วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

coz I miss U


สองวันก่อน... ตอนนั้น เวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง... ท้องฟ้าครึ้ม ครวญครางครืนๆ... ลำแสงของสายฟ้าฟาดแปล๊บๆ ทางโน้นที ทางนี้ที... สักประเดี๋ยวสายฝนก็พร่างพรูลงมาเม็ดโตๆ เสียงน้ำฝนกระทบหลังคากระเบื้องและใบมะม่วงหน้าบ้านกราวแล้ว กราวเล่า... ดอกบัวเล็กๆ สีเหลืองและสีม่วงที่บานเคียงกันในกระถาง ค่อยๆ หุบดอกอย่างช้าๆ... ใจจริงฉันอยากจะออกไปเดินเล่นฝ่าเม็ดฝนอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ... แต่วันนี้ ไม่สามารถ... เพราะมีคุณย่านั่งชื่นชมสายฝนอยู่หน้าบ้านด้วย... เด๋วโดนดุ อ่ะดิ... อ๋อยยยย... จ๋อยยยย...


ยามนี้... คนที่ฉันคิดถึงอย่างมากมาย เค้าจะคิดถึงฉันสักนิดบ้างมั้ยน้อ?
ถ้าคิดถึง หรือเป็นห่วงแม้เพียงปลายก้อย ก็น่าจะโทรหากันบ้างซี...
คอยอยู่น้าาาา... ทั้งตัวโตและเจ้าตัวเล็ก


เสียงเพลงจากบ้านข้างๆ แว่วมา... จำได้ว่าชื่อเพลง "คิดถึง" ของ Peacemaker
โห... มันช่างเข้ากับบรรยากาศตอนนี้นัก...
เศร้าจัง... ลองฟังดูหน่อย สิ


'คิดถึง' :  โดย... บอย Peacemaker


ด้วยความทราบซึ้งในเสียงเพลง บทเพลงและบรรยากาศ ที่ดูเหมือนจะเติมเชื้อฟืนแห่งไฟเหงาเข้าจู่โจมจับขั้วหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ก็อยู่บ้านไม่ได้จากไปไหนไกลๆ ซะหน่อย... ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย... ฉัน

ด้วยความที่ไม่อยากจมอยู่กับอารมณ์อันไม่แช่มชื่นนานนัก จึงเบนความสนใจไปค้นคว้า หาอะไรอ่านเล่นเพลินๆ เผื่อจะเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้นได้บ้าง...

อืมห์... เจองานวิจัยฉบับหนึ่ง ระบุว่าในช่วงฤดู​​หนาวมักพบอัตราการฆ่าตัวตายสูง... จริงหรือนี่?...
ฉันค่อยๆ แกะอ่านแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง พอจะจับใจความได้ว่า ในแถบที่มีอากาศหนาวมากๆ มักมีสถิติสุขภาพเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายค่อนข้างสูง ซึ่งพบสถิติสูงมากในช่วงฤดูหนาวย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ... มิน่าล่ะ เจ้าตัวเล็กมันถึงกลัวว่าฉันจะคิดและทำอะไรแผลงๆ ตอนที่อยู่บ้านคนเดียว... เง้อ


ใครที่ไม่เคยเจอเข้ากับตัวเองก็อาจนึกภาพไม่ค่อยออกหรอกว่ามันเหงาขนาดหนักประมาณไหน... ยิ่งคนที่เพิ่งสูญเสีย เพิ่งผิดหวัง คนที่ต้องจากบ้านไปไกลๆ เป็นเวลานานๆ หรือเพิ่งกำพร้าคนรักมาสดๆ ร้อนๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'คนชรา'... อูย อย่าให้เซดเลยจะดีกว่า (ฮือๆๆ... )



เมื่อไม่นานมานี้ มีภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง ที่สื่ออารมณ์อาลัยรักของผู้ที่สูญเสียคนรักได้อย่างน่าติดตาม เรื่องนั้นก็คือ เรื่อง "I MISS U รักฉันอย่าคิดถึงฉัน" ของค่าย M 39 จ้ะ


เรื่องย่อของหนัง กล่าวถึงพระ-นาง ที่มีอาชีพเป็นแพทย์ทั้งคู่ “หมอธนา” กับ “หมอนก”
โชคร้ายที่อุบัติเหตุด่วนคร่าชีวิตของหมอนกไปขณะที่ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน ส่งผลให้หมอธนา จมปลักอยู่กับความทรงจำเก่าๆ ที่แฝงไปด้วยความทุกข์โศก ด้วยรักและคิดถึงอย่างเต็มตื้นในหัวใจ

“หมอบี” เป็นหมอน้องใหม่หน้าตาสะสวย เข้ามาทำงานในแผนกศัลยกรรม โดยมีหมอธนาเป็นที่ปรึกษา เธอก็ค่อยๆ รับรู้และแกะรอยรักของหมอธนากับอดีตคนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหมือนว่ายังคงวนเวียนอยู่มิห่างคนรัก ประมาณนั้น... นานวันเค้า หมอบีก็เผลอใจสงสารมากขึ้นเรื่อยๆ เธอคิดจะช่วยเขาให้หลุดพ้นความเจ็บปวด แต่ทว่า เธอกลับพบกับความเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนกว่า เมื่อตระหนักว่าเขายึดติดกับคนรักที่ตายไป อย่างเหนียวแน่น มั่นคง เสมอ...


ความกลัวที่ได้เห็นวิญญาณคนรัก ซึ่งตามติดอยู่ข้างกายหมอธนา... สั่นคลอนคามรู้สึกของหมอบีไม่น้อย... เธอจะทำอย่างไรต่อไป... จะพัฒนาความสัมพันธ์กับหมอธนาได้หรือไม่... หรือเธอจะยอมเผชิญกับหัวใจของตนเองด้วยการยอมเป็นเงาของคนอื่น?... โอย มันน่าขนลุก เนอะ


หนังเรื่องนี้ ออกโรงไปหลายสัปดาห์แล้ว... ฉันคงต้องรอดูฟรีจากคลิปหล่ะ เพราะพี่ชายไม่ค่อยให้โอกาสเลือกโปรแกรมเอง... ฉันต้องได้ดูทุกเรื่องที่เขาอยากดูสิน่า... ง่ะ

และ ฉันไม่ใช่คนกลัวผีนะ... เพียงแต่มันอดขนลุกซู่ไม่ได้... เง้อ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

L O V E


คุณยายท่านหนึ่งที่ฉันรู้จัก... เราสนิทสนมกันมากพอที่ท่านจะเอ่ยปากเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง ด้วยดวงตาพร่าพราย... แต่ละประโยคที่ค่อยๆ แย้ม ดูเหมือนว่ายังคงกรุ่นไปด้วยความรู้สึกประทับใจและวาบไหว ประหนึ่งว่าเหตุการณ์ต่างๆ เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ... เรื่องของเรื่อง ไม่ใช่สิ เรื่องของหัวใจ... หน่ะ


ท่านเกิดมาในตระกูลสูง ญาติผู้ใหญ่ล้วนคาดหวังว่าท่านจะได้เป็นคุณหญิงคุณนายเฉกเช่นบรรดาเครือญาติทั้งหลาย จึงถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในรั้วในวังเสียตั้งแต่ยังเล็กๆ... ถูกฝึกให้หมอบกราบกรานคลานเข่า จนด้านไปหมด... การบ้านการเรือน การดนตรี สารพัดที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน... อยากวิ่งเล่น อยากโดดน้ำในคลองใจแทบขาดก็ทำไม่ได้ ที่ฝืนใจมากกว่าอะไรทั้งหมดคือการนั่งพับเพียบร้อยมาลัย เพราะปวดเมื่อยหลังเอวเป็นที่สุด... 

พอย่างเข้าสู่วัยสาว คุณยายถูกวางตัวให้เป็นคู่หมายของนายทหารหนุ่มรูปงามนามเพราะท่านหนึ่ง ซึ่งหากฉันเอ่ยชื่อท่านออกมา คงทำให้หลายคนในที่นี้ต้องตกเก้าอี้เป็นแน้แท้... อย่าดีกว่า...


อาจเพราะวัยรุ่นมีความเป็นตัวของตัวเองสูง คุณยายจึ่งสำแดงความกล้าหาญ ลุกขึ้นประกาศก้อง... เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม... ทำให้เจ้านายทุกลำดับชั้นถึงกับลูบอกผางๆ... และออกคำสั่งอย่างฉุนขาด "เอามันไปให้พ้นหน้า เดี๋ยวนี้"... ยามนั้น คุณยายดีอกดีใจเป็นหนักหนาที่หลุดจากรั้วสูงๆ นั่นมาได้... ท่านสู้อุตส่าห์พากเพียรเรียนหนังสือ ประกอบสัมมาอาชีพรับราชการ ได้มีครอบครัวที่อบอุ่น จนกระทั่งสามีด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อ 20 ปีก่อน ปล่อยให้ยายเลี้ยงลูกชายโทนตามลำพัง...


นับจากอดีตจนถึงทุกวันนี้... นายทหารรูปงามท่านนั้น ก็หาได้ชายตาแลสาวใดไม่... และจะมีใครสักกี่คนที่ได้ล่วงรู้ความในใจของท่าน... เมื่อได้ปักใจรักสาวน้อยนางหนึ่งเข้าให้แล้ว ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด หัวใจอันแข็งแกร่งของนักรบผู้กล้าท่านนี้ ก็ยังคงรักมั่นและเฝ้าฝันถึงมิเว้นวาย... แม้ว่าเธอคนนั้นจะมีคู่ครองเคียงข้างไปนานแล้วก็ตาม... ทุกครั้งที่คิดถึง หัวใจก็ยังร่ำร้องโหยหาด้วยความปวดร้­าวทรมานอยู่ตลอดมา... ยิ่งเมื่อได้ทราบข่าวว่าเธอตกพุ่มหม้าย ก็มิกล้าพอที่จะเสนอหน้ามาให้เธอเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง... ชีวิตที่ยังมีลมหายใจของท่าน อยู่อย่างคนสองบุคลิกเรื่อยมา ต่อหน้าคนอื่นก็ดูเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว ขณะที่เมื่ออยู่ตามลำพังน้ำตาลูกผู้ชายเป็นต้องซึมเอ่อทุกครั้งไป... ทำไมหนอ "กามเทพ" ถึงได้โหดร้ายกับท่านถึงเพียงนี้...


ในทุกๆ ครั้ง ที่มีโอกาสไปทำบุญตามวัดวาอารามหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 
คุณยายบอกกับฉันว่า ท่านไม่กล้าอธิษฐานขอพรให้ได้พบเจอเนื้อคู่ทุกชาติไป
ด้วยท่านเกรงว่า แรงอธิษฐานของหลายคนที่บังเอิญมาพ้องกัน
จักส่งผลให้บางคนต้องยอมเจ็บปวดอย่างเดียวดาย


<<< - - - อืมห์ - - - >>>

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ข้ามภพ@เพื่อพบ



หลายคน คงเคยมีคำถามนี้ในใจ... “ตายแล้วไปไหน?”

อาจเคยได้ยินได้ฟังคำตอบมาแล้วบ้าง หลากหลายแนวคิด... ส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องบาป-บุญ นรก-สวรรค์ บางคนก็เชื่อว่ารักแท้จะไปรอคอยที่ทางช้างเผือก บ้างก็เชื่อว่าดวงวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและไม่ยอมไปผุดไปเกิด... บรื๋ออออส์!

วันนี้ ฉันมีเรื่องราวดีๆ มาขยายหล่ะ... อ่านเจอเข้าโดยบังเอิญน่ะ ตื่นเต้นมากๆ ล่ะ กลัวก็กลัว อยากรู้ก็อยาก... อ่านไปแอบไป ได้อารมณ์สนุก แบบหวาดๆ... ไม่ได้ ๆ ... เรื่องนี้ ไม่เล่าไม่ได้แล้ว... อิอิ

อย่าเดาไปก่อนเลย เด๋วผิด.... เรื่องที่ว่านั่น คือเรื่อง “Cloud Atlas” จ้ะ แต่เดิมเป็นนิยายขายดีที่เขียนขึ้นโดย David Mitchell มีชื่อเป็นภาษาไทยในหนังสือแปลของ คุณจุฑามาศ แอนเนียน ว่า “เมฆาสัญจร” พอถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ยังใช้ชื่อเรื่อง “Cloud Atlas” หรือชื่อภาษาไทยว่า “หยุดโลกข้ามเวลา”


เนื้อหาค่อนข้างยาว กล่าวถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่ของคนกลุ่มหนึ่ง...  เล่าผ่านเรื่องสั้นหกเรื่อง ทุกเรื่องล้วนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนที่บ่งบอกว่าเป็นดวงวิญญาณดวงเดิมๆ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในภพอื่น ณ วันเวลาและสถานที่ต่างกัน... ซึ่งหากคุณสนใจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ ที่นี่ http://www.maewlaaythaisub.com/2012/09/cloud-atlas.html#6jpQyTfBDoy00xLL.99

ส่วนคนที่ใจร้อน อยากให้ฉันเล่าๆ ให้จบๆ ก็ไม่ผิดหวังหรอกจ้ะ เพราะฉันชอบเล่าอยู่แล้ว... อิอิ

ทั้ง 6 เรื่องราวที่ว่ามานั้น กล่าวถึงช่วงเวลาหลายศตวรรษ... โอ๊ะ นานเป็นพันปีเลยทีเดียว... เมื่อติดตามอ่านไปเรื่อยๆ จะมองออกถึงกรรมและผลของกรรม ที่กระทบต่อหลายชีวิตที่ข้องเกี่ยวกันทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต... บางตอนชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ คือ เปลี่ยนจากนักฆ่าไปเป็นวีรบุรุษ หรือ การกระทำความดีเพียงเล็กน้อย แต่กลับส่งผลกระทบต่อเนื่องข้ามศตวรรษจนเป็นแรงบันดาลใจแก่การปฏิวัติครั้งใหญ่... ว้าว... ระทึก!!


อ่ะ แฮ่ม... คือ คนเขียนบท เขาเริ่มต้นด้วยบันทึกของหนุ่มอเมริกันบนเรือเดินทะเล ในปี ค.ศ.19 ตามด้วยจดหมายเล่าเรื่องราวจากนักดนตรีหนุ่มชาวอังกฤษที่เดินทางไปเสี่ยงโชคในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1... มีฉากระทึกใจเกี่ยวกับเรื่องของนักข่าวสาวอเมริกันในยุคที่โลกกำลังรุ่มร้อนด้วยพลังนิวเคลียร์... มีบทผจญภัยของบรรณาธิการสูงวัยที่หนีการไล่ล่าของแก๊งมาเฟีย... มีตอนเงื่อนงำคำสารภาพว่าด้วยการปลดแอกจากการเป็นทาสจากปากมนุษย์โคลนนิ่งสาวชาวเกาหลีในโลกอนาคต... และลงท้ายด้วยเรื่องเล่าข้างกองไฟ ที่กล่าวถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโลกยุคหลังการล่มสลายของอารยธรรมจากปากผู้เฒ่าชาวเกาะ…

เอร้ย ฉันขมวดจนมันสั้นเกินกว่าจะเข้าใจได้รึเปล่าเนี่ยะ?... เอาเป็นว่า ศิลปะการร้อยเรียงเล่าต่อๆ ของตัวละครที่เวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ แล้วยังได้มาเจอะเจอกันอีกเรื่อยๆ จากกันอีกเรื่อยๆ เช่นนี้... ที่ท่านผู้ประพันธ์เปรียบเปรยในทำนองเดียวกับการเดินทางของก้อนเมฆข้ามผ่านท้องฟ้า ซึ่งแม้เมฆจะเปลี่ยนรูปร่างไปต่างๆ นานา แต่ทว่า... เมฆก็ยังคงเป็นเมฆ... อืมห์... 





อย่าให้ลงลึกอะไรไปมากกว่านี้เลย เด๋วจะหมดสนุกซะเปล่าๆ... ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้เข้าฉายในโรงภาพยนต์ของเมืองไทยไปแล้วหรือไม่ เมื่อไหร่... ใครที่มีข้อมูลก็ช่วยแสดงความเห็นหน่อยเถิด... ฉันเอง ยังไม่ได้ดูเลยจ้ะ... แต่เท่าที่เห็นรายชื่อนักแสดงนำ อาทิ ทอม แฮงค์ส, ฮัลลี่ เบอร์รี่, ฮิวโก้ วีฟวิ่ง, จิม สเตอร์เกส, ซูซาน แซแรนดอน, ฮิว แกรนท์, เบน วิชอว์, คีธ เดวิด, จิม บรอดเบนท์, เจมส์ ดาร์ซี่ และ แบ ดูนา.... ฉันคงต้องหาโอกาสดูจนได้แหละ...


ง่ะ... เผลอๆ "เรา" อาจได้แย่งแผ่นดีวีดีกันที่ชั้นวางสินค้าก็เป็นได้นะ
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันฆ่าคุณตายก่อนแง๋มๆ ... ๕๕๕+

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ที่ปรึกษาจ๋าจ้ะ



เคยสักครั้งไหม ที่จู่ๆ ความรู้สึกทุกข์มันก็จู่โจมโถมถา จนแทบทรุดลงไปกอง... ถ้าเคย ยามนั้น คุณทำอย่างไรได้บ้าง?  มันดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร?  ต้องใช้เวลานานไหมกว่าจะปรับอารมณ์ได้... แล้วใคร คือผู้ที่คอยเป็นกำลังใจ ปลอบใจ หรืออยู่ข้างๆ คอยรับฟังการปรับทุกข์ มีหรือเปล่า? 
ที่สำคัญ มีใครคอยชี้แนะทางออก หรือวิธีการรับมือกับปัญหาที่เผชิญอยู่? มีหรือเปล่า?


ยามที่มีความรู้สึกแย่ๆ เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าได้ใครสักคนช่วยปลอบหรือชี้แนะอะไรดีๆ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนแนะนำหรือคำแนะนำนั้นๆ เหมาะแก่การนำไปปฏิบัติหรือเปล่า... อย่างเช่น กรณีฝ่ายหญิงปรึกษาเพื่อนสาวหรือญาติพี่น้องเรื่องสามีจอมเจ้าชู้... มักได้รับคำแนะนำให้เลิก... ซะงั้น

ทางที่ดี เวลาที่รู้สึกไม่มีความสุข... เหงา ว้าเหว่ หงุดหงิด ก้าวร้าว กลัว ระแวง... ฯลฯ ควรไปพบจิตแพทย์นะ... เพราะเขาสามารถให้การช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบได้ แถมมีหลักการที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยาโดยปราศจากอคติ... แต่ว่าไม่รู้ทำไม คนไทยเราไม่ค่อยนิยมแฮะ... ผิดกับในต่างประเทศ... ซึ่งบริการให้คำปรึกษาค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะเป็นส่วนผลักดันให้หาทางออกสำหรับปัญหาได้โดยงาย... ไม่ต้องหมกเม็ด!
 


Elaina Smith : ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตที่อายุน้อยที่สุดในโลก (7 ขวบ)

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงไปได้ ที่เด็กหญิงวัยเพียง 7 ขวบ จะมีความสามารถในด้านปฏิสัมพันธ์เป็นเลิศ จนได้รับเชิญให้ทำหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาประจำ ณ สถานีวิทยุท้องถิ่น... คงต้องยืนยันด้วยภาพที่เธอนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอเอง ในสตูดิโอ Mercia FM เมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ

แรกทีเดียว หนูน้อย Elaina Smith คงเป็นแฟนคลับติดตามรับฟังรายการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต ยามค่ำคืนของสถานีวิทยุแห่งนั้นมานานพอควร จนกระทั่งคืนหนึ่ง...

“สวัสดีค่ะ คือ แฟนฉันเค้ากำลังจะทิ้งฉันไปค่ะ นี่ฉันควรทำอย่างไรคะ?” ผู้ฟังทางบ้านโทรเข้ามา

“ท่านผู้ฟังท่านใด จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เชิญโทรเข้ามาร่วมรายการนี้นะครับ” ดีเจ. หนุ่มเชิญชวนให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการไขปรึกษาปัญหาชีวิต แบบร่วมด้วยช่วยกัน

“คุณควรออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อน และดื่มนมหนึ่งแก้วโตๆ ด้วยนะคะ” เสียงใสๆ ของเด็กหญิง Elaina โทรเข้าไปให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนดังกล่าว.... แม่เจ้า... โดนอ่ะ!

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Elaina ได้รับเกียติเข้าร่วมจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์ของสถานี และได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน... เธอสนุกกับงานที่ถนัด แม้จะเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่ประสีประสา แต่สิ่งที่เธอคิดและพูดออกมา ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย... เธอรับปรึกษาสารพัดปัญหา อาทิเช่น จะทิ้งแฟนอย่างไร?  จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน?  ปัญหากลิ่นตัวของคนในบ้าน ฯลฯ

หญิงสาวคนหนึ่ง โทรศัพท์มาถามเธอว่า "ทำยังไงถึงจะได้แฟนกลับคืนมา?"
"ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว" คือคำตอบอันชาญฉลาด ที่ตอบกลับในทันทีและทำให้เจ้าของปัญหาถึงกับอึ้งไป

บางคนถามเธอว่า "ทำอย่างไรจึงจะตัดใจจากแฟนได้?"
"เปลี่ยนตัวเอง และเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ซะ แค่นี้ เค้าก็หลอกคุณอีกไม่ได้แล้ว"

และมีบางคนถามเธอว่า "ทำอย่างไรเมื่อเจอจอมตื๊อ?"
"หลบตัวหรือไม่ก็เปลี่ยนห้อง"... อืมห์... เล่นไม่ยากเนอะ อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าเท่านั้น... จริงๆ 


สำหรับฉัน... ทุกครั้งที่มีอะไรกวนใจให้ต้องคิดมาก เสียใจ เสียความรู้สึก
ฉันจะสูดหายใจเข้าออกให้เบาๆ ยาวๆ ลึกๆ
บอกกับตัวเองบ่อยๆ ว่า "ช่างหัวมัน"


แล้วก็หลับพริ้มอย่างเป็นสุขในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น... อิอิอิ



วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โอกาสดีๆ ที่พลาดไป

          

เห็นรูปที่มีชีวิตชีวาอย่างนี้ อดไม่ได้ที่จะคิดเผื่อ... ว่านาทีต่อๆ ไป มันน่าจะเกิดอะไรขึ้น


วันหนึ่ง นั่งเรียนอังกฤษเพลินๆ... โดยบังเอิญได้พบเรื่องราวที่น่าประทับใจ จึงนำมาขยายความ หวังว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน ที่ติดตามอ่านเรื่องเล่าของฉัน

`•.¸♥ ♫ ✿ (( เรื่องมีอยู่ว่า ))    ¸.•´ 


       เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา "The Washington Post" หนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงของกรุงวอชิงตัน ดีซี ได้จัดให้มีกิจกรรมเพื่อทดสอบพฤติกรรมการรับรู้ การให้ความสำคัญของผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนของการเดินทาง ที่มีต่อสิ่งกระตุ้นอันสวยงามและทรงคุณค่ายื่ง...  เริ่มต้นขึ้นในยามเช้าของวันที่หนาวเหน็บ ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งหนึ่ง ขณะนั้นผู้คนต่างเร่งรีบเดินทางไปทำงาน มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาเมียงๆ มองๆ ก่อนจะเลือกวางข้าวของหลบอยู่ข้างเคาน์เตอร์ จากนั้นก็เริ่มบรรเลงไวโอลินด้วยบทเพลงคลาสสิก นานเกือบชั่วโมง มีผู้คนผ่านไปมามากมาย กว่า 1,000 คน เชียวแหละ....  (มามะ ไปดูพร้อมๆ กันที่นี่เลย!)

         ท่ามกลางความขวักไขว่นั้น แรกๆ พอผ่านไปราว 3 นาที มีชายวัยกลางคนรายหนึ่งหันมามอง ชะลอฝีเท้าเล็กน้อย แล้วก็เดินต่อไป... อีก 1 นาทีหลังจากนั้น หญิงคนหนึ่งหย่อนดอลล่าร์ให้โดยไม่ยอมหยุดเดิน ครู่ถัดมาเห็นมีชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพงชมการแสดงอยู่ชั่วอึดใจ ครั้นพอยกนาฬิกาขึ้นดู ก็ต้องรีบโกยอ้าว.... โดยรวมๆ แล้ว จะเห็นว่าเด็กๆ ทุกคนที่ผ่านมา มักให้ความสนใจต่อการแสดงนี้มากเป็นพิเศษ แต่ก็นั่นแหละ ผู้ปกครองจะปล่อยให้มีโอกาสยืนชื่นชมตามต้องการได้ซะที่ไหนกัน ตลอดช่วงเวลาของการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ นับจำนวนผู้ที่หยุดเพื่อชมหรือให้รางวัลได้แค่ 20 คน ได้รับเงินทั้งสิ้น 32 ดอลล่าร์ เท่านั้น

          เมื่อการแสดงยุติลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงปรบมือ ไม่มีใครสนใจใครทั้งนั้น...... เออนะ ไม่มีเลยสักคนเดียวที่รับรู้ว่าการแสดงที่จบไปตะกี้นี้ มันได้เกิดขึ้นตรงนี้จริงๆ โดยผู้ชายคนนั้น ที่ชื่อ โจชัว เบล (Joshua Bell) นักไวโอลินชั้นนำของโลก ซึ่งไวโอลินของเขามีราคากว่าร้อยล้านบาทแน่ะ และหารู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้เพียง 2 วัน บัตรชมคอนเสิร์ตของเขาที่บอสตันซึ่งราคาสูงถึงใบละ 3,500 บาท ถูกซื้อไปจนหมดเกลี้ยงในพริบตา ที่สำคัญ บทเพลงที่เขานำมาขับกล่อมในเช้านี้ ก็คือบทประพันธ์ที่แสนไพเราะซึ่งเขาเตรียมจะแสดงในคอนเสิร์ตเช่นกัน.... โอ พระเจ้า! รู้อย่างนี้แล้ว คุณๆ ทั้งหลายที่พลาดโอกาสดีๆ ตรงหน้าไปแล้วนั่น ยังอยากจะย้อนอดีตให้หวนคืนกลับมาบ้างรึเปล่าน้อ?

Joshua Bell เดี่ยวไวโอลิน 
          ในบรรดาเราๆ ท่านๆ ล่ะ แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอประสบการณ์ตรงเช่นพวกเขาข้างต้น แต่ก็คงได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์กันไปบ้าง ไม่มากก็มากที่สุดกระมัง..... กี่ครั้งแล้วหนอ ที่เคยรีบร้อนข้ามผ่านเรื่องราวดีๆ ไปอย่างคาดไม่ถึง มาสำนึกเอาป่านนี้เหอะ มันน่าเสียดายจริงๆ... หากคำอธิษฐานขอพรสมประสงค์ได้สักครั้ง ฉันขอเพียงอย่ามีใครต้องพลาดโอกาสดีๆ ไปก็แล้วกัน

จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน มีเธอ มีฉัน... มีเราตลอดไป ได้รึเปล่า?
และนับต่อจากนี้ เราน่าจะต้องผ่อนฝีเท้าให้เนิบช้าลงบ้างสินะ เพื่อที่จะสัมผัสซึมซาบสิ่งสวยงามรอบๆ ตัวให้ได้มากกว่าก่อนไงล่ะ... เพียงแค่คิด โลกนี้ก็น่าภิรมย์ขึ้นเยอะเลย... ว่าไปนู่น!




วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คิดถึงจังเลย



เมื่อฉันเดินทางไปถึงสนามบิน Dallas Fort Worth แห่งอเมริกา... ดูจากภายนอกแล้ว ที่นั่นไม่ได้ใหญ่โตหรูหราสักเท่าใดนักเมื่อเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิของบ้านเรา หรือสนามบินอินชอนของเกาหลีใต้... หากแต่ พอเข้าไปในตัวอาคารแล้ว ถึงกับร้องอู้ววววส์...


ดูสิ... มองไปทางไหนๆ แม่เจ้าโว้ย.... มันเนี้ยบมาก!! 


ที่สำคัญ... บริเวณหลังประตูห้องผู้โดยสารที่มาจากภายใน (เขตห้ามเข้า) มีภาพน่าประทับใจเกี่ยวกับการต้อนรับนายทหารอาสาสมัครอเมริกันที่กลับจากการไปปฏิบัติงานยังอัฟกานิสถานและคูเวต ไม่ใช่สิ พวกเขาทั้ง 350 นาย ได้รับอนุมัติให้ลากลับมาเยี่ยมครอบครัวในวันคริสต์มาสอีฟ เป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยกลับถึง Dallas Fort Worth International Airport ใน 24 ธันวาคม 2011 เมื่อครบกำหนดการลาแล้ว พวกเขายังจะต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเคย...

มีประชาชนและสมาชิกครอบครัว มารายล้อมรอรับขวัญ อย่างชื่นชมราวกับฮีโร่ก็ไม่ปาน


การปรากฏตัวของทหารกล้าแต่ละนาย จะมีคนสำคัญโผเข้าหาด้วยความรักและคิดถึงอย่างสุดซึ้ง


ทั้งลูก เมีย พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง.... รวมถึงสัตว์เลี้ยงคู่ใจ... คู่แล้ว... คู่เล่า...


มันเป็นการเตรียมการของหลายฝ่าย เพื่อสร้างความปิติสุขอย่างหาที่สุดมิได้ ให้สมกับที่ได้รอคอยกันและกันมาอย่างยาวนานด้วยความเสียสละ ยินดีพลีชีพเพื่อชาติ... แด่ทหารกล้าแห่งกองทัพอเมริกัน

หาใช่มีเพียงแค่การต้อนรับที่สนามบินอย่างที่เห็นในภาพถ่ายเท่านั้น... สำหรับอีกหลายครอบครัวที่ไม่สามารถไปร่วมต้อนรับตามกำหนดที่สนามบินได้ ก็มีการเตรียมบิ๊คเซอร์ไพรซ์ให้ทุกครอบครัวด้วย ทั้งนี้ ได้มีการบันทึกภาพแห่งความทรงจำอันน่าประทับใจมาถ่ายทอดให้ชมเรียกน่ำตาได้อย่างไม่รู้เบื่อ... เชิญชมกันเองนะจ๊ะ นะ ...


ถ้าหากที่บ้านเรา... เมืองไทย... มีการจัดกิจกรรมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอวลกลิ่นอายความรักความคิดถึงเช่นนั้น เป็นรางวัลให้กับทหารหาญบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย... ว่ามั้ย?... 


ช่างเหอะ แม้จะไม่มีอย่างที่อยากจะให้มี ก็อย่าไปถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ซะก็สิ้นเรื่อง... ฉันจัดเพลงเพราะๆ ให้ฟังก็ได้จ้า... เพลงนี้ เพราะมาก มีความหมายลึกซึ้งกินใจดี... ฟังแล้วเข้าถึงความรู้สึกคิดถึงอย่างสุดๆ

ใครไม่เชื่อ... ก็ลองฟังดูเองแระกัน... นะจ๊ะ นะ


ศิลปิน: พีซเมกเกอร์
อัลบั้ม: Greenlight Project

หลับตาลงยังรู้สึก ท่ามกลางความอ้างว้างในหัวใจ 
ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย และลมหายใจที่ว่างเปล่า 

อยากให้เธอได้สัมผัส กับความห่วงใยที่มีให้เธอ 
ได้ยินเสียงของพระจันทร์ที่กล่อมเธอฝันดี ให้เธอได้รู้ตลอดไป 

ว่าทุกเวลา ที่เราห่างกันแสนไกล ยังมีอีกคำในหัวใจ 
ที่จะบอกเธอ ให้เธอได้รู้และเข้าใจ 
ว่าคิดถึงเธอ เมื่อเราห่างกันแสนไกล มีคำหนึ่งคำจะพูดไป 
ให้เธอได้รู้ จะแทนความหมายความห่วงใย ฉันคิดถึงเธอ 

อยากให้เธอได้สัมผัส กับความห่วงใยที่มีให้เธอ 
ได้ยินเสียงของพระจันทร์ที่กล่อมเธอฝันดี ให้เธอได้รู้ตลอดไป 

อยากให้เธอได้สัมผัส กับความห่วงใยที่มีให้เธอ 
ได้ยินเสียงของพระจันทร์ที่กล่อมเธอฝันดี ให้เธอได้รู้ตลอดไป 

ว่าทุกเวลา ที่เราห่างกันแสนไกล ยังมีอีกคำในหัวใจ 
ที่จะบอกเธอ ให้เธอได้รู้และเข้าใจ 
ว่าคิดถึงเธอ เมื่อเราห่างกันแสนไกล มีคำหนึ่งคำจะพูดไป 
ให้เธอได้รู้ จะแทนความหมายความห่วงใย ฉันคิดถึงเธอ 

ก็ฉันมีเพียงเธอ 



วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เวลาจะช่วยอะไร



วันหนึ่ง มีสาวน้อยสดใสคนหนึ่ง ตั้งกะทู้ถามมาในสตรีมโพสต์... ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อคนเรารักกัน?... มีคนให้ความสนใจและร่วมแสดงความเห็นมากมายหลายหลาก บ้างก็ตอบว่า ความเข้าใจ, ความซื่อสัตย์, การให้อภัย, ความเอาใจใส่กันและ, เซ็กส... ฯลฯ และ เวลา...


อืมห์... บอกแล้ว ว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดในรูปแบบของตัวเอง... ไม่มีใครห้ามใครได้หรอก




เพลง "คนไม่มีเวลา"  ศิลปิน : ว่าน ธนกฤต


กริ๊งๆๆ..... เสียงโทรศัพท์ที่มุมโต๊ะทำงานดังขึ้น ฉันเอื้อมมือไปรับสายในทันที
“สวัสดีค่ะ... รับสายค่ะ” ฉันส่งเสียงใสๆ ไปตามสาย เหลือบดูนาฬิกาที่ผนัง บอกเวลา 14.15 น.
“อ้อ เจอตัวพอดีเลย เดี๋ยวออกเยี่ยมบ้านกับพี่หน่อยนะ อีก 15 นาที เจอกันที่รถ” ฉันออกจะงงๆ กับคำข้อร้องแกมบังคับของพี่ตา เพื่อนรุ่นพี่ แต่ก็รีบเตรียมของใช้จำเป็น ก่อนมุ่งตรงไปยังสถานที่นัดหมาย... ที่นั่น พี่ตานั่งรออยู่ในรถพยาบาลก่อนแล้ว...
“สวัสดีค่ะพี่ตา ขอโทษนะคะ ที่มาช้า” ฉันรีบออกตัวไว้ก่อน ไม่อยากโดนดุนี่นา
“ไม่ช้าหรอก พี่มันคนใจร้อนก็เลยมาคอยในรถก่อน มาขึ้นมา.... ออกรถได้” พี่ตาสั่งล้อหมุนทันที เธอกระฉับกระเฉงเสมอไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก หรือใกล้ไกลแค่ไหน.... ขอให้รู้ว่ามีคำร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ป่วยทางบ้านเหอะ
“บั๊ดดี้ของพี่ตาไปไหนคะ?” ฉันถามหาเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เป็นคู่หูของเธอ
“เค้าไปอบรมตลอดสัปดาห์ ก็เลยต้องรบกวนน้อง... นี่ไง คงไม่ว่ากันนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องยินดีเสมอ ขอให้บอก” ฉันระล่ำระลักบอกไปเพื่อให้พี่เค้าคลายกังวล
“เราจะไปทำแผล เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะและสายยางป้อนอาหารให้คนแก่รายหนึ่งที่เกาะ อาจกลับมาช้าหน่อย ทางบ้านจะตำหนิหรือเปล่า? แต่พี่สั่งเด็กโทรไปแจ้งให้แล้วนะ” ดูเธอรอบคอบจริงๆ อุตส่าห์มีน้ำใจจัดการเรื่องส่วนตัวให้ด้วย ไม่รู้ทำไม ใครต่อใครไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ เธอนัก...
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดได้แค่นั้น... เงียบกันไปพักนึง... ถึงสะพานปลา เราย้ายสัมภาระไปขึ้นเรือ มองเห็นเกาะอยู่ลิบๆ ตรงหน้า... บึ่งเรือไม่เกิน 15 นาที เทียบท่าหน้าบันไดเรือนไม้ขนาดย่อมๆ หลังหนึ่ง สภาพเก่าทรุดโทรม... พี่ตาเดินนำหน้าอย่างคุ้นเคยเข้าไปในเรือน... ผ่านเด็กรุ่นสาว 2 คน และหญิงสูงวัยร่างอวบอีกคนหนึ่ง นั่งหน้างอกันอยู่ที่ระเบียงด้านนอก โดยไม่ลุกมาทักทาย... ฉันเองออกจะงงๆ กับท่าทีของเจ้าของบ้านเหล่านั้น แต่ก็รีบจ้ำอ้าวตามพี่ตาไปติดๆ...

ชายแก่คนหนึ่ง นอนทอดกายบนที่นอนเก่าๆ บนพื้นกระดาน ร่างกายซีด ซูบผอม แววตาร่วงโรย ริมฝีปากแห้งแตก... ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้านุ่งปิดท่อนกลาง เท่านั้น ความสะอาดไม่ต้องถามถึง... ดูน่าเวทนานัก... เราทักทายคนไข้ตามธรรมเนียม มือก็ทำงานไปตามหน้าที่... แผลกัดทับที่ก้นขนาดใหญ่และลึกมาก ต้องใช้ผ้าก๊อซที่เตรียมมาเป็นพิเศษ มิน่า พี่ตาถึงได้ขนเครื่องมือมาซะห่อเบ้อเริ่ม...

“เดี๋ยวเสร็จแล้วก็อุ้มขึ้นรถไปซะด้วยเลยสิคุณหมอ ไม่ต้องลำบากไปๆ มาๆ อยู่บ่อยๆ ให้รำคาญ” ยายพูดดังฟังชัด... ขณะที่เรากำลังเช็ดตัวให้คนไข้เพราะความสงสารที่ขาดการดูแลใจใส่จากญาติ...

“คนป่วยเรื้อรังที่พอจะดูแลกันเองที่บ้านได้ก็ช่วยๆ กันหน่อยเถอะ สอนทุกอย่างให้ญาติแล้วนี่นา... ที่เจ็บไข้รายใหม่ก็ล้นโรงพยาบาลทุกวี่วัน... เห็นใจกันบ้าง” พี่ตาโต้กลับอย่างเฉียบขาด ทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป...

“อาหารสำหรับป้อนทางสายยางก็เอามาให้กระป๋องหนึ่ง รักษาความสะอาดอุปกรณ์ให้ดีๆ ไม่งั้นคนไข้จะท้องเสียได้” พี่ตาสำทับ ก่อนจะลงเรือน... เราไม่ได้ล่ำลากันอย่างที่ควรจะเป็น ไม่แม้กระทั่งล้างมือฟอกสบู่... ขึ้นนั่งในรถเสร็จสรรพจึงค่อยเช็ดด้วยอัลกอฮอล์เจล... ฉันนิ่งงัน ไม่มีคำถามหลุดจากปาก ความหดหู่ใจเข้าครอบงำ...

“ก่อนเคยหล่อเคยรวย เป็นไต้ก๋งเรือ เนื้อหอมเสียจนใครต่อใครฝันถึงเลยหล่ะ” นี่คือคำบอกเล่าสั้นๆ ของพี่ตา ฉันเองนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง... สายใยรักของครอบครัวมันขาดหายไปตอนไหน เพราะอะไร... ยามนี้ ดูเหมือนทุกคนอยู่ร่วมชายคากันอย่างพร้อมหน้า... มีเวลาให้กันและกันอย่างเต็มที่ทุกๆ วัน วันละ 24 ชั่วโมง... เพียงแต่ ไม่เป็นที่ต้องการเอาเสียเลย...

อาห์.... เวลาไม่ช่วยอะไรจริงๆ