“ผมไม่เข้าใจ และไม่ต้องการจะมานั่งแก้ไขอดีตวัยเด็กของลินดา” แมน ผู้เป็นสามี กล่าวขึ้นอย่างเหลืออด... “ผมรู้ดีว่าตอนเด็กๆ เธอเคยถูกทอดทิ้ง แต่ผมไม่ใช่พ่อแม่ของเธอนะครับ แล้วเธอก็ต้องหยุดไม่ไว้ใจผมเสียที”
“ฉันก็ไม่ต้องการเป็นลูกตุ้มคอยถ่วงอยู่ตลอดเวลาหรอก เพราะคุณคงช่วยแก้ไขอดีตที่เลวร้ายของฉันไม่ได้” ลินดาโต้ตอบออกไป “คุณไม่สนใจฉันเลย ชอบทิ้งฉันเสมอเวลาที่อยู่กลางผู้คนในวงสนทนา” เธอพร่างพรูความรู้สึก ด้วยน้ำตาคลอเบ้า...
ทั้งคู่ต่างก็พูดถูก... แมนไม่สามารถแก้ไขอดีตของลินดาได้ แต่ก็น่าจะช่วยลดอาการหวั่นวิตกหรือหวาดกลัวการถูกทอดทิ้งของลินดาได้บ้าง ถึงแม้ว่าอาการของเธอจะมาจากความฝังใจในอดีตซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันเลยก็ตาม... อารมณ์อ่อนไหวต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากความฝังใจเก่าๆ นั้น แม้จะแก้ไขยาก แต่ก็พอทำได้... โดยการทำการบำบัดส่วนตัว ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย และอาจสำเร็จแค่บางส่วนเท่านั้น... ตาราจิตวิทยาว่าไว้...
“ลินดาคะ คุณต้องทำความเข้าใจอารมณ์อ่อนไหวกลัวการถูกทอดทิ้งของตัวเองให้ได้นะคะ ต้องพยายามหยุดมัน” หมอบอกกับฝ่ายหญิง ก่อนจะหันไปที่อีกฝ่าย... “ส่วนคุณ… แมน… คุณสามารถช่วยให้ลินดาเปลี่ยนตัวเองได้สำเร็จ ให้เธอรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงในอารมณ์ยิ่งขึ้น... คุณทำมันได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกเธอควบคุม” แมนรับฟังเงียบๆ... ในใจคิดว่าจะลองทำดู (ก็ได้ฟระ)
“มีอะไรไหมที่คิดว่าถ้าแมนทำแล้ว จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยขึ้น?” หมอถามเธอตรงๆ
“เขาต้องสนใจฉันมากกว่านี้” คือคำตอบจากใจจริงของผู้เป็นภรรยา ฟังดูมันกว้างเกินไป... หมอจึงค่อยๆ ตะล่อม พูดคุยกันอีกพักใหญ่... ในที่สุด ลินดาก็เปิดใจว่าเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ในวงเพื่อนฝูงหรือในงานปาร์ตี้อะไรสักแห่ง มันจะช่วยเธอได้มากเลยถ้าแมนแตะต้องเธอเป็นครั้งคราว อาจแตะที่แขน หรือไหล่ เพื่อให้รับรู้ว่าถึงแม้เขากำลังสนทนากับคนอื่นอย่างออกรสชาด เขาก็ไม่ได้ลืมเธอ... ลินดาและแมนตกลงกันได้ว่า นับแต่นี้ต่อไป ทั้งคู่จะส่งสันญาณลับต่อกันเสมอๆ... เธอจะบีบมือสามีเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าเริ่มไม่มีตัวตนสำหรับเขา แล้วแมนก็จะพยายามนำเธอเข้าสู่วงสนทนา ชวนเธอคุยกับคนในกลุ่มให้มากขึ้น... อืมห์... เทคนิคนี้ น่าสนใจทีเดียวแฮะ...
หรือบางครั้ง เจอปัญหาว่าปฏิเสธคนอื่นไม่เป็นเลย... เช่นนี้ อาจจะช่วยด้วยการเตือนสติให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนตกปากรับคำใคร... แล้วให้รางวัล... ทำให้รู้ไปเลยว่า “เขา” จะไม่เสียใจเลยที่ปฏิเสธคำขอร้องของคนอื่น
ลงตัว
ตอบลบฮะ... หา... ?!?... ยังงัยหรา?
ลบทั้งเขาและเธอ ต้องวาง "ทิฐิ"ลง แล้วหันหน้าเข้าหากันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ถามไถ่กันอย่างให้เกียรติกันและกัน ชีวิตคูจะไม่มีวันพรากจากกันแน่นอนแน่นอน
ตอบลบรักเอย รักนั้นงดงาม บริสุทธิ์ อ่อนหวาน ไม่ไชความผิดของความรักหรอกจะบอกให้
ผิดที่ใจอันมากด้วย"ทิฐิ" ของทั้งคู่ต่างหาก อย่าให้มี "ปราการแห่งทฺิฐิ" มากางกั้นแค่นั้นพอ
แน่ใจ๋?... ว่ากันตามจริงแล้ว ใช่เพียงทิฐิเท่านั้นดอกหนา ที่ทำลายชีวิตคู่... ยังมีสงครามเอย... ความเจ็บป่วยงี้... มือที่สาม สี่ ห้า ฯลฯ ก็ใช่... ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ก็มีส่วน... กรรม!... สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงหนอ... จริงๆ เล้ย... เง้อๆ...
ลบอ่านละเอียดแล้วครับ ได้อรรถรสครบมูล ครับถ้ามีการเปิดอกคุยกันดีๆ หาข้อยุติให้ลงตัว ทุกอย่างก็ไม่เป็นอุปสรรคหรอกครับ ถ้าพร้อมที่จะช่วยกันแก้ไข ถ้าเอาแต่ใจตนเองก็เรียบร้อยแยกทางกันแน่ครับๆ
ตอบลบคุณ... ได้เทคนิคอะไรไปใช้ประโยชน์บ้างหรือเปล่าน้อ... ฝุ่นดิน...
ลบดีมากเลยค่ะยาย วิธีแก้ปัญหาและช่วยประคองชีวิตคู่ที่ดีที่สุดคือการพูดคุยและการเข้าใจซึ่งกันและกันค่ะ
ตอบลบจ้า... เก็ตแระ... ต่อไปคงมิมีปัญหาใดๆ เนอะ... นู๋นัท... :)
ลบเรื่องความรักของครอบคัวนั้นผู้ที่จะแนะนำแนวทางได้ดี คงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงเพราะเขาจะมีเกร็ดต่างๆ หรือวิธีการที่จะทำให้ครอบครัวเป็นสุข ซึ่งบางอย่างบางคู่อาจมองข้ามไป อย่าละเลย เลยนะไม่ต้องอายที่จะทำ(ฐิถิ)จากการอ่านเรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เก็บอะไรหลายอย่างเพื่อจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเอาไปใช้ในการครองคู่ให้ยาวนานอย่างที่เขาปรารถนากัน เพราะความรักนั้นมิได้มีแต่สามี ภรรยา เท่านั้น การใส่ใจ การเข้าใจซึ่งกันและกันกับเพื่อนมนุษย์.มันทำให้เรามีความสุขได้..นิรันดร์
ตอบลบขอขอบพระคุณผู้เขียนที่ใจดีได้นำสิ่งดีๆมาแชร์ ^pmp^
อย่าเลย... นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์... พวกเค้าก็ปุถุชนอย่างเราๆ นี่แหละ... บางคนก็โดนมรสุมชีวิตกระหน่ำครอบครัวตัวเองเหมือนกัน... เห่อๆๆ
ลบได้ข้อคิดดีๆ ก็สรุปแล้วทำชี้ตแจกเพิ่ลๆ บ้างเน้อ... อิอิ
"รู้ดีนักแก".."เคยละหรอ".."พูดยังกะเคยมี." "ตรูอยากให้เมิงมีมั่ง
ลบจะได้รู้" " แม๋ๆ ยัยศิราณีประจำรุ่น" และถ้าเอาชี้ตไปแจกอีก คงได้ฟังคำพูดขำๆ ให้ได้หัวเราะกันครืน ไงก็คงเมมโมรี่ไว้..และนำไปใช้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะมีแต่ทฤษฎี แต่ไม่ผ่านภาคปฏิบติก็ตาม กร๊ากส์
เล่าให้ผู้เขียนฟังเล่นๆค่ะ แต่ที่เล่าน่ะเรื่องจริงทั้งหมด ขอยืนยันค่ะ
จะคอยเก็บเกร็ดต่างๆต่อไป.. ขอบพระคุณค่ะ /kon.chon
ฮ่าๆๆ... เอิ๊กส์...
ลบเป็นกรรมลิขิต..หากชีวิตคู่มิได้เร่ิมต้น จากการได้ศึกษากันและกัน ก่อนจะได้มาอาศัยชีวิตคู่ร่วมกัน ย่อมมีแต่เร่ืองท่ี่ต้องใช้ความพยายาม ในการจะอยู่ร่วมกันให้จงได้ เฮ้อ!!! คงต้องเร่ิมต้นเหมือนก่อนแต่งงาน ศึกษา ปรับตัว หากไปไม่ไหว ก็ช่างหัวมันแล้ว กรรมถูกลิขิต...
ตอบลบอูย... บางคู่นะ อยู่กินก่อนแต่งเพื่อศึกษานิสัยใจคอซะตั้งนานหลายนาน... ที่สุดก็ไปมะรอด... อาจเพราะฝืนตัวเองต่อไปไม่ไหว หรืออาจเพราะไม่สามารถมองข้ามข้อด้อยของอีกฝ่ายได้... คิดว่าตัวเองดีที่สุด-ไม่เหมาะกะคนพรรค์นี้ต่อไปแระ... ๕๕+ เหมือนพระเจ้าเล่นตลกกะชีวิตคู่... เง้อ...
ลบ