นับว่าฉันได้รู้จักคุ้นเคยชายคนหนึ่ง คนนี้ มากกว่าใครๆ... นานเกินครึ่งชีวิตเลยทีเดียวเชียว…
เรารู้จักกันในที่ทำงาน... พอเรียนจบปุ๊บ เขาก็รีบเดินทางไปรายงานตัว เข้าที่พักและทำความรู้จักคุ้นเคยกับบุคคล สถานที่และภาระงาน ก่อนกำหนดเป็นเดือน... ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขา พากันไปพักผ่อนคลายเครียด... และฉัน อยู่ที่นั่น...
ค่ำวันหนึ่ง... เขาขี่จักรยานผ่านไปแถวๆ หลังหอพักของฉัน แล้วคงได้ยินเสียงกีตาร์… เขาหยุด และมองหาที่มาของเสียง เพื่อนๆ ของฉันที่พากันยืนชมตะวันอยู่ริมระเบียงเห็นเข้า ก็ร้องบอกไปว่า มีคนนั่งเล่นกีตาร์อยู่บนหลังคาโน่น... เขาแหงนคอมองตามมือชี้ คงเห็นเพียงผมยาวที่ปลิวตามแรงลมเท่านั้น...
วันแรกของการเริ่มงาน... ทุกคนมาเช้ากว่าปกติ... รายล้อมอาจารย์... ฟังและจดๆ เร็วเท่าที่สามารถ... พวกเราทำงานกับชีวิต ความรู้สึกและสายตาทุกคู่เฝ้าจับจ้อง... ต่างก็ระวังตัวกันทุกย่างก้าว... ให้เกียรติผู้ป่วยเสมอ... ต้องอธิบายให้เป็นที่เข้าใจก่อนทุกครั้ง... อาจารย์ช่างย้ำนักย้ำหนาทุกทีไป... เช้านั้น ฉันเจอแจ็คพ็อต ได้รับมอบหน้าที่ให้เจาะเลือดก่อนใคร... ต้องกล้าๆ ไว้... ทั้งที่ใจเต้นรัวราวกลองเพล... เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ก็ถือไปที่เตียง พยายามพูดให้คนไข้เข้าใจ แต่กลับถูกซักไซ้ไร่เรียงเสียจนแทบหมดปัญญาตอบ... พอดี “เขา” เดินเข้ามา ช่วยอธิบายสั้นๆ ได้ใจความ ปัญหายุติลงได้โดยไว... ขอบคุณจังเลยแหละ... แว่บแรกที่เห็นเขา ฉันรู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน... แต่คิดไม่ออก... ส่วนเขา... บอกฉันภายหลังว่าตอนเจอกันวันนั้น เขาเห็นว่าฉันช่างไม่เป็นประสา... หนอยๆ...
วัน-เวลาผ่านไปเรื่อยๆ... ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่หาได้ทักทายพูดคุยไม่... ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองง่วนไป... วันแล้ววันเล่า... ฉันมีบทบาทเป็นหัวหน้าทีม... ปกติผู้นำมักจะได้รับมอบหมายภาระงานที่ไม่หนักมาก เพราะจะต้องบริหารทีมงานและช่วยเหลือลูกทีมทุกอย่าง แต่ช่วงนั้น... มันไม่ได้ปกติเลย... งานของฉันหนักกว่าใคร... ไม่มีใครช่วยได้... เหนื่อยสุดๆ... แต่ละวัน ฉันแทบหมดแรงเดินกลับหอ!
ครั้นพอถึงวันหยุด... เพื่อนๆ ต่างพากันออกไปดูหนัง ไปเดินห้าง ซื้อของกินของใช้... แต่ฉันแบกกีตาร์ไปเรียน... โรงเรียนดนตรีอยู่ข้างๆ ห้างสรรพสินค้านั่นเอง... พอเรียนเสร็จก็กลับเข้าหอเลย... มุ่งมั่นซ้อมเองบนหลังคาเช่นเคย... หารู้ไม่ว่า... มีเขามองอยู่... ชีวิตวัยเรียน... ฉันไม่มีเพื่อนชายเป็นพิเศษเหมือนเพื่อนๆ ไม่มีจดหมายหวานแหวว... ไม่มีชายหนุ่มมาขอพบที่โดมห้องรับแขก... ไม่มีแม้กระทั่งญาติมาเยี่ยม... นอกจากการอ่านตำราเรียนและนิยายแล้ว ฉันก็มีเพียงกีตาร์คู่ใจเท่านั้น... เพื่อนๆ หลายคนมีแฟนแล้ว... บางคนคบหาพร้อมๆ กันหลายราย แต่ก็ไม่ได้ปักใจรักจริงจัง... อ่ะ อ้าว... เพื่อนบางคนเคยอกหักมาแล้วหลายครั้ง... บางคนเข็ดขยาดกับความรักก็มี... ฉันได้แต่สังเกตความรู้สึกรักของเพื่อนๆ แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เสียใจกับความรักอย่างพวกเค้า... ฉันจะรักด้วยสมอง ไม่ใช่รักด้วยหัวใจ... จดบันทึกไว้ด้วยเลย... กันลืม... ฮ่าๆๆ...
สามีของฉันเป็นผู้ชายที่สุขุม เขาเป็นคนเก่ง คิดและวางแผนได้แยบยลก่อนลงมือทำเสมอ จึงมักประสบความสำเร็จในแทบทุกเรื่อง... ผิดกับฉันที่ออกจะกันเอง ซุ่มซ่ามหน่อยๆ แถมชอบลืมโน่นนี่ประจำ ที่แย่ที่สุด คือ ฉันขี้กลัวไปหมด... จึงเหมาะที่จะหลบอยู่ข้างๆ ค่อนไปด้านหลังของเขา ตลอดมาและตลอดไป อิอิ... ก็เคยสงสัยอยู่ครามครันว่าเขาแต่งงานกับฉันทำไม? ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน ฉันโดนรบเร้าถามอยู่นั่นแหละ "เมื่อไหร่จะแต่งงานสักที" ซ้ำๆ ซากๆ พ่อกะแม่ ก็พลอยไปกะเค้าด้วย... "เมื่อไหร่จะแต่ง เห็นเดินตามกันมาเป็นปี"... เอาละซิ ใครกำหนดหรา? ว่าห้ามเป็นแฟนกันนานเกินปี... "เรียนจบแล้ว น่าจะแต่งได้แล้ว"... อ่ะแน่ะ มีฝ่ายเร่งรัดด้วย มัยต้องรีบแต่งงานนัก... ตามประเพณีนิยมงั้นหรือ... เอาเถอะ ในที่สุด ฉัน ไม่สิ เราก็แต่งงานกันอย่างเรียบง่าย ถูกต้องตามประเพณีทุกประการ... ไม่ใช่งานพิธีการใหญ่โตเหมือนคู่พระ-นางในหนังซักนิด... ฉันเก็บความสงสัยที่ว่า "เขาแต่งงานกับฉันทำไม" ไว้ในใจตัวเองเงียบๆ ไม่กล้ากระโตกกระตาก...
อืมห์... ก็เคยมีบ้าง (นับครั้งถ้วน) ที่เขาพูดหวานๆ กับฉัน และเคยมอบสิ่งของมีค่าให้ฉัน... แต่ส่วนมากถึงมากที่สุดแล้ว เขามักเงียบงัน... จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงแต่งงานกับฉันเพราะเราทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะเจาะเป็นแน่แท้... หรือเพราะเขาต้องการลืมคนอื่น... ไม่ก็คงขี้เกียจรอคนที่ดีกว่าฉัน... หรือเพราะ เพราะ… ไม่รู้ซี คร้านจะเดาแระ... ในสมองของฉันไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าเพราะเขารักฉันหรอก... ทำไมน่ะหรา? ผู้หญิงเราน่ะ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าเขารักเรามากแค่ไหน แต่หากเขาไม่พูดเองจากปาก ก็อย่าได้คิดเข้าข้างตัวเองช่ะ... มีใครคิดอย่างฉันบ้างไหมหนอ? ...
คืนหนึ่ง... เราดูทีวีด้วยกันจนดึก มีดารามาร่วมรายการ เธอเป็นนางเอกฝาแฝดที่ผ่านมรสุมชีวิตคู่มาได้อย่างยากเย็น... กว่าจะเข้าใจกัน ให้อภัยกันและกลับมาครองรักกันอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม... ดูแล้วซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึม... คืนนั้น เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ฉันถามเขาว่า… "ถ้าหากเลือกได้ ว่าระหว่างเราใครจะตายก่อน พี่จะเลือกอย่างไร?" เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนถามฉันว่า "แล้วน้องคิดยังไง" ฉันตอบไปว่า "น้องขอตายก่อนเหอะ คงทนเห็นพี่ถูกฌาปณกิจไม่ไหวหล่ะ" เขานิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วพูดว่า "พี่ก็คิดว่าน้องควรตายก่อน"... เง้อ! ดูสิ ฟังเขาพูดเข้าปะไร... น้ำตาฉันเอ่อด้วยความน้อยใจ... นี่เขารักฉันน้อยเดียวเท่านั้นเองหรือ... อนิจจา... แต่แล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า "พี่มั่นใจว่าพี่สามารถตามหาน้องจนเจอได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พี่จะหาทางตามน้องให้พบจนได้... แล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีก" พูดจบ เขาก็ยกแขนขึ้นโอบกระชับไหล่ ออกแรงโน้มให้อิงแอบเขา สีหน้ามีรอยยิ้มและสายตาอบอุ่นที่มองมา... ฉันปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น... "อ้าว ร้องไห้ทำไม"
ฉันไม่ตอบ…
แต่ฉันได้คำตอบที่คาใจมานานแล้วว่า... เขาแต่งงานกับฉันทำไม?
^_______^
โห....... สุดยอด!!!
ตอบลบขอบคุง... อิอิ
ลบน่ารักจัง ทำไมเราไม่เป็นยังงี้บ้างนะ???
ตอบลบอ้าว... ยังงัยหรา?
ลบ