมีลมหายใจ การเอาชนะใจตนเอง หรือการไม่ยึดติด
    ตามที่นักปราชญ์แนะนำไว้ ถ้าทำได้ทุกเรื่องคงดีสินะ ยัง ยัง ฉันไม่ได้เป็นอริยะ..นะ

    ตอบลบ

เมื่ออ่านจบแล้ว เมนต์หน่อยดีมั้ย? อะไรก็ได้ที่อยากให้ฉันได้รับรู้... จากคุณ!