วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

ปฏิเสธไม่ได้... จริงรึ?

ยี่สิบปีที่แล้ว ฉันเสียพี่สาวที่แสนดีคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ เธอเป็นเบาหวานตั้งแต่แรกรุ่น รักษาตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันโดยการฉีดอินซูลินให้ตัวเองทุกเช้า เธอเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ต่างไปจากเดิม ทั้งพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อนรวมไปถึงการปฏิบัติธรรม... ก็ดูมีความสุขตามควรแก่อัตภาพ ตราบจนกระทั่งอายุ 44 ปี สาเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนที่แพทย์ควบคุมได้ยาก คือ ไตวาย ซึ่งในอดีตยังไม่มีเครื่องฟอกไตให้บริการมากมายอย่างทุกวันนี้...


พี่สาวของฉันเป็นคนสวย ทำงานเก่ง เธอเสียสละตนเองช่วยเตี่ยแม่ค้าขายเพื่อส่งเสียให้น้องสาวสามคนได้เรียนหนังสือ ส่วนตัวเองนั้นไฝ่เรียนรู้จากชีวิตจริงในการทำงาน...เมื่อวันที่สูญเสียเธอไป เตี่ยกะแม่โศกเศร้าอย่างที่สุด... เธอฝากคำสั่งเสียที่มีค่ายิ่งสำหรับทุกคน คือ อย่ายอมให้เบาหวานมาเยี่ยมง่ายๆ... นับจากนั้นเป็นต้นมา สมาชิกในบ้านหลายคนโดยเฉพาะเตี่ยและฉัน... เริ่มมีอคติกับการกินอาหารหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นกับข้าว ขนม น้ำอัดลม หรือผลไม้บางอย่าง...


เตี่ยของฉัน เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง ชอบขี่จักรยานไปดูแลไร่นาไกลๆ เป็นประจำทุกวัน... เวลาทานข้าวกันพร้อมหน้า เตี่ยมักพูดเสมอว่าอิ่มแระ กินแค่พออิ่มดีกว่า อร่อยปากนักมันจะลำบากลูกหลานทีหลัง... ครั้นพอเตี่ยกะแม่แก่ตัวมากขึ้น ก็ไม่เห็นว่าจะมีโรคประจำตัวให้ลูกหลานต้องกังวล นอกเสียจากความชราภาพเท่านั้น


ฉันเอง ในฐานะที่ร่ำเรียนมาทางด้านสาธารณสุข เห็นภาพความทุกข์กายทุกข์ใจของคนไข้ท่ามกลางสายระโยงระยางมาจนชิน... ที่ได้ช่วยเหลือพวกเขาตามหน้าที่ก็เพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ความทุกข์ทรมานมันเป็นของเฉพาะตัวที่ใครก็มิอาจแบ่งเบาไปได้จริงๆ... ฉันได้แต่อธิษฐานว่าชาตินี้ขออย่าได้อ้วนเลย สาธุ... และด้วยความที่ฉันเคยผ่าตัดหัวเข่ามาก่อน จึงต้องควบคุมน้ำหนักตัวมิให้เป็นปัญหาในการเดิน... ใครจะว่าผอมเหมือนท่อนซุงหรือกุ้งแห้งก็ช่างปะไร... ถ้าจะวัดกันด้วยสายตาและความรู้สึก... วิจารณ์ได้ตามสบายฉันไม่โกรธหรอก จริงๆ นะ...


เคล็ดลับของฉันคือกินเป็นมื้อ คนอ้วนแต่ละคนมักมีของกินเล่นวางใกล้มือให้หยิบใส่ปากได้บ่อยๆ กันทั้งนั้น... ฉันกินข้าวเป็นหลัก กินน้ำพริกผักเป็นรอง อร่อยและย่อยง่ายจริงๆ ... เมื่อต้องไปทานเลี้ยง ฉันก็จะออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ช่างน้ำหนัก วัดรอบเอว ประเมินสภาวะอวบ... ฉันดื่มน้ำเปล่าเป็นนิจ ปฏิเสธน้ำปรุงรสหวาน แต่ตอนอยู่ต่างประเทศน้ำเปล่าแพงจัง!... ที่สำคัญ ฉันต้องตัดใจให้ได้เมื่อเห็นอาหารเหลือ บางครั้งก็นึกเสียดาย กวาดซะเรียบ... เผลอหนอ! ๕๕๕+


พฤติกรรมการกินของผู้คน มันส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ ในแต่ละวันๆ เรากินกันหลายครั้ง แต่ละครั้งไม่มีใครคำนวนแคลอรี่ว่ากินเข้าไปแล้วเท่าไหร่ มากเกินไปหรือไม่... ความรู้ที่เคยเรียนมาไม่ได้เอามาใช้กันเลยก็ว่าได้... อาหารบางอย่างมีรสชาดอร่อยถูกปาก ติดใจจนไม่ยอมหยุดส่งเข้าปาก... โดยเฉพาะที่มีรสหวานหรือของทอดๆ ดังนั้น หากใครมีจุดหมายที่ชัดเจนว่าในยามแก่เฒ่า ปรารถนาจะนั่งๆ นอนๆ ให้ลูกหลานปรนนิบัติ ก็กินตามใจปากไปเรื่อยๆ เถิด... แต่หากใครขยาดต่อความเจ็บป่วยเรื้อรังที่บั่นทอนสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็ควรต้องรีบเปลี่ยนความคิดและการกระทำของตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป... ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจไปเจอะกันโดยมิได้นัดหมาย ณ ที่แห่งหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้... ICU....


"I do not want to see you die!"

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์เกร็ง

สุภาพบุรุษวัยทำงานห้าคน นั่งเรียงหน้ากระดานที่หน้าห้องเขตสะอาด ต่างตกอยู่ในอาการเงียบกริ๊บเป็นนานสองนาน ไม่มีใครมองหน้าหรือกล้าคุยกะใครเลย... ตราบจนกระทั่งประตูเปิดออก... มีใบหน้าที่เห็นเพียงลูกตากลมโตทั้งคู่ของพยาบาล โผล่มาแจ้งข่าวดีที่น่าตื่นเต้นว่า...


"สามีคุณน้ำผึ้งคะ คุณได้ลูกชายค่ะน่ารักน่าชังมาก ยินดีด้วยค่ะ" แล้วก็ผลุ่บกลับเข้าไปข้างใน...
ชายหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่ง หน้าแดงปากสั่นริกๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะละร่ำละลักบอกทุกคนว่า
"ลูกผมเองครับ ลูกชาย ผมจะไปบอกเพื่อนๆ ที่ทำงาน ผมทำอยู่เซฟวันฮะ" แล้วก็วิ่งตื๋อจากไป...

 
ไม่นานนัก ใบหน้าเดิมที่ปิดบังดั้งโด่งก็เปิดประตูโผล่มาแจ้งข่าวอีกระลอก...
"สามีคุณน้ำหวานคนไหนคะ คุณได้ลูกแฝดหญิงชายค่ะ สมบูรณ์ดีทุกอย่าง ยินดีด้วยค่ะ"
"เฮ้!... ลูกผมคร้าบบบ... ลูกผม ผมทำงานที่ทวินเฮ้าส์ฮะ" ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างลิงโลดใจ


อีกสักประเดี๋ยว พยาบาลเจ้าของดวงตาสวยดุคู่เดิม ก็โผล่มาอีก...
"สามีคุณน้ำอ้อยค่ะ คุณได้ลูกแฝดสามนะคะ เป็นหญิงล้วนอ้วนขาว แข็งแรงทุกคน ยินดีด้วยค่ะ" แล้วก็ผลุ่บหายไปเช่นเคย... ชายหนุ่มผิวสีหยวก ตาหยี คนถัดมา ลุกขึ้นเต้นเร่าๆ...
"ผมครับ ฝีมือผมเอง ผมจะรีบไปบอกเตี่ยที่ข้างวัดไตรมิตรฮะ"... แล้วก็วิ่งพุงกระเพื่อมไปโดยเร็ว...
 

อีกราวครึ่งชั่วยาม ใบหน้ามีลูกตาคู่ใหม่โผล่มาที่จุดเดิม พออ้าปากยังไม่ทันจะพูดอะไร ชายหนุ่มคนหนึ่ง ณ ที่นั้น ชิงพูดขึ้นว่า...
"แฝดห้าหรือเปล่าครับ... ผมสามีของน้ำฝนฮะ พอดีว่าผมทำงานอยู่ที่ช่องห้าหน่ะฮะคุณ"
"เก่งมากค่ะ มีตาทิพย์หรือไงคะ คุณรอหน่อยนะ เดี๋ยวต้องไปซื้อเวชภัณฑ์เพิ่ม"...


จบคำสนทนาจากพยาบาลนัยน์ตาแป๋วนั้น... เล่นเอาชายหนุ่มอีกคนที่เหลือ ถึงกับหน้าตาเลิ่กลั่กในทันที... ตายหล่ะหวา เค้าคิดในใจ... น้ำเก๊กฮวยเมียตรูจะคลอดลูกออกมาเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ยะ... ให้รู้สึกร้อนรนทนไม่ไหว ลุกเดินวนไปมาน่าเวียนหัว จนสามีของน้ำฝนต้องถาม...
"กังวลใจมากนักรึไงคุณ?"
"ก็ใช่น่ะซิ คุณไม่รู้หรอก ผมทำงานที่ 7 eleven อ่ะ"
"ง่ะ!?!"


อันที่จริง ประสบการณ์ตรงจากคนอื่นๆ ที่เราเคยได้ยินได้ฟังหรือพบเห็นมาอย่างจะๆ ใช่ว่าจะเกิดกับเราเหมือนกันเด๊ะๆ ซะเมื่อไหร่ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักวิตกจริตไปเองอย่างช่วยไม่ได้... บางคนก็แค่เกร็งๆ แต่บางคนกลัวแทบคุมสติไม่อยู่เลยทีเดียว... อืมห์ ของพรรค์นี้ ไม่เจอเข้ากับตัวเอง ก็ยังบอกไม่ได้อ่ะ... ฉะนั้น เรื่องของคนอื่นก็อย่างหัวเราะเยาะเค้านักเลย... เนอะๆ



คำสารภาพ




มีเรื่องแปลกแต่จริงที่ยิ่งใหญ่
คือเรื่องของหัวใจชายและหญิง
ต่างก็หวังอยากเจอคนรักจริง
แต่กลับนิ่งอมพะนำน่าขำดี



บ้างวิ่งแจ้นแล่นไล่ไม่ลดละ
บ้างก็ผละแบ่งรับแบ่งหนี
บ้างก็สมอารมณ์หมายใช้วาที
บ้างทำดีเท่าใดกลับไม่แคร์



โบราณว่าถ้ามีรักมักมีทุกข์
ที่เคยสุขสูญไปยังไงแน่
พอนานวันรักกันใยผันแปร
หาทางแก้เอาเถิด... แค่เปิดใจ




ฉันไม่ใช่คนที่มีแต่สุข
เคยผ่านทุกข์ร้อนหนาวเศร้าหมองไหม้
ใช่จะไร้ความทุกข์ซะเมื่อไร
ธรรมดาดังทั่วไปหลายหลายคน
เพียงหวังให้ใครใครได้มีคู่
เพราะฉันรู้ว่าเหงามันเฉาหม่น
หากข้างกายมีใครซักคน
จะอบอุ่นเสียจนลืมหายใจ



ฮ่าๆ... เกริ่นซะเยิ่นเย้อเลย... ที่จริงแค่อยากบอกว่า หลายๆ คนกำลังเข้าใจฉันผิดๆ อยู่น่ะ ฉันคนนี้ไม่ใช่คนที่มีความสุขจนน่าอิจฉาดอกหนา ก็เป็นคนธรรมดาๆ เฉกเช่นคนอื่นทั่วๆ ไปนั่นแหละจ้ะ หนำซ้ำยังเคยผ่านการเสียใจจนต้องร้องไห้น้ำตาไหลรินมากะเค้าเหมือนกัน โธ่... เพียงแต่ ฉันหยุดความคิดที่แย่ๆ ของตัวเองลงซะได้ แล้วทุกอย่างก็คลี่คลายไปในเวลาต่อมา... ก็เท่านั้น 

จริงๆ นะ... ทุกข์ แบกไว้ไม่มีประโยชน์หรอก
ยิ่งปล่อยวางได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะเป็นผลดีกะตัวเรา รวมถึงผู้คนรายรอบ
และใครก็ตามที่กำลังมีความรู้สึกดีๆ ในหัวใจ
อย่างอน... อย่างอน... อย่างอน
เพราะคนที่เราอยากให้เค้ามาง้อนั้น อาจไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเล้ย

`•.¸♥♫ (( เสียเวลาเปล่าๆ น่า )) ♫ ♥¸.•´ 

<<< เชื่อเหอะ >>>

❤``•.¸¸.•´´¯`••.¸ ♥♥♥♥♥♥♥ ¸.••´´¯`• .¸¸.•´´❤



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

นี่หรือ "รัก"


เป็นธรรมดาที่คนเรา มักต้องการความรักจากคนอื่น ทั้งที่รักตัวเองก็ได้... แต่จะมีใครสักกี่คนที่รักตัวเองเป็น? (คิดอย่างฉันกันบ้างมั้ย?) เป็นต้นว่า เราชอบความสะอาดแต่ขี้เกียจอาบน้ำ ไม่ยอมซักผ้ารีดผ้าเอง ผมเผ้าก็ต้องไปจ้างคนอื่นสระให้ กับข้าวก็ไม่ทำ ชอบซื้อจากแม่ค้าที่มักไม่ล้างกะทะ แถมปรุงเสร็จก็เทใส่กล่องโฟมให้อีก รู้แก่ใจว่ามีสารก่อมะเร็ง ก็ยังชอบกินอยู่ได้ทุกวี่วัน... ส่วนคุณสุภาพบุรุษหลายราย ห้องน้ำที่บ้านมีก็ไม่ยอมอาบ ต้องไปอาบตามอ่างอบนวดสาธารณะ... ยี้ๆๆ... เนี่ย แค่ยกตัวอย่างพอเบาะๆ... รักตัวเองกันนักรึไง?... เน้ะ...


หลายคนฝันอยากเป็นดารา-นักร้อง... คิดว่ามีรายได้ดี ได้รับความสนใจล้นหลาม... มันทำให้ปลาบปลื้มสักขนาดไหนช่ะ... เวลาปรากฎตัวในที่ชุมนุมชน หน้าตาท่าทางอิ่มเอิบยิ้มแย้ม... ครั้นพอลงจากเวทีปุ๊บ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คงเหนื่อยมากหรืออยากพักผ่อนซะเต็มประดา... บางคนชักสีหน้าบึ้งตึงขึ้งโกรธ ไม่ยอมทักทายใคร ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง... รู้เช่นนี้แล้ว ก็ยังมีคนคอยตามกรี๊ดกันเป็นขบวน... ค่าตั๋วเข้าชมการแสดงแพงหูฉี่ก็กัดฟันซื้อหามาจนได้... มันอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้


ลองคิดเล่นๆ หากเกิดความชุนมุลยื้อแย่งของเหล่าบรรดาแฟนคลับ ส่งผลให้ดารานักร้องขวัญใจสักคนต้องถึงกับฉีกขาดบาดเจ็บ เฉกเช่นเทพวีนัส... แล้วอะไรจะเกิดขึ้น... จะมีคนสนใจจะรับเอาชิ้นส่วนที่เคยงดงามบางชิ้นไปชื่นชมที่บ้านต่อมั้ย?... หรือหากยังไม่เสียชีวิตแต่พิการ มีใครบ้างรับอาสาพาไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านด้วย... มีป๊ะ?... เธ่อ...


สรุปว่าความรู้สึก "รัก" หรือชื่นชอบ พึงพอใจ ปรารถนาจะได้มาครอบครอง... ใช่ว่าจะมั่นคงยืนยงอยู่ได้ตลอดไป... ต่อให้สิ่งที่เคยรักนั้นมีคุณค่าสูงส่งสักเพียงใดก็ตาม นี่แหละ จิตมนุษย์


นี่ก็อีกมิติของความรักซึ่งมักพบเจอได้บ่อยๆ... ลูกสุนัขตัวเล็กๆ น่ารัก ขนปุกปุย ขี้อ้อน... ที่เจ้าของซื้อหามาด้วยสนนราคาค่อนข้างสูง เลี้ยงดูเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้ กกกอดมิวางมือ อาบน้ำ ตัดขน ชโลมครีมบำรุงให้จนหอมกรุ่นน่ากอดน่าฟัดทุกวัน... ครั้นพอนานเข้า แก่ตัวลง ความน่ารักน่าชังของสังขารเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ... โดยมิได้ทำผิดอะไรก็หมดรักกันไปหน้าตาเฉย ละเลยกันบ้าง ยกให้คนอื่นไปบ้าง ปล่อยวัดก็ยังมี... ซะงั้น... โธ่...

 นี่หรือที่เรียกว่า... รัก...แบร่ๆ

โดนซะเองนิ




ช่วงหน้าหนาว นอกจากฝุ่นเยอะแล้ว ละอองเกสรดอกไม้และอุณหภูมิต่ำสุดในตอนดึกๆ มักส่งผลให้ผู้คนไม่สบายกันได้ง่ายๆ บ้างก็ไข้ไอเจ็บคอหรืออาจถึงขั้นหอบหืด... เมื่อปีที่แล้วฉันก็ไอหอบแทบแย่แน่ะ... ตอนนั้นอยู่ซะไกลบ้าน ค่าหมอค่ายาแพงหูฉี่... ยาที่พกติดตัวไปจากไทยก็ใช้แล้วไม่ดีขึ้น มันต้องได้ออกซิเจนและยาขยายหลอดลม ฉันรู้... จำต้องไปหาหมอที่สถานพยาบาล พอถูกเรียกเข้าไปตรวจวัดสัณญานชีพในห้องเล็กๆ ที่ไม่ได้เปิดแอร์... ฉันอึดอัดอย่างที่สุด ไอจนน้ำตาไหล และหอบซี่โครงบาน ความดันพุ่งปรี๊ดไปที่ 172/100 มม.ปรอท ชีพจร 114 ครั้ง/นาที อุแม่เจ้า... เกือบตาย!!... เสร็จปุ๊บ ฉับรีบเดินหาปล่องลมแอร์... ให้ลมพัดจ่อตรงหน้าเลย... ค่อยยังชั่ว... เง้อๆ



วันนั้น ได้พบคุณหมอชาวลาวผู้ใจดี ซักประวัติตรวจร่างกายเสร็จ หมอแจ้งว่าต้องฉีดยาสเตียรอยด์ และให้พ่นสเปรย์ต่อที่บ้านด้วย... ผู้ช่วยหมอเป็นสาวตาคม ผมหยิกสยาย หน้าตาสวย ขาวอวบ นัยน์ตาสีฟ้าสุกใส... เธอบอกให้ฉันนอนคว่ำเพื่อจะฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อสะโพก (ปกติฉันฉีดให้คนไข้ในท่านอนตะแคง) พอปลดซิบหน้าดึงกางเกงลงหน่อย ก็รู้สึกเย็นวาบๆ ตามด้วยเย็นเจี๊ยบ กับลมพัดแผ่วๆ ที่แก้มสะโพกด้านขวา ไม่ทันไรก็สัมผัสได้ถึงมือนุ่มๆ หยุ่นๆ อุุ่นๆ ที่บีบเบาๆ แก้มก้นฉัน... ว้าวๆ ทำเอาฉันสะกดกลั้นความจั๊กกะจี้ไม่ไหว ปล่อยคิกๆ ออกมา ผู้ช่วยก็พลอยขำกลิ้งไปด้วย อิอิ... สักพักนึงพอค่อยสงบลงแล้ว ฉันหันมองสบตาเธอ พยักหน้าให้หงึกๆ บ่งบอกเป็นนัยว่าพร้อมให้จิ้มแระ... เธอก่ะดั้นบีบปี๊บๆ ที่เดิม แบบเดิมอีก อ้ัยยะ!... ก็คนมันเส้นตื้นอ่ะ ไม่เคยถูกฉีดยาที่สะโพกมาก่อนนี่หว่า เง้อๆ... คราวนี้ฉันปล่อยห้วเราะพุงกระเพื่อมและหยุดมันได้ยากจริงๆ แล้ว... เอิ๊กส์ๆ


อ่ะ จร๊ากส์!

<<< แง้ๆ >>>

ยังไงก็ดูแลสุขภาพให้ดีล่ะเพื่อนๆ ทั้งหลาย
แปรงฟันให้สะอาดก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ลมปากหอมสดชื่น
และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดทอนซิลอักเสบลงได้...
ด้วยความปรารถนาดี นะจ๊ะ นะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

โปรดอย่าถาม


  
มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ที่ฉันเคยได้ยินในงานเลี้ยงแต่งงานหลายครั้ง... 
เพลงนั้นขึ้นต้นว่า "โปรดอย่าถาม... " 
ฟังแล้วซึ้งกินใจมาก สาระของเพลงเข้ากับบรรยากาศ ซึ่งมันคือเพลงๆ นี้...


 "จงรัก"
โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใครเมื่อในอดีต 
และโปรดอย่าถามว่าอดีตฉันเคยรักใคร
รู้ไว้อย่างเดียวเดี๋ยวนี้รักเธอและรักตลอดไป 
รักมากเพียงไหนกำหนดวัดได้เท่าดวงใจฉัน
อย่าเพียรถามว่าฉันจะรักเธอนานเท่าใด
ฉันตอบไม่ได้ว่าฉันจะรักชั่วกาลนิรันดร์  
เพราะชีวิตฉันคงไม่ยืนยาวไปถึงป่านนั้น
 รู้แต่เพียงฉันหมดสิ้นรักเธอเมื่อฉันหมดลม


กลับจากงานมงคลครั้งหนึ่ง... ฉันนอนหลับๆ ตื่นๆ เกือบทั้งคืน... มันยากที่จะลืมอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจดจำ... เรื่องของเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อฉันไปเยี่ยมญาติห่างๆ คนหนึ่งที่ต่างจังหวัด... หลังจากทราบข่าวว่าเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมานาน... เค้าเป็นชายสูงวัย รูปร่างที่เคยสง่างามสมชายชาตรี บัดนี้ดูร่วงโรย ผอมซีดเหลือง แววตาแห้งผาก ไม่เหลือเค้าความหล่อทรมาณใจสาวเลยสักนิด... อะไรบ้างหนอที่พลิกผันชีวิตไปอย่างเหลือเชื่อ... เพื่อนบ้านหลายคนให้ข้อมูลคนละนิดคนละหน่อย ประมวลได้ว่าเค้าเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวาย และต้อหินที่อาจถึงขั้นตาบอด... ภรรยาคนสวยก็ทิ้งไปในยามแก่ เจ็บและจน... เหล่าบรรดาบ้านเล็กบ้านน้อยทั้งหลายที่เคยจิ๊จ๊ะก่อนหน้านี้ ก็หายหน้าหายตาไปสิ้น... ยังดีหน่อยที่ลูกเต้าโตมีครอบครัวไปแล้วส่งเงินมาให้ใช้บ้าง... แต่ก็ไม่ช่วยให้ความหมดอาลัยตายอยากของเค้าดีขึ้นมาได้... น่าเวทนายิ่งนัก

จำได้ว่าในวันที่ฉันแต่งงาน ญาติคนนี้ถามฉันว่า ถ้าเจ้าบ่าวไปมีอีหนูเข้าสักวัน จะทำยังไง?... ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าจะควบคุมโทสะแต่ก็หาได้ปะทะคารมกับเค้าไม่ เสียเวลาเปล่า ฉันคิดแค่นั้น... แม้ว่าคำถามของเค้ามันทำให้หนาวไปถึงก้นบึ้งของหัวใจก็ตามที ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นใครไร้มารยาทในงานมงคลเท่านี้เลย...


ตลอดเส้นทางการใช้ชีวิตคู่ ฉันยอมรับว่าไม่สามารถลืมคำถามนั่นได้ เหมือนว่ามันยังดังก้องอยู่ในรูหูมิรู้หาย... ฉันจะทำยังไง? ไม่รู้สิ ถ้าอะไรมันจะเกิด ฉันคงห้ามไม่ได้หรอก... คิดอยู่เสมอว่าก่อนที่จะมีปัญหาใดๆ ขึ้นมา ฉันควรจะหาวิธีป้องกันไว้ก่อนดีกว่า ซึ่งเตี่ยกะแม่สอนเอาไว้ "อย่าให้ปัญหามันเกิดจากเรา" ในเมื่อฉันคิดดี พูดดี ทำดี อย่างเต็มที่แล้ว หากคนรักของฉันยังเห็นความดีงามของคนอื่นมากกว่า ก็คงต้องยอมรับความพ่ายแพ้... ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขันให้เสียใจเสียเวลา... ว่าไปนู่น...

และมีบางครั้งที่ฉันฝันร้าย... คล้ายกับว่าต้องวิ่งไล่ตามบางอย่างจนสุดฝีเท้า... เหนื่อยแทบขาดใจ... ที่สุดก็ต้องหยุดกุมหัวใจที่สั่นรัว และถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่น เหงื้อชื้นตามไรผมเต็มไปหมด... บอกไม่ถูกว่าเป็นผลมาจากการคิดมากเรื่องอะไรตอนไหนบ้าง... ยังดีหน่อยที่มีคนข้างๆ คอยปกป้องในตอนตื่นขึ้นจากฝันร้ายนั่น... อิอิ


นี่ก็จวนจะ 30 ปีแล้ว ที่ฉันยังมีคู่ชีวิตอยู่อย่างปกติ แม้จะไม่เคยถามเขาว่ารักฉันมากแค่ไหนหรือไม่... ช่างเหอะ ขอแค่เขายังไม่หมดรักฉันและเรายังเกื้อกูลกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ก็พอแล้ว... ส่วนผู้เป็นเจ้าของคำถามนั้น ฉันขอให้เค้าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย... สาธุ


สาธุ... สาธุ


วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เธอมิใช่ของฉัน?

ในวันหยุดเมื่อหลายปีก่อน มีเพื่อนสาวคนหนึ่งมาหาฉันถึงที่บ้าน... ให้แปลกใจนิดๆ ด้วยเธอเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ในเมื่อระยะทางออกจะไกลข้ามน้ำข้ามทะเล... หลังจากต้อนรับขับสู้ หาข้าวปลาน้ำท่าให้ทานเรียบร้อยแล้ว เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ ตามประสา... เริ่มด้วยเรื่องราวสมัยรุ่นๆ จนกระทั่งถึงปัญหาหนักอกหนักใจของผู้หญิง ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่อง 'อกหัก'

เพื่อนรับราชการเหมือนสามี... มีลูกสาวสวยๆ ตั้งสามคน กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น แต่ละคนห่างกันหัวปีท้ายปี... ว้าว ฉันยอมแพ้ราบคาบช่ะ... ครอบครัวเพื่อนรักใคร่กันดี สายสัมพันธ์อบอุ่นแน่นแฟ้นตลอดมา ลูกๆ เรียนเก่งทุกคน ฟังดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เพื่อนกลับขมวดท้ายว่าญาติเพิ่งส่งข่าวมาบอก ว่าพ่อตัวดีมีใครอีกคนเป็นตัวเป็นตน... เท่านั้นแหละ เพื่อนแล่นปรู๊ดเดียวถึงบ้านฉันเลย... ไม่มีเสื้อผ้าติดมือมาเปลี่ยนซะด้วยซ้ำ... โห...


ถ้าเธอคือคนที่ใช่ความใฝ่ฝัน   ก็แล้วฉันเป็นอะไรยังไงหนอ
เคยบอกว่ารักเดียวเท่านั้นพอ  ใจคนหนอเปลี่ยนไปกระไรเลย

เนี่ยะ... ใครที่เคยพูดว่าผู้หญิงมีน้ำอดน้ำทนมากกว่าผู้ชาย... มันใช่ที่ไหนกันล่ะ...

ในฐานะที่ฉันเคยทำหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษามาก่อน ก็นิ่งฟังอย่างใส่ใจ ให้เพื่อนได้ระบายความรู้สึกน้อยใจที่อัดอั้นเต็มทน... โถ คงรับไม่ไหวกับความไม่ซื่อสัตย์ของคนรัก เป็นใครก็คงจะรับมือได้ยากพอๆ กัน... ฉันทะยอยส่งทิชชูให้เพื่อนซับน้ำตาป้อยๆ เห็นใจแต่ไม่กล้าซักไซ้ให้มากความ เกรงจะยิ่งยุ่งยาก... ฟังเพื่อนเล่าไป มือก็ลูบเข่าบ้างโอบไหล่บ้าง... ให้รับรู้ว่ายังมีฉันคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ... ไม่นานนักเพื่อนก็หลุดปากออกมาว่าจะฆ่ามันให้ตายคามือ อั๊ยหยา... ชักจะไปกันใหญ่แล้ว... ฉันค่อยๆ ตะล่อมให้ได้คิดว่า ถ้ากระทำการได้สำเร็จอาจส่งผลร้ายแรงต่อจิตใจของลูกๆ ที่ต้องสูญเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับและแม่เองก็หนีไม่พ้นการรับโทษในเรือนจำ... หาผลดีได้สักประการรึก็เปล่าเลย แล้วจะทำไปทำไมกัน?... เก่งจริงต้องรับมืออย่างฉลาดและมีสติสิ แบบที่ไม่ต้องมีใครสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน หรืออิสรภาพ... ที่ต้องเสียแน่ๆ ก็เห็นจะเป็นแค่ 'เสียใจ' กับ 'เสียเค้าไป' เท่านั้น มันต่างกันเยอะ... หรือหากเลือกที่จะไม่ยอมเสียเค้าไปก็ต้องทนรับมือกับความขื่นขมจากการนอกใจ... มันจะดียังไง ต้องค่อยๆ คิด ให้สมกับที่มีความรู้สอนคนอื่น... อืมห์ ฉันไม่แน่ใจนักว่าที่กำลังทำนั่นเป็นการช่วยเพื่อนหรือตอกย้ำซ้ำเติมความเจ็บปวดกันแน่... เฮ้อ!

สำหรับคนที่ไม่เคยประสบเข้ากับตัวเองก็คงไม่ซึ้งว่ามันเศร้าสักขนาดไหนล่ะสิ... ยามนั้น กว่าจะ
ชักแม่น้ำทั้งห้าให้เพื่อนคิดได้ คิดถูก ก็เล่นเอาปวดหัวไม่เบา... ฉันพร่ำบอกให้เพื่อนใจเย็นๆ ตั้งสติดีๆ คิดทบทวนให้รอบรอบ อย่าฟังความข้างเดียว... ให้โอกาสตัวเองได้รับรู้ข้อมูลมากกว่านี้ หรือได้เห็นหลักฐานชัดๆ ก่อน แล้วค่อยสรุปจบแบบคงความเป็นมิตรก็ยังไม่สาย... โดยเก็บเอาเรื่องราวซึ้งๆ ของนกกระจอกมาเล่าให้เพื่อนฟัง และสำทับให้ตระหนักถึงคุณค่าของกันและกันในยามที่ยังไม่มีอะไรมาพรากชีวิตไป... และวันนั้น ฉันต้องหลอกล่อทั้งขู่ทั้งปลอบให้เพื่อนกินยานอนหลับ แล้วเปิดธรรมบรรยายกล่อมให้ฟังจนหลับไป... โชคดีที่เหตุการณ์คลี่คลายด้วยดี แฮบปี้เอ็นดิ้งได้ในภายหลัง... เฮ้อ โล่งอก!...



ส่วนนี่เป็นภาพนกกระจอกคู่หนึ่งที่ออกหากินคลอเคลียกัน ให้บังเอิญรถชนตัวหนึ่งบาดเจ็บสาหัสอยู่กลางถนน... อีกตัวหนึ่งก็หาได้ทอดทิ้งไปไม่ กลับพยายามที่จะช่วยเหลือ หาอาหารมาป้อนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรักและสงสาร เป็นห่วงเป็นใยอยู่จนวินาทีสุดท้าย...


ที่สุดแล้ว ตัวที่บาดเจ็บก็จากไปตลอดกาล... อีกตัวก็พยายามจะปลุกให้ตื่นโดยใช้จงอยปากพลิกร่างของเธออยู่นั้นไปมา... แต่เธอก็มิได้ขยับเขยื้อนไหวติงแต่อย่างใด... อนิจจา!!... เจ้านกตัวที่รอดชีวิตอยู่ลำพังทำได้เพียงส่งเสียงร้องคร่ำครวญ อาลัยรักเธอผู้จากไปอยู่เป็นนาน...

ภาพเหตุการณ์จริงของนกทั้งคู่นี้ ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางทั่วอเมริกา ยุโรปและอินเดีย เมื่อปี 2009 ผู้คนนับล้านที่ได้รับรู้ ต่างหลั่งน้ำตาให้กับคู่นกดังกล่าวด้วยความเวทนายิ่งนัก... ว่ากันว่า หนังสือพิมพ์ฉบับที่ตีพิมพ์ภาพและเรื่องราวของนกกระจอกคู่นี้ ขายดิบขายดีจนเกลี้ยงแผงทุกฉบับเลยทีเดียว...


ดูเอาเถิด คุณค่าของความจงรักภักดี ใช่ว่าเดียรฉานจะคิดไม่ได้ ทำไม่เป็นดังเช่นมนุษย์ผู้เจริญก็หาไม่ ซึ่งคู่นกคู่นี้ คือหนึ่งในประจักษ์พยานแห่งรักแท้ที่ยิ่งใหญ่จากหัวใจคู่รัก... คู่หนึ่ง

ฉันแค่หวังว่า เรื่องของคู่นกที่ฉันนำมาเล่าต่อ จะช่วยจุดประกายความคิดให้วาบขึ้นในใจของเพื่อนบ้าง... (รวมถึงคุณๆ ที่ได้มีโอกาสอ่าน) ให้ได้ซาบซึ้งกับความรู้สึกดีๆ ยามที่มีกันและกัน เคยเกื้อกูลกันมาแต่ไหนแต่ไร... ประมาณนั้น...

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : www.matichon.co.th


แล้ว... เวลาที่เพื่อนมีความสุข จะนึกถึงฉันบ้างมั้ยน้อ?
ช่างเหอะ แค่เพื่อนเลือกฉันเป็นคนปลอบในยามทุกข์ใจ ก็บุญแระ
เพราะ... เธอมิใช่ของฉัน ซะหน่อย