วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความรักหายไปไหน?


ณ วันนี้... เท่าที่ฉันสังเกต... หลายๆ อย่าง ดูเปลี่ยนไป... เยอะเลย...
เขา... เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยยิ้มแย้ม ทักทาย พูดคุยตามประสา...
เขา... เก็บตัวเงียบ หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน... จะรู้ตัวบ้างมั้ยนะ
เขา... ทำให้คนๆ หนึ่ง ทุกข์ซะมากมาย... มันเป็นเพราะอะไร?


อืมห์... เวลากับใจคน... ใช่ว่าจะตรึงให้มันนิ่งอยู่กับที่ได้... สินะ
ขณะที่คนๆ หนึ่ง... ยังยิ้มร่า ไปไหนมาไหนได้อย่างเคย...
หากแต่อีกคนหนึ่ง... กลับมีทีท่าอมทุกข์... ซึมเศร้า... เหงาเงียบ...


ดูสิ... เธอซูบผอม อิดโรย หน้าตาหม่นหมอง ร้องไห้...  
ถ้าทำได้... ฉันอยากเข้าไปกอด ลูบหลัง รับฟังเธอระบาย...
ถ้าทำได้... อยากปลอบขวัญให้เธอหยุดร้องไห้... ทุกข์เกินไปแล้วหนา... คนดี
ถ้าทำได้... จะบอกเธอ ควรจ้องมองที่ตัวของเรา มองลึกเข้าข้างใน >> จิตใจ
ดูให้เห็นตัวตน... ดูซิว่ามีอะไรต้องปรับเปลี่ยนบ้าง... นะ นะ
แม้กระทั่งการเอ่ยคำ... "ขอโทษ"  ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าได้ทำอะไรผิดไป...



สักนาที (ช่วยเป็นคนเดิม) : โมเม

หากว่าฉันนั้นคิดไปเอง หากว่าฉันทำตัววุ่นวาย
หากว่าฉันทำตัวยุ่งยากเกินไป รบกวนสักหน่อยละกัน
หากว่าเธอไม่คิดอะไร หากว่าเธอไม่เคยไหวหวั่น
ไม่เป็นไรถ้าเธอไม่คิดตรงกัน ขอเพียงให้เธอเข้าใจ

ไม่ได้ขอให้รัก ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ให้เห็นกันเป็นเพื่อนเก่า
แค่อย่าทำห่างเหิน อย่าทำเมินเฉย แค่นั้นจะได้หรือเปล่า
อยากพบคนเดิม อยากพบจริงๆ คิดถึงจริงๆ
อยากขอจริงๆ คิดถึงคนดีที่หายไป

อยากให้เธอเป็นเหมือนวันวาน อย่างที่เคยมีฉันในใจ
สักนาทีได้ไหม ให้ฉันได้เจอคนเดิม
อยากเจอคนที่รักกันมา อยากเจอคนที่เคยหวังดี
ให้เธอตามคืนมาให้ซักนาที ได้ไหมแค่อยากร่ำลา

คนที่ฉันคิดถึงจังเลย คนที่เคยช่วยซับน้ำตา
คนที่เคยแคร์กันเหมือนที่เคยมา แค่นี้ที่อยากขอเธอ

ไม่ได้ขอให้รัก ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ให้เห็นกันเป็นเพื่อนเก่า
แค่อย่าทำห่างเหิน อย่าทำเมินเฉย แค่นั้นจะได้หรือเปล่า
อยากพบคนเดิม อยากพบจริงๆ คิดถึงจริงๆ
อยากขอจริงๆ คิดถึงคนดีที่หายไป

อยากให้เธอเป็นเหมือนวันวาน อย่างที่เคยมีฉันในใจ
สักนาทีได้ไหม ให้ฉันได้เจอคนเดิม


และ... มันคืออะไร... มันเกิดอะไร... ยังงัย... ?

ฉันได้แต่ถามตัวเอง... ด้วยปรารถนาให้ผู้คนมีรอยยิ้ม เท่านั้น

ช่างไม่รู้กันบ้างเลยหรือ?

ชีวิต... จะเอาอะไรแน่นอนได้ที่ไหน...

ใครจะอยู่หรือใครจะไปเมื่อไหร่... ก็ย่อมได้ทั้งน้าน...

แล้ว... จะมัวมานั่งอมทุกข์... ให้เสียเวลา... ทำไม

รักกัน รักกัน ไม่ดีกว่าหรือ?

เฮ้อๆๆๆๆ.... เฮ้อ


วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หน้ากาก... ถอดได้ไหม?

เคยได้ยิน... ผู้คนเค้าบอกต่อๆ กันว่า... "รักแท้" แค่มองตา... ก็รู้...ใจ
ฮื้อ... ฉันสงสัยจังว่า... จะรู้ได้งัย?... ก้อในเมื่อสายตานั้น... แชเชือน... นัก

ในสังคมเมือง... โดยเฉพาะเมืองหลวง... ผู้คนรู้จักกันผิวเผิน... จัง
บ่อยครั้งที่เจอกันแล้ว... เมินหน้า... หาความเป็นมิตร... ได้ยากส์
ดูๆ ไป ราวกับอยู่ร่วมกัน... โดยสวมหน้ากาก... ตลอดเวลา... ว่าไปนั่น
ต่างคน ต่างคิดตรงกันว่า... น้ำใจไมตรีของผู้คนนั้น หายาก... ราวกับงมเข็มในอ่าง... เก็บน้ำ
เอาเหอะ... แม้ว่า... จะมีรอยยิ้ม... เจื่อนๆ... ให้กัน... บ้าง
ก้อใช้ว่าจะแน่ใจได้... จริงใจซักแค่ไหน?... ช่ะ
หรืออาจแค่... "สวมหน้ากาก" จำเป็นต้องใส่หน้ากาก... กันเชียวหรือ... ทำไมล่ะ?

ก้อถ้าเราจริงใจไม่จริงโจ้... แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเรา... อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน...ใครอื่น... จะจริงใจตอบหรือไม่... ก็แล้วแต่ซิ... เนอะ ๆ...
ไม่อยากคิดให้รกสมองแระ... เปล่าประโยชน์... ว่ามั้ย?

อืมห์... จะว่าไป... ตอนที่โรคซาร์ระบาดหนัก... มีคนป่วย... ล้มตาย...
ต่อด้วยโรคไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ปีต่างๆ ระบาด... หลายครั้งหลายครา...
ผู้คนต่างตื่นตัวในการป้องกันโรคภัย... สวมหน้ากากกันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด...
จนกระทั่ง... สถานการณ์เริ่มดีขึ้น... จึงค่อยๆ เลิกใส่... ไปโดยปริยาย...
ส่วนใครยังใส่อยู่อีก... จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม... กลายเป็นตัวประหลาดไปซะฉิ...

ตอนนี้... เริ่มมีการระบาดของไข้หวัด 2009 กลับมาอีกแระ...
เตรียมหาหน้ากากไว้ใส่กันได้แล้วล่ะ... เพื่อนๆ เอ๋ย...

ฉัน... จริงใจ... เปล่าใส่หน้ากาก... จริงๆ เชื่อได้...

เพลง: หน้ากาก : ศิลปิน แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร
อัลบั้ม: Any Amp

 

เคยไหมที่ต้องทน  กับการปั้นหน้าเอาไว้  อึดอัดแทบจะตาย ต้องคุยต้องเจรจา
ฝืนยิ้มหัวเราะกันไป ไม่ให้ใครๆ รู้ว่า... ที่จริงที่แท้น้ำตาตกใน

ไม่รู้ใครเป็นคน กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ยิ่งเข้มแข็งเท่าไหร่ ยิ่งดูไม่ธรรมดา
ทั้งๆ ที่ทุกข์ประดัง แต่กลัวจะเสียหน้า ต่างคนต่างใช้หน้ากากเข้าหากัน

รู้ไหมว่าเหนื่อยแค่ไหน รู้ไหมว่าฝืนใจ ที่ต้องทำเหมือนแข็งแรงเข้าไว้
อยากมีใครซักคน ให้ฉันได้ซบตรงไหล่ กอดคอร้องไห้... ได้โดยไม่อาย

ทั้งๆ ที่ทุกข์ประดัง แต่กลัวจะเสียหน้า ต่างคนต่างใช้หน้ากากเข้าหากัน
รู้ไหมว่าเหนื่อยแค่ไหน รู้ไหมว่าฝืนใจ ที่ต้องทำเหมือนแข็งแรงเข้าไว้

อยากมีใครซักคน ให้ฉันได้ซบตรงไหล่ กอดคอร้องไห้... ได้โดยไม่อาย
อยากมีใครซักคน ให้ฉันได้ซบตรงไหล่ กอดคอร้องไห้... ได้โดยไม่อาย

เมื่อวันที่เสียน้ำตา จะมีซักคนไหม?....
ให้กอดให้ซบ ได้โดยไม่ต้องอาย.... ร้องโดยไม่อาย...



อืมห์... ใครซักคน ให้ฉันได้ซบตรงไหล่
กอดคอร้องไห้ ได้โดยไม่อาย
ในวันที่เสียน้ำตา


คนเรา... เป็นไปไม่ได้หรอก
ที่จะมีความสุขในทุกๆ นาทีของชีวิต...
แต่... แค่อยากให้ทุกนาทีของความสุข
ถูกบันทึกไว้... 
ว่าเรา...
ยังมีกันและกัน
....
ได้หรือเปล่า?

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลูกสาวบุญเสริม

ก่อนหน้านี้... สมัยที่ฉันเพิ่งจะมีเจ้าตัวเล็ก ตอนนั้น เค้ายังไม่หย่านม...
พอตกค่ำ สมาชิกในบ้าน รวมถึงเพื่อนข้างบ้านกว่าสิบคน มานั่งล้อมวงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ที่บ้านฉันเกือบทุกวัน มีความสุขไปกับการที่เจ้าตัวเล็กซุกไซ้อกฉันและโผล่หน้าแป้นแร้น มาให้ใครๆ หยอกล้อ... ต่างพากันหัวเราะ หนุกหนานได้อยู่เรื่อยๆ... ครั้นถึงตอนที่มีเพลงๆ หนึ่ง จากละครเรื่อง "แม่นาคพระโขนง" และมีเสียงเรียกหวานๆ โหยหวนชวนขนลุก... พี่มากจ๋า า า า ......


มันทำให้เจ้าตัวเล็กถึงกับตัวเกร็ง จนฉันรู้สึกได้... ฮ่าๆๆ 

วันหนึ่ง เพื่อนบ้านข้างๆ อุ้มลูกสาวซึ่งคลอดก่อนฉันสามเดือน... เดินเข้ามาหาถึงในบ้าน...
เธอเอ่ยขอร้อง... ให้ลูกของเธอได้ดูดนมจากฉันด้วยคน... ฉันยิ้มด้วยความยินดี... เอื้อมรับเด็กมานอนในตัก... ให้นมแม่ได้ในทันที ไม่มีปัญหา... จากนั้น ฉันก็เป็นแม่ทูนหัวของลูกบุญเสริมไปโดยปริยาย... ให้นมเธอคู่กับลูกสาวฉันทุกวัน เท่าที่ลูกๆ ต้องการ... 


ตอนนี้ เธอโตเป็นสาวแล้ว สวยช่ะ... เธอจบโทจากต่างประเทศ... เรายังติดต่อกันบ้างตามโอกาส 
เรื่องราวชีวิตและครอบครัวของเธอ เปลี่ยนแปลงแทบไม่เหลือเค้าเดิม... อนิจจา...!!!

ด้วยรักและปรารถนาดี ฉันไม่รอช้าที่จะหาหนังสือดีๆ ส่งไป ให้เธออ่าน...
หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้เธอและผู้คนรอบข้างของเธอด้วย...
เล่มแรก... "แด่คุณที่ไม่มีแฟนมาแสนนาน"
เล่มนี้... เหมาะสำหรับคนโสดจ้ะ แต่จะสนิทหรือไม่สนิท ก้อไม่ว่ากัน...
ผู้เขียนเน้นให้ผู้หญิงอ่าน... หญิงที่โสดสนิท หรือโสดแบบรักๆ เลิกๆ ตลอดเวลา... เง้ยยส์
แต่ฉันว่าผู้ชายก้อควรหามาอ่านบ้าง... จะได้เข้าใจกันและกัน... ได้ง่ายขึ้น... เน้ะ


หามาอ่านกันซะ ถ้าพร้อมจะมีรักแท้

ที่จริงแล้ว คนโสด รวมทั้งคนที่ไม่โสดแต่ไร้คนเคียงข้างทั้งหลาย... มักคำนึงถึงปัจจัยภายนอกซะเป็นส่วนมากใหญ่... เผลอลืมสิ้นที่จะมองย้อนกลับเข้าไปหาตัวเอง... ซึ่งนั่นหล่ะ คือ ต้นเหตุของ "ภาวะโสด" และถ้าหากใครไหวตัวทัน... มีสติ หรือเรียนรู้ทักษะชีวิต ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้... ย่อมพบกับความโชคดี... พรั่งพร้อมด้วยครอบครัวที่อบอุ่น... ทั้งนี้ ทั้งนั้น... ยังมีอีกไม่น้อยเลย ที่ยังคงต้องเดินทางค้นหาความรัก... อีกต่อไป...

ส่วนอีกเล่มหนึ่ง... นี่เล้ย... "ชีวิตคู่ต้องรู้กัน : His needs, Her needs"
ผลงานของ ดร. วิลลาร์ด เอฟ ฮาร์เลย์ จูเนียร์  แปลโดย อรทัย พงศ์อัครดุล
288 หน้า ราคา 229 บาท ตีพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2549 สินค้าหมดตลอดกาล... เง้อ
ฉันชอบอ่านเล่มนี้... มากถึงมากที่สุด... และ อ่านจนจำได้เกือบทุกหน้า...
ก่อนที่จะให้คู่รักหวานแหว๋วคู่หนึ่ง ยืมไป... อย่างไม่มีวันได้คืน... เง้อ...
หนังสือเล่มนี้นั้น... ให้แง่คิด ข้อเตือนใจ... ซะมากมาย...
มีแนวทางบริการความรัก ความสัมพันธ์ ที่บอกผ่านเรื่องราวของคู่สามี-ภรรยา... หลายคู่...
ชวนให้มองเห็นภาพหลากหลายประเด็นปัญหา... ข้อขัดแย้ง... และประสบการณ์
มีจิตแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัว คอยวิพากษ์... พร้อมทั้งเสนอแนะวิธีที่ละมุนละม่อมกว่า ซึ่งผลลัพธ์ ก็มีทั้งแบบลงเอยอย่างเป็นสุข ไปจนถึง... หย่าร้าง...


รักนิรันดร์... ไม่น่ายากเลย... แต่ ง่ายซะที่ไหน


ฉันมิเพียงปรารถนาดีต่อลูกสาวอีกคนของฉันเท่านั้นดอกหนา
กับคุณๆ ผู้อ่านก็ด้วยจ้ะ 
อย่านะ อย่าเพิ่งเชื่อฉันง่ายๆ
เพราะฉันอาจแค่โม้ ไม่เป็นโล้เป็นพาย... เจ๋ยๆ
ไปหามาอ่านเองเต๊อะ... ยิ่งอ่านมาก ความคิดของคุณก็จะเป็นบวกมาก
เมื่อนั้น... คุณจะเข้าถึงจิตใจผู้อื่นได้ไม่ยาก

จากนั้น... ต่อให้คุณตัวโตสักปานใด
ก็สามารถเข้าไปนั่งได้สบายๆ ในใจคน... บางคน!!

ขอให้โชคดี... ทุกคน... จ้ะ

จรุ๊ฟส์ๆ


วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โสด-ไม่โสด... แล้วงัย?

หวัดดีจ้ะ... วันนี้อากาศสดชื่น สบายใจจัง... ว่ามะ?
หลังจากอาบน้ำแต่งตัว เข้าครัว... เสร็จ...
แล้วคุณป้า... ญาติห่างๆ ท่านหนึ่ง... ก็เดินมาหา...
เธอให้ฉันฟังเพลงๆ หนึ่ง จากมือถือ...แล้วถามว่ารู้จักเพลงนี้ไหม?
ฉันอมยิ้ม... พร้อมกับส่ายหน้า...
ตอบไปตรงๆ ว่าเพิ่งเคยได้ยินได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก...
อืมห์... ก็ไพเราะดีนะ... ลองฟังดู...

ฉันจดข้อมูลลวกๆ... แล้วค่อยไปค้นหาเอาจากเน็ตทีหลัง... 
ในที่สุดก็เจอ... ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม

เดินด้วยกันไหม : ศิลปิน Past tales

เคยเดินผู้เดียวมันเปล่าเปลี่ยว ฉันเองนั้นเดินคนเดียวก็นาน
เคยมีผู้คนมาผ่านๆ แค่เพียงไม่นานแล้วเขาก็ไป
แค่อยากมีใครมาเดินด้วยกัน อยากมีคนกอดฉัน เวลาหวั่นไหว
อยากให้เขามาคอยปลอบใจ เมื่อยามเราเหงา
อยากมีคนนั้นคอยเคียงข้างกัน แบ่งปันความฝันที่มีของเรา
และความทุกข์ก็คงแบ่งเบา แค่เราเดินด้วยกัน
เธอเดินผู้เดียว ดูเปล่าเปลี่ยว เห็นเธอนั้นเดินคนเดียวก็นานแล้ว
เคยมีผู้คนมาผ่านๆ แค่เพียงไม่นานแล้วเขาก็ไป
แค่อยากมีใครมาเดินด้วยกัน อยากมีคนกอดฉัน เวลาหวั่นไหว
อยากให้เขามาคอยปลอบใจ เมื่อยามเราเหงา
อยากมีคนนั้นคอยเคียงข้างกัน แบ่งปันความฝันที่มีของเรา
และความทุกข์ก็คงแบ่งเบา แค่เราเดินด้วยกัน
แค่อยากมีเธอมาเดินด้วยกัน อยากให้เธอกอดฉัน เวลาหวั่นไหว
มีเธอนั้นมาคอยปลอบใจ เมื่อยามที่เราเหงา
อยากมีเธอนั้นคอยเคียงข้างกัน แบ่งปันความฝันที่มีของเรา
และความทุกข์ก็คงแบ่งเบา แค่เราเดินด้วยกัน
และเธอนั้นจะรังเกียจไหม ถ้าเราเดินด้วยกัน..

ฉันใช่พหูสูตร ซะที่ไหนกัน

ก่อนนู้น... ก้อป้าคนนี้แหละที่เคยคุยกันเมื่อครั้งที่ฉันกำลังเป็นแม่ลูกอ่อนมีใครต่อใครคอยห่วงใยประคบประหงมไปซะหมด... ป้าบอกว่าอยู่เป็นโสดดีกว่าแต่งงานเพราะไม่ต้องมีภาระเพิ่ม ไม่ต้องมีห่วงผูกคอ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงดูอุ้มชูลูกเล็กๆ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้... ไม่ต้องถ่างตารอเวลาสามีกลับบ้านดึกดื่นไม่รู้จักเวร่ำเวลา... ไม่ต้องคอยเตรียมอาหารให้ถูกปาก ถูกใจ... ฯลฯ สารพัดข้อดีของการครองความเป็นโสดถาวร...

ยามนั้นฉันเองได้แต่รับฟังแล้วก็ยิ้มๆ (ให้กำลังใจตัวเอง) มิบังอาจโต้แย้งความคิดเห็นส่วนตัวของป้าแกดอกหนา... ทั้งที่มันก็มีส่วนถูกอยู่มิใช่น้อย เพียงแต่ความสุขที่สัมผัสได้โดยตรงหลายๆ อย่างของการมีครอบครัวนั้น อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ง่ายนัก จึ่งเลือกที่จะฟังความเงียบๆ...

จนกระทั่งวันหนึ่ง ป้าเกิดได้ยินเพลง "ขอใครสักคน" ขับร้องโดย ลีโอพุฒ... เข้าใจว่าความไพเราะของท่วงำนองดนตรีและเนื้อหาบทเพลงคงจะซึ้งโดนใจจริงๆ จังๆ ทำให้ป้าถึงกับเอ่ยปากอยากมีใครสักคนในชีวิตกับเชาขึ้นมาบ้างและถามฉัน (อีกแล้ว)... ทำงัยจะหาแฟนดีๆ ได้ซักคน?

เอ้อ... คือว่า... คือ... ฉันอ้ำอึ้ง เอ๋ออมตุ่ย... ไปพักหนึ่ง

คิดๆๆ... จะตอบยังไงดี...

ฉันเคยหาแฟนที่ไหนกันเล่า...

จำได้ว่า เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ จดหมายที่ได้รับจากเพื่อนชายจะกี่ฉบับก็ตาม คนที่ได้เปิดอ่านแล้วหัวเราะกันคิกคักคือพี่สาวทั้งสามคนของฉันต่ะหาก...


เออนะ... ฉันว่า 'เจ้าความรักกับคนรัก'  มันออกจะคล้ายผีเสื้ออยู่หน่อยๆ... 

บางคนแค่ได้เห็นภาพสวยๆ แม้ไม่เคยเห็นของจริงแต่รู้สึกชอบไปแล้ว... บางคนชอบมากถึงกับต้องเอาสวิงไปวิ่งไล่จับ... บางคนชอบบี้หนอนผีเสื้อที่มาเกาะกินยอดอ่อนของพืชผัก... บางคนชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้ และได้ชื่นชมผีเสื้อขยับปีกอย่างสวยงามเป็นของแถม...


ฉันเอง ไม่เคยต้องวิ่งไล่ตามผีเสื้อแสนสวยนั่นหรอก จู่ๆ มันก็มาของมันเอง ไล่ไปก็ไม่ไป... ถ้าหากฉันเห็นตอนมันมีสภาพเป็นหนอนคงขนพองสยองขวัญไม่เบา... อิอิ

สำหรับฉันแล้ว ปัญหาคือ ทำอย่างไรรักจะยั่งยืนต่ะหาก... โธ่

คู้แท้หรือแค่เท่ห์... ปานแดง


ใครเคยได้ยินได้ฟัง ความเชื่อเกี่ยวกับรอยปานที่ติดตัวมาแต่กำเนิดบ้าง?
ฉันรู้มาว่า คนโบราณ เค้ามีความคิดความเชื่อ เกี่ยวกับรอยปาน... ไว้ว่าอย่างนี้...

เด็กทารกคนใดก็ตาม หากมีรอยปานติดตัวมาแต่กำเนิด เรียกว่ามีตำหนิ... ซึ่งเชื่อได้ว่าเคยเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง... เมื่อเสียชีวิตลง ถูกญาติๆ ทำตำหนิไว้... ด้วยการป้ายปูนแดง ทำให้เกิดปานแดง หรือป้ายถ่าน ทำให้เกิดปานดำ... หากแม้นมีบุญหนุนนำจริง ไปเกิดใหม่อีกครา จะสามารถจดจำกันได้... โดยสังเกตจากตำหนิ... รอยปาน...



สำหรับเรื่องความรักและคู่ชีวิต... ก้อมีความเชื่ออยู่ว่า... เนื้อคู่ที่แท้จริง... อาจมีปานแดงที่นิ้วก้อยข้างซ้าย... คล้ายๆ กัน... รอจนวันหนึ่ง... ปานแดงนี้จะนำให้คนทั้งคู่ ได้มาพบกันและรักกันในที่สุด... หลายๆ คนอาจจะเชื่อ... ขณะที่หลายคนไม่เชื่อ... นานาจิตตัง...


บุญส่ง... คือชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง... เค้ามีปานแดงตรงปลายนิ้วก้อยข้างซ้าย...
เค้าเห็นมันตั้งแต่จำความได้... คิดอยู่เสมอว่า... จะมีคนอื่นเหมือนเค้าบ้างหรือไม่? ถ้ามี... คือใคร?... นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เค้าออกเดินทางเพื่อค้นหา... ราวกับสิ่งท้าทายที่สุดในชีวิต... ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เค้าตามหานั้น อยู่ที่ไหน?... มีอยู่จริงหรือไม่?... ชาตินี้จะมีโอกาสได้พบเจอไหม?... เมื่อไหร่?... ยังงัย?...

เมื่อบุญส่งโตเป็นหนุ่มใหญ่... เค้าเริ่มออกเดินทางตามรอยปานแดงตรงปลายนิ้วก้อย... มันคือการเดินทางที่ออกจะไม่มีจุดหมายชัดเจนนัก... แรมรอนไปตามเมืองต่างๆ... ได้พบเห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดี... หากแต่มันก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง...

จนกระทั่ง วันหนึ่ง... บุญส่งได้พบเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง... อย่างมิได้ตั้งใจ...
ปานวาด... เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาท่าทางธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับบุญส่งเลย... แรกทีเดียว ออกจะเขม่นกันนิดๆ ซะด้วยซ้ำ... แต่ในเมื่อต้องเดินทางด้วยกันอีกยาวไกล...ทั้งคู่ จำต้องทักทายกันบ้าง ตามมารยาท... ทำให้ต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่า อีกฝ่ายเดินทางมาไกลเพื่อติดตามหาอะไรบางอย่าง... ที่อธิบายลำบาก และดูเหมือนจะไร้จุดหมาย... เสียยิ่งนัก...

ก็ยังดี... ที่ไม่ต้องเดินทางตามลำพัง... อย่างโดดเดี่ยว... บุญส่งคิดในใจ... ปานวาดก็ด้วย...
การใช้เวลาเดินทางร่วมกันของพวกเค้า... ยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้บุญส่งเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนี้มากขึ้น... มีบางสิ่งบางอย่างที่น่าเอ็นดู... บางการกระทำน่ายกย่องให้เกียรติในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง...
ดูๆ ไปเธอนิสัยดีทีเดียว... ตอนแรกๆ ที่เขม่นกันนั่นคงเป็นการเข้าใจผิดซะมากกว่า... ความรู้สึกดีๆ ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ... จนกระทั่ง วาบไหวพอที่จะทำให้แอบคิดไปว่า ถ้าหากเธอคือคนที่มีปานแดงปลายก้อย คล้ายกัน... คงจะดีไม่น้อย... ไม่สิ... ดีที่สุด ต่ะหาก... เฮ้อๆๆๆ... ก็ได้แต่แอบคิด...
ซึ่งถ้าเป็นจริง... บุญส่งก็คงมีความสุข... ไม่น้อยเลย... ว่ามั้ย?
แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ... ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนที่วิเศษกว่าเธอคนนี้แน่ๆ... สินะ

ยิ่งคิด ยิ่งนึก... ฝันๆ เพ้อๆ... มากเท่าไหร่... บุญส่ง ผู้ตระหนักแล้วว่าเพื่อนสาวคนนี้นั้น เป็นผู้หญิงที่ดีและวิเศษเพียงใด... ก็ยิ่งอยากเจอคู่แท้ที่ตามหาจากปานแดงไวๆ...
อาห์... ผู้หญิงที่ดีกว่าคนๆ นี้... ผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ตัวจริง... เธอ... จะเป็นยังไงบ้างน้อ?...

นานพอดูสำหรับการร่วมเดินทางมาด้วยกัน... ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลและพูดคุยกันตลอดทาง... โดยไม่ทันตั้งตัว... ก็ถึงที่หมายซะแล้ว... ในที่สุด บุญส่งกับปานวาดก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง ณ ทางแยก หลังสถานี... จากตรงนี้มีทางแยกสองทางที่จะเข้าสู่ตัวเมือง... บุญส่งแยกไปทางขวา มุ่งหน้าสู่ยอดเขา ซึ่งเค้าเชื่อว่า ที่นั่น เค้าจะสามารถพบปานแดงปลายก้อยของคนๆ หนึ่งได้... ส่วนปานวาด... เธอแยกตัวไปทางขวา... มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองด้านล่าง... เพื่อพบบางคนคล้ายๆ กัน... ทั้งสองยืนคุยกันตรงทางแยกอยู่พักหนึ่ง เพื่อกล่าวคำอำลา...

เราจะได้เจอจุดหมายของเราซะที... ต่างฝ่ายต่างคิดในใจ ให้กำลังใจตัวเอง เหมือนๆ กัน...
ข้อตกลงสุดท้ายของพวกเค้า ก่อนจะแยกจากกัน... คือ... จะกลับมาเจอกันที่ตรงทางแยกนี้ ไม่ว่าจะเจอ หรือไม่เจอสิ่งที่ตามหาก็ตาม...

เมื่อต้องกลับมาเดินทางคนเดียวอีกครั้ง... บุญส่งรู้สึกแปลกๆ เค้าก้าวเดินอย่างช้าๆ... ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรนักที่ใกล้จะถึงจุดหมายตามที่คาดหวังตรงยอดเขา... ในหัวกลับคิดถึงแต่เรื่องราวต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเค้ากับเธอ... ภาพความประทับใจภาพแล้วภาพเล่าที่ฉายชัดขึ้นในห้วงนึก... 
 อืมห์... มันคือ... ความรู้สึกดีๆ ทั้งนั้น... และแล้วบุญส่งก็หยุดเดิน... ตรงนั้นเอง... ห่างจากทางแยกไม่ไกลเท่าไหร่เลย... เค้าวิ่งกลับไปยังทางแยกอีกครั้ง... ไม่ต้องถามหาเหตุผลที่ทำเช่นนั้น... ขอแค่ได้ย้อนกลับไป... ให้เร็วที่สุด... เหมือนมีเสียงสั่งมาจากในใจ...

ที่ตรงนั้น... เธอ... ปานวาด... นั่งอยู่ก่อนแล้ว...
จึ่งทั้งสอง กลับไปนั่งคุยกันซักพัก... บุญส่งบอกกับปานวาดว่า เค้าไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ากลับมาทำไม?
ส่วนปานวาด... เธอบอกเค้าว่าเธอกลัว... กลัวว่าจะไม่สามารถตามหาคนที่มีรอยปานแดงปลายก้อยได้... แล้วเธอก็ร้องไห้... น้ำตารินเป็นสาย... นี่เป็นครั้งแรกที่บุญส่งเห็นเธอร้องไห้... หัวใจเค้าอ่อนยวบ... ทำอะไรไม่ถูก... ได้แต่เงียบงันกันไปพักหนึ่ง...

เมื่อบุญส่งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ… เค้ายื่นนิ้วก้อยซ้ายของเค้าให้เธอดูตรงหน้า จะๆ...
แบบนี้ใช่ไหมที่ตามหา... อยากจะถามเธอใจจะขาด... แต่พูดไม่ออก... 

จากนั้น... ทั้งสองต่างโผเข้าหาอ้อมกอดกันและกัน... 


วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สถานีนี่นี้... คอยใคร?

ในวันที่ฝนพรำ...
ผู้คนต่างวิ่งหลบสายฝน... หาที่กำบังกันยกใหญ่...
ไม่มีใครซักคน อยากเปียกปอน...
ทั้งที่น้ำฝน ออกจะช่วยทำให้เย็นกายเย็นใจ ในวันที่อากาศร้อนๆ...

ฉันเอง... ก็เข้าไปหลบฝนในอาคารแห่งหนึ่ง... เช่นกัน
ครั้นว่างนัก ก้อได้แต่มอง... อย่างสำรวจ...
ที่ข้างนอกนั่น... ฉันเห็นป้ายรถเมล์... และที่พักผู้โดยสารให้นั่งรอรถ...
อืมห์... ใจมันนึกถึงข้อความที่เคยอ่านเจอ... ในทันที...


บางป้าย... ก็เงียบเหงาพิกลยังไงไม่รู้
บางป้าย... ก็จอแจด้วยผู้คน
บางคน... รอจนชั่วชีวิตก็ยังไม่มา
บางคน... รอแป๊บเดียวก็ได้ขึ้น
บางคน... ขึ้นแล้วถึงรู้ว่าขึ้นผิดคัน
บางคน... ขึ้นครั้งแรกก็ขึ้นถูก
บางคน... ขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบกว่าจะขึ้นถูกคัน
บางคน... นั่งไปถึงป้ายสุดท้ายถึงจะรู้ว่าผิดคัน




และในคืนที่ฝนพรำ... 
อยากรู้จัง... เค้าคิดถึงใคร? 
ฉันนั่งข้างหน้าต่าง... ตามองโทรศัพท์อยู่เป็นนาน...
อธิษฐานขอให้มีเสียงเรียกเข้า... เพื่อบอกกันว่าให้นอนหลับฝันดี...
ที่สุดแล้ว... ก็มีเพียงความเงียบ... จนกระทั่ง... รุ่งเช้า


อยากรู้จัง... ในคืนฝนพรำ...
ยังมีคนเหงาอีกซักกี่คน... ที่ต้องการไออุ่นจากใครบางคน... เช่นฉัน!

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก่อนนอนคืนนี้

ในทุกๆ วัน... เราต่างก็พบเจออะไรต่อมิอะไรมามากมาย...
กับภาระหน้าที่ซึ่งละทิ้งไม่ได้... ทำเสร็จแล้วบ้าง... ค้างคาบ้าง...
ตกเย็น... ส่วนใหญ่ก็เลิกงาน ทะยอยกลับบ้าน...
ยังมีผู้คนอีกไม่น้อย... ที่ต้องอยู่โยง ทำงานกันในตอนกลางคืน...
บางรายทำโอทีต่อ... คงจะเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจไม่ใช่น้อยๆ...
บางราย... เพิ่งมาเข้าเวรช่วงค่ำ หรือไม่ก็ช่วงดึกๆ ไปเลยก็มี
ทำงานง่วนในยามที่มืดมิด... และผู้คนหลับไหล พักผ่อน...
ยามนั้น... น่าอิจฉาคนที่ได้นอนหลับสบาย... ซะจริงๆ

ส่วนคนที่ไม่มีธุระปะปัง... ถึงเวลาเข้านอน... อาจหลับไม่ลง
เพราะเหนื่อยกายเหนื่อยใจ... หรือบางที อาจเพราะความคิดมันไหลเรื่อย...
ยิ่งคิดมาก เพ้อๆ ฝันๆ มาก ก็ยิ่งกังวลมาก... ทุกข์ใจเปล่าๆ...

ฉะนั้น... วันนี้ ฉันจึงอยากช่วยให้คุณๆ ทั้งหลาย รู้สึกผ่อนคลายก่อนเข้านอน...
และหลับฝันดี... นะจ๊ะ นะ... :)


  • ในเบื้องต้น... บ้านช่องห้องหอ ควรต้องจัดการให้สะอาดเรียบร้อย... น่าซุกตัวนอน... 
  • ที่นอนต้องนุ่ม นอนสบายที่สุด ไม่เป็นแอ่งเพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้ 
  • หมอนหนุน ก็ต้องรับคอ... ไม่แข็งหรือแบราบจนเกินไป
  • ก่อนเข้านอน ไม่ควรดื่มพวกชา กาแฟ (4 ชม.ก่อนนอน)
  • ปิดโทรศัพท์ซะ ก่อนเข้านอน อย่าให้ใครโทรมารบกวนเวลาหลับเลยหนา
  • อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นเพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้
  • ก่อนนอน ควรเปิดแสงไฟนวลตาหรือไฟสีเหลืองส้ม จะทำให้ดวงตาปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง และหลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบาย...
  • ใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ ไม่หนามากจนเกินไป และไม่ควรใส่ชุดชั้นใน... อิอิ
  • ใครใคร่สวดมนต์แผ่เมตตา... ก็เชิญตามอัธยาศรัย... จ้ะ
  • ค่อยๆ ล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆ ครั้ง เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง
  • เห็นมะ?...เท่านี้... ก็สามารถทำให้หลับสนิท... และฝันดีตลอดคืน... เชื่อดิ...

  • อ้อ... อย่าลืม... ฝันถึงฉันด้วยล่ะ... นะ นะ 
บทเพลงแผ่เมตตา... ด้วยความปรารถนาดี จ้ะ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนไกล้ใจ

เมื่อวาน... ฉันคุยกับพี่สาว...
เราสองคน ต่างก็เหงา... และคิดถึงแม่อย่างที่สุด...
ฉัน บอกกับพี่สาวไปว่า แม่ของเราไปสวรรค์... ที่ๆ แสนสบายที่สุดแล้ว
นั่น... อาจพอทำให้เธอ คลายทุก์ใจลงได้บ้าง...
หากแต่ ฉัน... กลับร้องไห้ซะยกใหญ่ หลังจากวางสาย...
แม่จ๋า... คิดถึงจังเลย... แล้ว


When you came into the world, she held you in her arms. You thanked her by wailing like a banshee.
เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้

When you were 1 year old, she fed you and bathed you. You thanked her by crying all night long.
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน

When you were 2 years old, she taught you to walk. You thanked her by running away when she called.
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

When you were 3 years old, she made all your meals with love. You thanked her by tossing your plate on the floor.
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น

When you were 4 years old, she gave you some crayons. You thanked her by coloring the dining room table.
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays. You thanked her by plopping into the nearest pile of mud
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ

When you were 6 years old, she walked you to school. You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!"
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

When you were 7 years old, she bought you a ball. You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window.
เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อบอลให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

When you were 8 years old, she handed you an ice cream. You thanked her by dripping it all over your lap.
เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

When you were 9 years old, she paid for piano lessons. You thanked her by never even bothering to practice. เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer to gymnastics to one birthday party after another. You thanked her by jumping out of the car and never looking back.
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

When you were 11 years old, she took you and your friends to the movies. You thanked her by asking to sit in a different row.
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV shows. You thanked her by waiting until she left the house.
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี คุณขอบคุณเธอด้วยการรอเธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming. You thanked her by telling her she had no taste.
เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

When you were 14, she paid for a month away at summer camp. You thanked her by forgetting to write a single letter.
เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับนึง

When you were 15, she came home from work, looking for a hug.You thanked her by having your bedroom door locked.
เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อคห้องนอนขังตัวเองในห้อง

When you were 16, she taught you how to drive her car. You thanked her by taking it every chance you could.
เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

When you were 17, she was expecting an important call. You thanked her by being on the phone all night. เมื่อคุณอายุ 17
เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

When you were 18, she cried at your high school graduation. You thanked her by staying out partying until dawn.
เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you to campus carried your bags. You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you wouldn't be embarrassed in front of your friends.
เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone. You thanked her by saying, "It's none of your business."
เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย

When you were 21, she suggested certain careers for your future. You thanked her by saying, "I don't want to be like you."
เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับ อนาคต คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

When you were 22, she hugged you at your college graduation. You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe.
เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment. You thanked her by telling your friends it was ugly.
เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for the future. You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!"
เมื่อคุณอายุ 24 เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคต คุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried and told you how deeply she loved you. You thanked her by moving halfway across the country.
เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและสินสอด ร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

When you were 30, she called with some advice on the baby. You thanked her by telling her, "Things are different now."
เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday. You thanked her by saying you were "really busy right now."
เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her. You thanked her by reading about the burden parents become to their children.
เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ดูแล คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

And then, one day, she quietly died. And everything you never did came crashing down like thunder. "Rock me baby, rock me all night long."
และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณเอง"เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืน…นะ"

Please paid little bit attention to the one you called "mom" .
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่าแม่ แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตามที

Nothing can replace her although sometimes she is not the one who mostly understand in you.
ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้ แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด

Or she may not agree with your thought but she still your "mom" and you can believe that she can do everything for you.
หรือเธออาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือแม่ของคุณ และเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกปัญหาทุกความกังวล

Listen to your problems, every anxious . Do you have more time to listen to her worry from work?
ถามตัวคุณเองดูเถิด คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้าความกังวลใจของเธอจากการทำงาน หรือจากในครัวไหมนะ?

Do you used to concern about her tired? Please love her so much although she and you have the conflict because when she pass away.
คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยยากของเธอไหม รักเธอให้มากแม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไป

It's remain the memory and sad. Do not ignore the one who closely to your heart?
Love her more than you love yourself
จะเหลือเพียงความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง...



ร้ายจริงๆ ตอนที่ 2

คราวก่อน... ฉันเล่าอะไรไว้บ้าง และเล่าไปถึงไหน... จำได้ไหม?
ก้อ... เจ้าตัวเล็ก พาฉันไปเที่ยวชมแถวๆ จตุรัส Dealey พลาซ่า ใจกลางเมืองดัลลัส หน่ะ...
และได้เกริ่นไว้ว่า ปธน. JFK ถูกลอบสังหาร ด้วยวัยเพียง 46 ปี...

 
นี่... เจ้าตัวเล็กของฉันจ้ะ เรียน PhD IE อยู่ที่ U of Texas

เราขึ้นไปเพื่อชม... "พิพิธภัณฑ์ชั้นที่หก ที่ Dealey พลาซ่า" นี่นั่นมีพงศาวดารลอบสังหาร และ มรดกของประธานาธิบดี John F. Kennedy... เก็บค่าผ่านประตู... มีภาพยนต์เหตุการณ์จริงให้ชมด้วย...
ใน YouTube ก็หาดูได้ไม่ยาก... เยอะแยะ ช่ะ
ประมาณนี้... ลองดูเองเถิด...

จัดบอร์ดไว้หน้าพิพิธภัณฑ์ บันทึกประวัติศาสตร์
ดูกันชัดๆ เลย...
อาคารนี้ ชั้น 6 มือปืนซุ่มอยู่... แล้วส่อง... สังหารโหด...
เราเดินชมรอบๆ จตุรัส นานเกือบ 2 ชม. อากาศสบายๆ ไม่มีเหงื่อ
Old Red  Museum
ศิลา จารึกประวัติศาตร์ การลอบสังหาร
ถนนสายนี้เลย... เปรี้ยงเดียว ศีรษะกระจาย...
กากบาด... ตำแหน่งที่... โดน... เปรี้ยง!
นักท่องเที่ยว... มาเยือนทุกวี่ทุกวัน
การสัญจรผ่านจุดสังหาร... ปกติ เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น...
ฉันเอง ไม่ชื่นชอบการทะเลาะเบาะแว้งเลย ให้ตายซี... แต่เรื่องนี้ คดีปะวัติศาตร์ อดไม่ได้ที่จะรื้อฟื้น...
ท่าน ปธน. เจเอฟเค ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนไรเฟิล เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ณ กลางเมืองดัลลัส รัฐเท๊กซัส ขณะที่ขบวนรถของท่านแล่นมาถึงบริเวณทางโค้งก่อนเข้าอุโมงค์ มุ่งหน้าไปยังสนามบินดัลลัส... วันนั้น ท่าน ปธน. ได้นั่งรถประจำตำแหน่งซึ่งเป็นเปิดประทุน เคียงคู่กับภรรยา เพื่อสะดวกในการโบกมือทักทายประชาชนที่ยืนให้การต้อนรับอยู่สองฝั่งถนนเป็นจำนวนมาก ในรถมีที่นั่ง 3 ตอน ท่าน ปธน. และภรรยานั่งอยู่ตอนหลังสุด ส่วนตอนที่ 2 มี นายจอห์น บี คอนนอลลี (John B. Connally) ผู้ว่ารัฐเทกซัสมาร่วมเดินทางมาด้วย จึงพลอยได้รับบาดเจ็บสาหัสไปอีกคน...

ทำเลที่คนร้ายเลือกซุ่มยิงนั้น เป็นจุดที่ประชาชนยืนต้อนรับอยู่เบาบาง เพราะเป็นทางโค้งและทางลาดลงอุโมงค์พอดี... ทันทีที่รถปะจำตำแหน่งค่อยๆ แล่นผ่านทางโค้งมาด้วยความเร็วไม่มากนัก คนร้าย คือ... นายลี ฮาร์วีย์ ออสวาล์ ซึ่งขึ้นไปดักรอบนชั้น 6 ของอาคาร 8 ชั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณมุมทางโค้ง... ก็ได้ลั่นกระสุนนัดแรกเข้าบริเวณต้นคอ และนัดที่สองเข้าบริเวณศรีษะ... แรงกระสุนเจาะฉีกกะโหลกเปิด... ปลิวคว้าง...

 

ภรรยาของท่านตกตะลึงสุดขีดเมื่อเห็นสามีถูกลอบยิง จนศรีษะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ... เธอรีบปีนทางท้ายรถในทันที... ทั้งๆ ที่รถยังไม่จอด... เพื่ออะไรกัน?... และใครเลยจะเชื่อ... เธอเสี่ยงตายปีนไปท้ายรถขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่ เนื่องจากมองเห็นเศษกระโหลกชิ้นหนึ่งของสามี กระเด็นไปค้างอยู่ท้ายกระโปรงรถ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องวิ่งตามรถปีนขึ้นไปช่วยกันจับ เพราะเกรงว่าเธอจะตกลงมาจากรถ... เมื่อได้เศษกระโหลกชิ้นนั้นมาแล้ว เธอกำเอาไว้ในมือจนแน่น... กลับมานั่งประคองศรีษะของสามี เลือดไหลกระพุ่งกระฉูดท่วมร่างทั้งสองคน...

เมื่อร่างไร้วิญญาณของท่าน ปธน. ไปถึงโรงพยาบาล ภรรยาผู้จงรักภักดี ได้นำชิ้นส่วนของกระโหลกศรีษะให้แพทย์แล้วบอกว่า... "ช่วยนำเศษกระโหลกนี้ไปต่อให้สามีฟื้นคืนชีพมาที"

อนิจจา... ทุกอย่างมันสายไปแล้ว...
ผลการชันสูตรศพ ระบุว่าเสียชีวิตเพราะกระสุนนัดเดียว...

พยานในที่เกิดเหตุหลายคนให้การว่า เห็นชายผิวขาว อายุราว 30 ปี รูปร่างสูงโปร่งประมาณ 178 ซม. น้ำหนักตัวประมาณ 75 กิโลกรัม... ผู้ให้การายหนึ่ง ระบุว่า หลังจากท่าน ปธน. ถูกลอบยิง 45 นาที เขาเห็นชายคนหนึ่งยิงตำรวจตาย แล้วหลบหนีเข้าโรงหนัง ซึ่งตำรวจสามารถตามจับได้ ชื่อของเขาคือ ลี ฮาร์วีย์ ออสวาล์... ตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยรายนี้ นานถึง 12 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องยิงตำรวจตายล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับการลอบยิงท่าน ปธน.เลย... จากนั้นเขาก็ถูกนำตัวไปแถลงข่าวเรื่องการสังหารตำรวจ...
ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า ได้สังหารท่าน ปธน. หรือไม่ เขาตอบว่า "เปล่า ผมไม่ได้ถูกดำเนินคดีเรื่องนี้ ที่จริงแล้วยังไม่มีใครมาบอกผมด้วยซ้ำ ไม่มีใครบอกอะไรผมในเรื่องนี้เลย ผมคิดว่าพวกเขาจับผม เพราะข้อกล่าวหาฆ่าตำรวจตายเท่านั้น... ผมพึงได้ยินเรื่องนี้จากผู้สื่อข่าวคนตะกี้เองแหละว่าข่าวกล่าวหาผมฆ่า ประธานาธิบดี ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ผมไม่รู้จริงๆ"
อ่ะ อ้าว... เอ๋?... ยังงัยเนี่ยะ...

ลี ฮาร์วีย์ ออสวาล์ (Lee Harvey Oswald)
2 วันต่อมา ลี ฮาร์วีย์ ออสวาล์ ก็โดนนาย แจ๊ ค รูบี (Jack Ruby) ฆ่าปิดปากท่ามกลางสื่อมวลชน...

ตำรวจพยายามสอบสวน แจ๊ ค รูบี แต่เขาให้การเพียงสั้นๆ ว่า เขารัก ปธน. JFK เมื่อเห็นหน้ามือปืน เกิดความแค้น คุมสติไม่อยู่ จึงยิงเสียชีวิต โดยที่ไม่มีใครมาอยู่เบื้องหลังในการยิงแต่อย่างใด...

และไม่กี่วันต่อมา แจ๊ค รูบีก็ฆ่าตัวตาย... ทิ้งเป็นปริศนาตลอดกาลว่าเขาทำเพื่ออะไรกันแน่...

งง มะ?... ตกลงว่า... อะไร คือ อะไร?... ไม่รู้ซี...

แจ๊ ค รูบี (Jack Ruby) 
GEORGE BANNERMAN DEALEY 
ส่วนรูปปั้นนี้ คือ GEORGE BANNERMAN DEALEY เป็นนักธุรกิจที่ดัลลัส, เท็กซัส...
เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการนักหนังสือพิมพ์ ที่ทรงอิทธิพลต่อการเมืองกาปกครองสมัยนั้น...
และเขาได้สร้างอาณาจักรย่านธุรกิจกาพิมพ์ที่อยู่ใกล้ใจกลางเมืองดัล ใช้ชื่อว่า Dealey พลาซ่า เพื่อเป็นเกียรติประวัติของเขา...




แม้ว่า วันเวลาจะผ่านเลยมานานแสนนาน... แต่ความทรงจำยังคงอยู่่...
และฉันขอไว้อาลัยแด่ท่าน...
อดีตประธานาธิบดีของสหัฐอเมิกา... "JFK"

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทางเลือก

ฉันไม่อยู่บ้านแค่สี่ห้าเดือน... เท่านั้น
กลับมาอีกที... หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป... มากบ้าง-น้อยบ้าง
ต่ะแรก... มองในบ้าน เท่านั้น... รกเกะกะ ฝุ่น... หาของไม่เจอ...
มีทีวีใหม่สองตัว... พร้อมเครื่องเสียง... ของเก่ายังวางกองอยู่ที่พื้น...
ลิ้นชักต่างๆ... รื้อค้นซะเละเทะ... ตั้งแต่มะไหร่หนอ?
เปิดหน้าต่างหลังบ้าน... ว้าย... ตายๆ... อกแทบแตก...
เถาวัลย์พันเลื้อย... เกาะซะแน่นหนาราวป่าทึบ... เขียวชะอุ่มเลย...
เสียงขู่ฟ่อๆ... มองไป มองมา... อ้อ... แมว หน่ะเอง
มันกกลูกเล็กๆ หลายตัว... สีดำปลอดทั้งคอก... นับไม่ทัน...
ที่พักพิงของมัน คือ นอกหน้าต่าง ข้างๆ เครื่องคอนเดนซิ่ง
แม่แมวทำที่นอนให้ลูกเล็กๆ ด้วยเถาวัลย์ขดๆ ดูผิวเผินคล้ายรังนก...
แววตาของแม่แมว... ลุกวาว... น่ากลัว... ฉันต้องรีบหลบๆ... ด้วยความเกรงใจมัน... น่ะ

เพื่อนบ้าน... หลายครอบครัว... มีเด็กๆ รุ่นเล็กชั้นประถม... วิ่งมาหา รับขนมไปกิน...
พวกผู้ใหญ่ ต่างนัดหมายรวมพล เลี้ยงรับขวัญฉัน... เง้อ... กินกันอีกแระ

บ้านตรงข้าม... มีคนอยู่... แต่ดูเงียบเชียบยิ่งนัก... ?!?
อ่ะ...อ๋อ... มีบางคนออกไป... และบางคนเข้ามาแทนที่... อืมห์...
ฉันหลับตาลง... ภาพเด็กคนหนึ่ง... ผู้ชาย 10 ขวบ กำลังน่ารัก
ฉันฝึกให้เขาเล่นกีตาร์ได้ในระดับหนึ่ง... แล้วหนา...
จากนี้ไป... คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก... สินะ...
กับทางเลือกของผู้ใหญ่... ที่ส่งผลต่อชีวิตและจิตใจ... ของหนู... โดยตรง
อย่างไรก็ตาม... ฉันขอให้เธอ จงโชคดี... นะจ๊ะ นะ
และไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน... จะเป็นอย่างไร... ฉันจะระลึกถึงเสมอ...

กุศลบุญของฉันทั้งลายทั้งปวง
จงคุ้มครองให้เธออยู่ดีมีสุขอย่างปลอดภัยด้วยเถิด... สาธุ


เธอจะเลือกใคร  :  วารุณี  สุนทรีสวัสดิ์

ฉันรู้ว่าเธอเหงา ตั้งแต่เขา นั้นจากไป
ฉันรู้เธอวุ่นวาย ต้องการใครสักคน
คนที่คอยปลอบโยน ให้เหตุผล ช่วยผ่อนคลาย
ช่วยเธอตัดสินใจ...

เขาไปเป็นอื่นแล้ว เธอก็ยัง ไม่เลิกรา
ใจเธอคอยเรียกหา ยังลังเลร่ำไร
ทั้งที่ยังมีฉัน คนที่รัก เธอมากมาย
เธอกลับมองข้ามไป...

ใจดวงเดียว แต่มีสองทางเดิน
เธอเลือกใคร ลองถามใจเธอดู...

ว่าเธอจะเลือกคน ที่เธอรัก หรือว่าเธอ
จะเลือกคนที่เขา ยังรักเธอเสมอ
ฉันเองอาจจะร้องไห้ คร่ำครวญเพราะเสียเธอ
แต่อีกคนเขาคง ไม่แคร์...

เขาไปเป็นอื่นแล้ว เธอก็ยัง ไม่เลิกรา
ใจเธอคอยเรียกหา ยังลังเลร่ำไร
ทั้งที่ยังมีฉัน คนที่รัก เธอมากมาย
เธอกลับมองข้ามไป...

ใจดวงเดียว แต่มีสองทางเดิน
เธอเลือกใคร ลองถามใจเธอดู...

ว่าเธอจะเลือกคน ที่เธอรัก หรือว่าเธอ
จะเลือกคนที่เขา ยังรักเธอเสมอ
ฉันเองอาจจะร้องไห้ คร่ำครวญเพราะเสียเธอ
แต่อีกคนเขาคง ไม่แคร์...


ฉันขอให้เธอ จงโชคดี... นะจ๊ะ นะ